บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 635 ไม่จำเป็นต้องกังวล
ตอนที่ 635: ไม่จำเป็นต้องกังวล
ตอนที่ 635: ไม่จำเป็นต้องกังวล
เหตุใดจึงเป็นนาง?
ซูอี้วางจอกสุราลงอย่างแปลกใจเล็กน้อย
ร่างอันคุ้นตาซึ่งกำลังเดินเร็ว ๆ จากไปบนถนนนั้นก็คือหลานซัว
ซูอี้ประทับใจต่อสตรีผู้นี้นัก
เธอมีองคาพยพบนใบหน้าคมกริบเยี่ยงมีดขวาน งดงามเป็นธรรมชาติ และเป็นศิษย์รักของอาจารย์อวิ๋นหลาง ผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนของต้าฉิน
ยามเมื่อเขาอยู่ในต้าโจว ซูอี้เคยรักษาพิษกู่ให้หลานซัวด้วยตนเอง
ยิ่งกว่านั้น ก่อนที่เขาและฮวาซิ่นเฟิงจะออกเดินทางไปยังทะเลวิญญาณโกลาหล เขาเองก็ได้พบคู่ศิษย์อาจารย์หลานซัวและอวิ๋นหลางในคืนงานเลี้ยงในหมู่บ้านเทียนสุ่ยแห่งเมืองตงฝู
ยามนั้น มีผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งในต้าฉินตั้งกลุ่มพยายามจัดการกับซูอี้ในระหว่างปฏิบัติการที่ทะเลวิญญาณโกลาหล และพวกเขายังเชิญชวนอวิ๋นหลางกับหลานซัวมาร่วมมือกันด้วย
ทว่าอาจารย์อวิ๋นหลางปฏิเสธเด็ดขาด จากนั้นจึงเดินจากไปกับหลานซัว
กล่าวได้ว่าซูอี้มีความประทับใจดี ๆ กับหลานซัวและอาจารย์ของนาง… อวิ๋นหลางอยู่
“หือ?”
ก่อนซูอี้จะทันได้ครุ่นคิดต่อ เขาก็เห็นผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งรีบร้อนเดินแหวกฝูงชนไล่ตามไปในทางเดียวกับที่หลานซัวจากไป
“หยวนเหิง ไปกันเถิด”
ซูอี้ลุกขึ้น
…
ทางทิศตะวันตกของเมืองตงฝูคือเทือกเขาอันกว้างใหญ่
นี่คือยามเที่ยงวัน
ร่างอรชรของหลานซัวทะยานผ่านหมู่บรรพต ใบหน้างดงามของนางปรากฏความกังวลลึกล้ำและเค้าลางความลังเล
“แม่นางหลานซัว ข้ากล่าวไว้แล้ว ขอเพียงข้าคิดไล่ตาม เจ้าหนีไม่ได้หรอก”
จู่ ๆ เสียงถอนหายใจก็ดังมาจากไกล ๆ
หลานซัวร่างชะงักกึกและเงยหน้ามอง
นางพบชายหนุ่มเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ห่างออกไป ริมฝีปากแดงแย้มยิ้มให้นาง เผยซี่ฟันขาว
ใบหน้างดงามของหลานซัวเปลี่ยนสีหน้าทันที และหันหนีไปด้านข้าง
ทว่า ไม่รีรอให้นางลงมือ ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากทั้งซ้ายและขวามือนาง
หนึ่งในผู้ซุกซ่อนร่างใหญ่โตดั่งขุนเขา สวมชุดหนังสัตว์ เป็นชายเคราดกถือขวานศึกสีเลือด ยืนตระหง่านกดดัน
“แม่นางโปรดหยุดเถอะ ข้าเป็นคนกระด้าง เกรงว่าอาจทำร้ายแม่นางได้ยามลงมือ”
ชายร่างสูงในชุดหนังสัตว์กล่าวอย่างเฉยเมย
อีกฝั่งหนึ่งเป็นสตรีโฉมงามทรงเสน่ห์ผู้ถือกริชเงิน กิริยาและการเคลื่อนไหวงดงามน่ามอง
“แม่นางน่าจะรู้แล้วว่าเราไร้เจตนามุ่งร้าย ขอเพียงแม่นางพาเราไปพบอาจารย์ของเจ้า ท่านอาจารย์อวิ๋นหลางผู้สูงส่ง เราสัญญาจะไม่ทำร้ายแม่นางแม้ผมสักเส้น”
นงคราญคนงามโน้มน้าวเบา ๆ
หลานซัวขมวดคิ้ว และอดหันไปมองเบื้องหลังไม่ได้ ทว่าก็พบว่ามีผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งกำลังรุดหน้ามาแต่ไกล
จู่ ๆ ศัตรูก็ล้อมไว้จากทั่วสารทิศ!
