บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 634 เข้าร่วมงานชุมนุม
ตอนที่ 634: เข้าร่วมงานชุมนุม
ตอนที่ 634: เข้าร่วมงานชุมนุม
หลังซูอี้ฟังจบ เขาก็อดหัวเราะไม่ได้ “หากนี่เป็นปัญหา ก็ปล่อยเขารอที่นั่นต่อไปเถิด”
หนิงซือฮวาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกระซิบว่า “สหายเต๋า ข้าคิดว่าเจ้าควรไปพบเขาสักหน่อยก็ดีนะ จากสิ่งที่เขากล่าว ครานี้สำนักอนธการสยบนภาเรียกยอดฝีมือและสุดยอดขุมพลังต่าง ๆ เข้าชุมนุมนั้นก็เพื่อหยุดสงครามและฟื้นฟูความสงบสุข”
ซูอี้ถาม “โลกภายนอกยามนี้โกลาหลหรือ?”
“ยุ่งเหยิงเป็นที่สุด”
หนิงซือฮวากล่าวอย่างจริงจัง “จากข่าวเท่าที่ข้ารู้ ในช่วงสองเดือนนี้ อาณาจักรต้าโจว ต้าเว่ย และต้าฉินต่างนองเลือดปั่นป่วนทั่วแดนดิน”
“เพื่อชิงดินแดน ขุมอำนาจต่าง ๆ ไม่รีรอจะต่อสู้ เพลิงศึกลุกโหม ชีวาดับสูญ ข้าไม่รู้ว่าผู้บริสุทธ์มากเพียงไรที่ต้องระหกระเหิน รับหายนะที่ไม่เคยต้องการนี้”
หนิงซือฮวาถอนหายใจ “และยามนี้ สำนักอนธการสยบนภาได้ลุกขึ้นเชิญอำนาจสูงสุดแห่งโลกนี้มารวมตัวหารือว่าจะหยุดสงครามอันโกลาหลเช่นไร เพื่อประโยชน์แห่งผู้คนบนโลกหล้า”
ซูอี้พยักหน้ากล่าวว่า “จริงของเจ้า ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกแหลกลาญ ยามเกิดกลียุค ผู้เดือดร้อนที่สุดก็คือเหล่าปุถุชน”
เขายังจำหายนะจากสัตว์ปีศาจที่ตนเห็นในเขตปกครองอวิ๋นเหอเมื่อครั้งที่กลับไปยังต้าโจวได้
และยังจำเรื่องชั่วร้ายที่ตำหนักมารเทียนอวี้ทำในต้าโจว สังหารผู้บริสุทธ์เพื่อเก็บเกี่ยวภัตตาโลหิตได้
ในโลกการฝึกฝนเช่นมหาทวีปคังชิง เมื่อผู้ฝึกตนไม่ได้รับการจำกัด ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็จะเหยียบย่ำ ปกครองกดหัวผู้คนอย่างไร้สิ้นสุด ใช้ชีวิตพวกเขาเป็นผักปลา!
ซูอี้กล่าว “ทว่า เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าสำนักอนธการสยบนภาจะจัดตั้งชุมนุมล่องเมฆานี่ขึ้นแค่เพราะความอาดูรต่อโลก?”
หนิงซือฮวาชะงัก และตอบด้วยเสียงต่ำ “บางที สำนักอนธการสยบนภาอาจจะมีแผนอื่น แต่หากมีโอกาสสงบความอลหม่านแห่งโลก ไม่ใช่ว่านั่นจะเป็นผลดีต่อผู้คนหรือ?”
ซูอี้กล่าวชื่นชม “เป็นวาจาที่ดี”
หนิงซือฮวากล่าวอย่างเขินเล็กน้อย “ข้าแค่คิดถึงเหวินฉางไท่และฮูหยินที่กลับไปยังเมืองกว่างหลิง และพวกคนในตำหนักเทียนหยวน ในความคิดข้า หากสงครามสงบได้ พวกเขาจะได้รับผลดี ก็นับเป็นบุญใหญ่แล้ว”
“ขงจื่อกล่าวว่า ผู้คนยากไร้ดีต่อตนเองและโลกหล้า ศาสนาพุทธก็กล่าวว่าหัวใจเมตตาสามารถช่วยเหลือสรรพชีวิต แม้ว่าลัทธิเต๋าจะบริสุทธ์เพิกเฉย แต่ก็ยังมีใจมุ่งทำลายปีศาจ ขจัดมารอยู่”
ซูอี้กล่าว “เป็นเรื่องดีที่เจ้ามีความคิดเช่นนี้ ยิ่งกว่านั้น หากระบบระเบียบแห่งโลกพังทลายลง สุดท้ายผู้ที่จะเจ็บปวดที่สุดก็จะเป็นผู้ฝึกตนนี่เอง”
หนิงซือฮวาถาม “ไฉนจึงกล่าวเช่นนั้น?”
ซูอี้กล่าวเสียงเบา “นับแต่โบราณกาล การรบราฆ่าฟันมีแต่จะนำมาซึ่งความพินาศ เมื่อทุกขุมอำนาจผู้ฝึกตนไม่ทำตามกฎเกณฑ์ เหยียบย่ำระเบียบ พวกเขาจะได้รับกรรมที่พวกตนก่อ”
“ยามนี้ที่แสงสว่างแห่งโลกกว้างกำลังมาในภายหน้า ขอเพียงมีสมอง พวกเขาจะรู้ว่าการรบราฆ่าฟันในครานี้รังแต่จะทอนกำลังตนเอง หรือกระทั่งชักจูงความตายสู่ตน”
หนิงซือฮวาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าเห็นด้วย “ในวันนั้น เกรงว่าสำนักอนธการสยบนภาคงตระหนักถึงปัญหานี้แล้ว จึงจัดชุมนุมล่องเมฆาขึ้น”
“ไปพบทูตจากสำนักอนธการสยบนภากันเถิด”
ซูอี้หันเดินไปยังซากหอเซียนดาบ
แต่เดิม เขาไม่ได้สนใจเข้าร่วมชุมนุมล่องเมฆามากนัก
ทว่ายามนี้ เขารู้สึกว่าควรไปเดินเล่นที่นั่นสักหน่อย
เพราะถึงอย่างไร ในรังนกจะไม่มีไข่ได้เช่นไร?
จริงอยู่ที่เขาไม่กลัวเรื่องทั้งหมดนี้ ทว่าต้องทราบว่าต้าโจวมีผู้เกี่ยวข้องกับเขามากมาย เช่นโจวจือหลี เซียวเทียนเชวี่ย เฉินเจิ้ง เจิ้งเทียนเหอเป็นต้น
ทว่าซูอี้ก็รู้เช่นกัน ว่าด้วยการฟื้นตัวของปราณวิญญาณทั่วฟ้าดิน ย่อมคิดเลี่ยงความวุ่นวายและการฆ่าฟันไม่ได้เลย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลทั่วไปต้องทนทุกข์จากหายนะ จึงจำเป็นต้องตั้งกฎเกณฑ์สำหรับขุมอำนาจผู้ฝึกตนเพื่อให้ปฏิบัติตาม!
ด้วยเหตุนี้ หากชุมนุมล่องเมฆาซึ่งจัดโดยสำนักอนธการสยบนภาบรรลุขั้นนี้ได้จริง ๆ มันจะเป็นเรื่องดีสำหรับสรรพชีวิตในสามดินแดน ต้าโจว ต้าเว่ย และต้าฉินอย่างจริงแท้
…
นอกทางเข้าสู่ซากหอเซียนดาบ
บนท้องทะเลไร้ขอบเขต ชายวัยกลางคนร่างผอมผู้หนึ่งซึ่งมีจอนผมหงอกขาวยืนอยู่
“สหายเต๋าปู้ฝาน นี่คือสหายเต๋าซู”
หลังจากหนิงซือฮวาและซูอี้เดินออกมา นางก็แนะนำทั้งสองทันที
“ทูตจากสำนักอนธการสยบนภา ปู้ฝานคารวะใต้เท้าซู!”
ปู้ฝานก้าวออกมาทักทายเขาอย่างนอบน้อม
“เหตุใดสำนักอนธการสยบนภาของพวกเจ้าจึงยืนกรานอยากเชิญข้านัก?”