หัวใจของหลานซัวหล่นสู่ก้นหุบเหว สีหน้ามัวหมอง
“ข้ารู้นะ แม่นางหลานซัวคงต้องการไปงานชุุมนุมล่องเมฆาเพื่อขอความยุติธรรมจากสำนักอนธการสยบนภาใช่ไหมเล่า”
ชายในอาภรณ์หยกตรงหน้าต้นไม้ใหญ่ไกลออกไปกล่าวช้า ๆ “ทว่า ข้าพูดได้เพียงว่า สิ่งที่เจ้าทำนั้นช่างไร้เดียงสาเสียนี่กระไร”
หลานซัวกล่าวอย่างเย็นชา “ไร้เดียงสาหรือ? ข้าว่าพวกเจ้ากลัวมากกว่า! หาไม่ เหตุใดจึงต้องหยุดไม่ให้ข้าไปยังหุบเขาวิญญาณล่องเมฆาด้วย?”
ชายหนุ่มในอาภรณ์หยกอดหัวเราะไม่ได้ ก่อนกล่าวว่า “หากเจ้าว่าตนไม่ไร้เดียงสา ไม่ได้เชื่อข้า เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงพูดตรง ๆ แม้เจ้ากับอาจารย์จะมีฐานะสูงส่งในสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน ทว่าในสายตาสำนักเบญจอัสนีของข้า พวกเขาก็แค่สำนักเล็ก ๆ ในต้าฉินเท่านั้น”
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง และกล่าวต่อ “จริงอยู่ที่สำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนสวามิภักดิ์ต่อสำนักอนธการสยบนภา ซึ่งหมายความว่าได้อาศัยร่มไม้ใบบุญใหญ่โต ทว่าเจ้าคิดหรือว่าสำนักอนธการสยบนภาจะแตกหักกับสำนักเบญจอัสนีของข้าแค่เพื่ออาจารย์เจ้า… จริงหรือไม่?”
สีหน้าของหลานซัวรวนเร
ชายหนุ่มในอาภรณ์หยกกล่าวอย่างดูเห็นอกเห็นใจ กล่าวว่า “ยิ่งกว่านั้น งานชุุมนุมล่องเมฆาของสำนักอนธการสยบนภาในครานี้ก็จัดขึ้นเพื่อนำความสงบสุขสู่หล้า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สำนักอนธการสยบนภาจะเมินท่าทีของสำนักเบญจอัสนี แยกตัวโดดเดี่ยวเพื่ออาจารย์เจ้าหรือ?”