ซูอี้ถาม
มองปราดแรก เขาก็เห็นว่าปู้ฝานผู้นี้มีระดับฝึกฝนอยู่ในขอบเขตเปิดทวาร ปราณและเลือดลมในร่างแข็งกล้ายิ่งนัก ซึ่งเทียบกับผู้อยู่ในขอบเขตเดียวกันคนอื่น ๆ ไม่ได้เลย
ปู้ฝานตอบกลับอย่างจริงจัง “เรียนใต้เท้าซู สำนักอนธการสยบนภาของข้าคิดว่าใต้เท้าซูใช้อำนาจตนทำลายตำหนักมารเทียนอวี้ ช่วยเหลือผู้คนในต้าโจวจากหายนะ ความสำเร็จอันเปี่ยมคุณเช่นนี้ทำให้ผู้สดับฟังวีรกรรมอดชื่นชมไม่ได้”
“ดังนั้น เมื่อชุมนุมล่องเมฆาครานี้ถูกจัดขึ้น เจ้าสำนักจึงออกคำสั่งให้ข้าเชิญใต้เท้าซูเข้าร่วมงานชุมนุมให้จงได้”
เขากล่าวอย่างจริงใจและถ่อมตน
ซูอี้กล่าวว่า “เช่นนั้นจุดประสงค์ของการจัดชุมนุมล่องเมฆาครานี้คือสิ่งใด? ข้าต้องการฟังความจริง”
ปู้ฝานเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวว่า “ไม่ปิดบังใต้เท้าซู แสงสว่างแห่งโลกกว้างในครานี้ยังไม่ปรากฏอย่างจริงจัง วัตถุประสงค์ของสำนักอนธการสยบนภาของข้าก็คือป้องกันไม่ให้ขุมอำนาจใหญ่แห่งโลกนี้รบพุ่งกันเอง และมุ่งเป้าให้เราทั้งผองร่วมกันปกครอง เพื่อผลประโยชน์ของเหล่าผู้ฝึกตนและสรรพชีวิตแห่งโลกา”
ซูอี้หัวเราะ “ว่าแล้วเชียว สำนักของเจ้าทำเช่นนี้ สุดท้ายก็เป็นการกระทำเพื่อตนเอง หาใช่เพื่อสวัสดิภาพของสรรพชีวิตบนโลกนี้ไม่”
น้ำเสียงของเขาแฝงคำเหน็บแนม
ปู้ฝานดูไม่สบายใจเล็กน้อย
“แน่นอน เช่นที่เจ้าว่า ขอเพียงขุมอำนาจต่าง ๆ ไม่รบกัน ก็เป็นเรื่องดีสำหรับผู้คนบนโลกนี้จริง ๆ”
ซูอี้กล่าว “ส่งเทียบเชิญมา และเจ้าก็ไปได้แล้ว”
ปู้ฝานรีบส่งเทียบเชิญให้เขาด้วยสองมือ และกล่าวขึ้นว่า “ขอบังอาจถามใต้เท้าซู ท่านปรารถนาจะเข้าร่วมชุมนุมหรือไม่?”
“ใช่”
ซูอี้พยักหน้า
ยามนั้นเอง ปู้ฝานจึงรู้สึกโล่งใจ เขาโค้งคำนับอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป
“สหายเต๋า เจ้าจะออกเดินทางยามใด?”
หนิงซือฮวาถาม
วันนี้คือวันที่สิบหกเดือนหนึ่ง และชุมนุมล่องเมฆาจะถูกจัดในสามวัน
“ไปเรียกหยวนเหิงให้เข้าร่วมชุมนุมล่องเมฆากับข้า”
ซูอี้กล่าว
หนิงซือฮวาพยักหน้าตกลง
ไม่นานจากนั้น หยวนเหิงก็มา เขาเปลี่ยนร่างเป็นเต่ายักษ์สูงหลายร้อยจั้ง และถือซูอี้ผู้นั่งบนเก้าอี้หวายไว้ ก่อนจะทะยานสู่ต้าฉิน
ระหว่างทาง ซูอี้พลิกอ่านแผ่นหยกโบราณอันหนึ่งอยู่
แผ่นหยกโบราณนี้มาจากหนิงซือฮวา มันได้บันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ บนโลกหล้าในช่วงสองเดือนที่ผ่านผัน รวมไปถึงรูปแบบของขุมอำนาจต่าง ๆ ในต้าโจว ต้าเว่ย และต้าฉิน
จนเมื่อซูอี้อ่านจบ เขาจึงตระหนักว่าในเวลาเพียงสองเดือน โลกนี้… ดูราวแปรเปลี่ยนเป็นคนละโลก!
ในต้าโจว มีขุมอำนาจผู้ฝึกตนจากโลกอื่นปรากฏขึ้นอีกสองแห่ง
ที่แรกตั้งอยู่ในหุบเขาเถาวัลย์อาถรรพ์ มีนามว่าสำนักเพลิงวิญญาณ เป็นสำนักซึ่งมีผู้ฝึกวิญญาณสังกัดเกือบสามร้อยคน
เจ้าสำนักมีนามว่ากู้ซานตู เป็นมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตสยายวิญญาณ
อีกขุมอำนาจหนึ่งตั้งอยู่ในภูเขาปีศาจหมื่นอสรพิษ นามสำนักพันมายา กลุ่มเต๋าผู้สืบสายเลือดสำนักคนทรง อำนาจของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าสำนักเพลิงวิญญาณเลย
เจ้าสำนักพันมายามีนามว่าเฉาอิ๋ง เป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ แต่กล่าวกันว่าวิถีเต๋าของเขาลึกล้ำเกินคาดหยั่ง เชี่ยวชาญในศาสตร์โบราณในการสยบวิญญาณ
ทว่าต่างจากตำหนักมารเทียนอวี้ ขุมอำนาจทั้งสองไม่ได้ก่อเรื่องใหญ่โตยามข้ามเขตแดน
ในทางกลับกัน เพื่อเสริมอำนาจของพวกตน ขุมอำนาจหลักทั้งสองจึงออกประกาศรับสมัครศิษย์ออกไปอย่างกว้างขวางตลอดช่วงเวลานี้ ดึงดูดผู้เยาว์จากต้าโจวไปเป็นศิษย์มากมาย
จวบจนยามนี้ สองขั้วอำนาจได้กลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แห่งต้าโจวในการฝึกตนไปแล้ว!