หลานซัวกัดฟันกล่าว “เจ้าไม่อาจกล่าวแทนสำนักเบญจอัสนีได้”
ได้ยินเช่นนั้น สตรีโฉมงามโหรวอวิ้นและชายร่างสูงในชุดหนังสัตว์ที่อยู่ไกลออกไปก็อดหัวเราะราวได้ยินเรื่องตลกไม่ได้
“แม่นาง บุคคลตรงหน้าเจ้าคือหยวนซั่ว ศิษย์รักของผู้เฒ่าใหญ่แห่งสำนักเบญจอัสนีของข้า เขามีตำแหน่งสำคัญในหมู่ชนรุ่นเยาว์ในสำนัก”
โหรวอวิ้นกล่าวเสียงเบา “คำพูดของเขาอาจไม่ใช่การกล่าวแทนสำนักเบญจอัสนี แต่มันเพียงพอจะมีผลต่อทัศนคติของคนใหญ่คนโตในสำนักเรา”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ นางก็ยิ้มอย่างน่าสงสัย “ยิ่งกว่านั้น หากไร้การอนุมัติจากผู้อาวุโสระดับสูงในสำนัก เจ้าคิดว่าสำนักเราจะส่งคนมากมายเพื่อตามหาอาจารย์เจ้าเช่นนี้หรือ?”
ชายร่างสูงในชุดหนังสัตว์ที่อยู่ไม่ห่างไปนักกล่าวอย่างเฉยเมย “และเมื่อยามนี้ที่เจ้าจะไปงานชุุมนุมล่องเมฆาเพื่อขอความช่วยเหลือ สำนักอนธการสยบนภาย่อมไม่อาจเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ได้!”
สีหน้าของหลานซัวเริ่มปรากฏความไม่แน่ใจ เห็นได้ชัดว่านางถูกวาจาเหล่านี้รบกวนจนไขว่เขว
“เอาล่ะ ข้าหยวนซั่วถือสันติมาก่อนเสมอ ยามนี้ขึ้นกับแม่นางจะเลือก โปรดร่วมมือกับเรา และเจ้าจะไม่ต้องทนทุกข์อันใด”
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีหยกนามว่าหยวนซั่วลูบคางพลางกล่าวอย่างจริงจัง “ทว่าหากไม่ร่วมมือกับเรา ข้าก็ทำได้เพียงต้องล่วงเกินแม่นางแล้ว”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้เปล่งออก บรรยากาศรอบข้างพลันมาคุตึงเครียด
หลานซัวกัดริมฝีปากแน่น ส่ายหัวกล่าว “อย่าหวังได้รับความร่วมมือจากข้าเลย แม้ตาย ข้าก็จะไม่ทรยศท่านอาจารย์!”
สีหน้าแววตาของนางเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
“แม่นาง ไยเล่าจึงไม่ดื่มสุราคารวะ เหตุใดจึงต้องการดื่มสุราลงทัณฑ์แทนกัน? หากเราเป็นผู้ฝึกตนจากพรรคมาร เราคงไม่มามัวพูดพร่ำทำเพลงและปราบเจ้าลงไปนานแล้ว”
โหรวอวิ้นถอนหายใจเบา ๆ
รอยยิ้มของชายหนุ่มในอาภรณ์สีหยกจางลง ก่อนกล่าวว่า “หงเหอ ไปเชิญแม่นางหลานซัวให้มากับเราเถิด”
ชายร่างสูงผู้สวมชุดหนังสัตว์พยักหน้า จากนั้นก็ก้าวอาด ๆ เข้าหาหลานซัว
ตู้ม!! ตู้ม!! ตู้ม!!
ทุกฝีก้าวส่งผลให้ปฐพีสะเทือนเลือนลั่น ต้นหญ้าและก้อนหินใกล้เคียงถูกเหยียบย่ำบดขยี้
จิตสัมผัสอันทรงพลังนั่นคุกคามหลานซัวจากระยะไกล
แค่อำนาจร้ายแรงของมันก็ทำให้หลานซัวอึดอัด หายใจไม่ได้ ร่างแข็งทื่อ นางสัมผัสได้ถึงภัยใหญ่หลวง
“อย่างมากก็แค่ตาย ไม่ว่าอย่างไรก็ปล่อยคนเหล่านี้ไปหาอาจารย์ไม่ได้!”
หลานซัวลอบปลงในใจ กัดฟันหมายใจสู้จนตัวตาย
ทว่ายามนี้ เสียงเฉยชาเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นสะท้อนทั่วฟ้าดิน
“เกิดอันใดขึ้นกับอาจารย์ของเจ้า เหตุใดเจ้าจึงต้องมาโดนคนพวกนี้ไล่ล่าด้วย?”
เสียงนั้นไม่ดัง แต่กังวานพอให้ได้ยินชัดเจนถ้วนทั่ว
หยวนซั่วขมวดคิ้ว
โหรวอวิ้นตื่นตัว
ชายร่างสูงในชุดหนังสัตว์นามหงเหอตัวแข็งทื่อ
ยามนี้ เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตรายถึงชีวิตซึ่งทำให้เขาขนลุกซู่
กระทั่งฝีเท้าของเขายังหยุดลงกับที่โดยไม่รู้ตัว
ทว่าสีหน้าของเขาจริงจังยิ่งนัก เมื่อสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นเยียบเป่ากระทบหลัง
เมื่อได้ยินเสียงนี้ หลานซัวซึ่งแต่เดิมตัดสินใจสู้แบบหมาจนตรอกจึงอดสะดุ้งไม่ได้ และหันหน้าไปมองโดยไม่รู้ตัว
นางพบร่างสองร่างเดินเข้ามาจากระยะไกล
ผู้นำเป็นชายหนุ่มในอาภรณ์สีเขียว มือไพล่หลัง เดินอย่างไร้คำนึงท่ามกลางเศษฝุ่นราวเดินเล่นในลานบ้าน
ภายใต้แสงสลัวจากนภา เขาดูไร้มลทิน มีเสน่ห์เหนือธรรมดา
เบื้องหลังเขามีชายหนุ่มชุดสีเทาผู้มีสีหน้าจริงจังติดตามก้าวต่อก้าว
“คุณชาย… ซู?”
ดวงตางดงามของหลานซัวเบิกกว้างราวไม่อยากเชื่อ
ผู้ที่มาใหม่คือซูอี้และหยวนเหิง!
หลังจากทั้งสองออกจากโรงเตี๊ยมในเมืองตงฝู พวกเขาก็ไล่ตามผู้ฝึกตนจากสำนักเบญจอัสนีมาตลอดทาง
“ไม่พบเสียนาน”
ซูอี้ยิ้ม เมินคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้วยราวไร้ตัวตน และเดินมาหาหลานซัว
“หยุดนะ!”
ชายชราอาภรณ์สีเหลือง หนึ่งในกลุ่มผู้ฝึกตนที่ล้อมรอบหลานซัวอยู่กล่าวอย่างจริงจัง “สหายเต๋า สำนักเบญจอัสนีของเรากำลังทำธุระ ขอแนะนำไม่ให้เจ้าเข้าพัวพัน หาไม่…”
“หุบปาก!”
ดวงตาของหยวนเหิงวาวโรจน์เยี่ยงอสนีบาต มองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา
ตู้ม!!
อำนาจในกายถูกปลดปล่อยโดยพลัน ชายชราชุดเหลืองจึงถูกกดดันให้ถอยกรูดไปหลายก้าวจนกระทั่งร่วงลงพื้นดังตุ้บ สีหน้าชราก็เปลี่ยนผันไปเช่นกัน
ผู้ฝึกตนรอบข้างต่างเดือดแค้น เตรียมลงมือ
หยวนซั่วซึ่งอยู่หน้าต้นไม้ใหญ่กล่าวทันที “ถอยไป พวกเจ้าไม่ใช้คู่มือของพวกเขา”
เหล่าผู้ฝึกตนสีหน้าเปลี่ยน ทว่าสุดท้ายก็ถอยไปเงียบ ๆ
ซูอี้เอาหูไปนาเอาตาไปไร่สำหรับทุกเหตุการณ์ ไม่แม้แต่จะชะลอฝีเท้า ท่าทีของเขาดูราวอยู่ในโลกอันไร้ผู้คน
เมื่อเขาเดินมาถึงข้างกายหลานซัวและเห็นว่านงคราญคนงามกำลังยืนอึ้ง ซูอี้ก็อดถามอย่างมึนงงไม่ได้ “การเห็นข้าโผล่มามันน่าตกใจเพียงนั้นเลยหรือ?”