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ กระทั่งซูอี้ก็ไม่ได้คาดฝัน
ต้าเว่ยและต้าฉินเองก็มีขุมอำนาจจากต่างโลกข้ามเขตแดนมาตั้งถิ่นฐานเช่นกัน
เช่นสำนักอนธการสยบนภาซึ่งเป็นผู้นำในต้าฉิน
เจ้าสำนักมีนามว่าเมิ่งจิ้งไห่ อยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณ
กล่าวกันว่าไม่นานหลังจากข้ามเขตแดน เมิ่งจิ้งไห่ได้ออกเดินทางเยี่ยมเยียนขุมอำนาจผู้ฝึกตนต่าง ๆ ทั่วต้าฉินด้วยตนเอง
ในเวลาเพียงครึ่งเดือน สามขุมอำนาจผู้ฝึกตนในต้าฉิน ทั้งสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน วัดซ่างหลิน และวัดเสวียนเยว่ต่างเลือกจำนน สวามิภักดิ์ต่อสำนักอนธการสยบนภาโดยถ้วนทั่ว!
จวบจนยามนี้ ดูเหมือนสำนักอนธการสยบนภาจะกลายเป็นขุมอำนาจอันดับหนึ่งในต้าฉินไปแล้ว
แน่นอน ช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ขุมอำนาจต่าง ๆ จากต่างโลกที่เข้าสู่ต้าฉินไม่ได้มีเพียงสำนักอนธการสยบนภาแห่งเดียว แต่ยังมีขุมอำนาจอื่น ๆ ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าสำนักอนธการสยบนภาด้วยเช่นกัน
ทว่าเมื่อซูอี้อ่านเนื้อหาทั้งหมดในแผ่นหยก เขาก็ไม่ได้พบสิ่งใดที่เป็นประโยชน์
เหตุผลนั้นแสนง่าย เพราะในหมู่ขุมอำนาจจากต่างโลกเหล่านี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดมีผลการฝึกฝนอยู่เพียงขอบเขตสยายวิญญาณ
“นั่นสินะ บนมหาทวีปคังชิงทุกวันนี้ อำนาจของการจองจำแห่งยุคมืดยังไม่ได้สลายสิ้น ผู้อยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณสามารถครองโลกหล้าได้ในต้าฉิน ต้าโจว และต้าเว่ยได้แล้ว”
ซูอี้ลอบคิด
ในสายตาเขา บุคคลทั่วไปในวิถีวิญญาณไม่ได้ถูกมองเป็นภัยคุกคามได้อีกต่อไป
ทว่าสำหรับทั้งมหาทวีปคังชิง ตัวตนในขอบเขตสยายวิญญาณนับว่าเป็นที่สุดแล้ว เพียงพอที่ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่บนโลกนี้จะแหงนหน้ามอง ยกย่องสรรเสริญ!
วันถัดมา
โรงเตี๊ยมในหาดทะเลบูรพา เมืองตงฝูแห่งต้าฉิน
ซูอี้และหยวนเหิงนั่งกินดื่มอยู่ข้างหน้าต่าง
“นายท่าน ข้าไปถามมาเรียบร้อยแล้ว นับแต่เมืองตงฝูนี้ไปทางใต้สามพันเก้าร้อยลี้จะเป็นหุบเขาวิญญาณล่องเมฆาขอรับ”
หยวนเหิงกล่าวเบา ๆ “มันเคยเป็นหนึ่งในพื้นที่ต้องห้ามสูงสุดแห่งต้าฉิน แต่ไม่นานมานี้ มันได้ถูกสำนักอนธการสยบนภาเข้าครอบครอง และกลายเป็นประตูให้กับขุมอำนาจต่างโลกแห่งนี้ และชุมนุมล่องเมฆาจะถูกจัดขึ้นที่นี่ในอีกสองวันขอรับ”
ซูอี้พยักหน้า “หลังดื่มสุราหมดไหนี้ เราก็ไปกันเถิด”
กล่าวจบ เขาก็มองออกไปนอกหน้าต่าง และพลันพบร่างคุ้นตารีบเร่งผ่านไปไกลบนถนนอันคลาคล่ำด้วยผู้คน