หลานซัวกล่าว “ข้า… ข้าแค่ไม่คาดไว้…”
นางกำลังตกที่นั่งลำบาก เตรียมพร้อมสู้จนตัวตาย ใครเล่าจะคิดว่าสหายเก่าผู้หนึ่งจะร่วงจากฟ้ามาปรากฏตรงหน้า!
ใครเล่าจะประพฤติปกติต่อเหตุการณ์เช่นนี้?
“อันที่จริง พวกข้าตามเจ้ามาตั้งแต่ในเมืองตงฝูแล้ว แต่ไม่รู้สถานการณ์ จึงได้แค่เฝ้ามองห่าง ๆ”
ซูอี้อธิบายเสียงเบา
หลานซัวพลันมีสีหน้ากระจ่างแจ้ง หันมองไปรอบ ๆ อย่างกระวนกระวายและกล่าวว่า “คุณชายซู พวกเขา…”
“มีข้าอยู่ ไม่จำเป็นต้องกังวล”
ซูอี้ตบบ่านางเบา ๆ “บอกข้ามา เกิดอันใดขึ้นกับอาจารย์เจ้า ส่วนคนเหล่านี้ หากพวกเขากล้ายุ่งจะถูกสังหาร”
เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่หลานซัวตื่นกลัว ความคิดของนางยุ่งเหยิงไปหมด
ทว่ายามนี้ เมื่อได้ยินคำพูดของซูอี้ นางก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก และกำลังจะอ้าปากอธิบายเรื่องราว
ไม่ไกลนัก โหรวอวิ้นกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจ “สหายเต๋า ไม่ใช่ว่าท่าทางของเจ้าโอหังไปสักหน่อยหรือ?”
ซูอี้ยกมือขึ้น กดฝ่ามือลง
ด้วยฝ่ามือที่พลิ้วไหว ดูเรียบง่ายธรรมดานัก ทว่าโหรวอวิ้นกลับคุกเข่าลงกับพื้นดังตุ้บ พื้นถล่มตามแรง ไร้โอกาสตั้งตัว
สีหน้าของนางเปลี่ยนผันอย่างมหันต์ และพยายามดิ้นรน
สิ่งที่ทำให้นางตื่นกลัวคือ ภายใต้ฝ่ามือนี้ นางไม่อาจใช้ความแข็งแกร่งในขอบเขตรวบรวมดาราดิ้นรนใด ๆ ได้เลย!
“แข็งแกร่งยิ่ง!”
ม่านตาของหยวนซั่วหดตัว สีหน้าเปลี่ยนแปร
ชายร่างสูงในชุดขนสัตว์สูดหายใจเย็นเฉียบเฮือกใหญ่ หัวใจสั่นเทา
ภาพนี้ยังทำให้ผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ของสำนักเบญจอัสนีอกสั่นขวัญแขวน
พวกเขาต่างรู้ดีถึงพลังของโหรวอวิ้น ทว่าพวกเขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าโหรวอวิ้นจะพ่ายแพ้เร็วเพียงนี้
ไม่อาจขัดขืนได้โดยสมบูรณ์!
กระทั่งหลานซัวยังอึ้งกับภาพที่เห็น
หลังจากนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ตระหนักว่าวาจา ‘มีข้าอยู่ ไม่จำเป็นต้องกังวล’ ของซูอี้สำคัญเพียงไร!