บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 637 หุบเขาวิญญาณล่องเมฆา
ตอนที่ 637: หุบเขาวิญญาณล่องเมฆา
ตอนที่ 637: หุบเขาวิญญาณล่องเมฆา
ต้าฉิน เขาวิญญาณชิงถง
สถานที่ตั้งแห่งสำนักเบญจอัสนี
ในห้องโถงแห่งหนึ่ง
“ท่าทีของซูอี้ผู้นี้สามหาวนัก!”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในอาภรณ์ลายอสรพิษกล่าวเสียงเข้ม
จูคุนหยาง
ผู้เฒ่าใหญ่แห่งสำนักเบญจอัสนี อาจารย์ของหยวนซั่ว
สีหน้าของบุคคลอื่น ๆ ในโถงต่างมืดหม่นไม่แพ้กัน
พวกเขาเพิ่งได้รับข่าวจากหยวนซั่ว ว่าซูอี้เข้ามาเกี่ยวกับการตามจับอาจารย์อวิ๋นหลาง
“สามหาว?! คนเรานี่ช่างเชื่อมั่นในภูมิหลังตนนัก”
ซงจั่งเฮ่อ เจ้าสำนักเบญจอัสนีผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานกลางโถงกล่าวเบา ๆ
หนวดเคราเส้นผมของเขาดั่งโลหะเงิน รูปลักษณ์กิริยาเยี่ยงเซียน สวมอาภรณ์นักพรตเต๋า ท่วงท่าสง่างาม
ทุกผู้เงียบเสียง
ด้วยฐานะของพวกเขา จะไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของซูอี้ได้เช่นไร?
การทำลายล้างตำหนักมารเทียนอวี้คือบทเรียนแห่งอดีต!
และเท่าที่พวกเขารู้ แม้ซูอี้จะเยาว์วัยและมีการฝึกฝนถึงเพียงขอบเขตรวบรวมดารา แต่อำนาจต่อสู้ของเขาสูงส่งหาใดปาน สามารถสังหารมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้โดยง่าย
“เจ้าสำนัก เราต้องรามือเท่านี้หรือ?”
จูคุนหยางถาม
“การจับกุมอาจารย์อวิ๋นหลางไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทว่าด้วยคำพูดของซูอี้ เขาขอให้เรารามือเสีย หากเรื่องแพร่งพราย มันจะทำให้เกียรติภูมิของสำนักเราเสื่อมเสียได้”
ซงจั่งเฮ่อกล่าวช้า ๆ “ไม่ใช่ว่าซูอี้ผู้นี้ก็เข้าร่วมงานชุมนุมล่องเมฆาด้วยหรือ? เมื่อถึงคราว ข้าจะหาโอกาสสังหารเขาก่อน จากนั้นก็ถอยกลับมาเปิดโปงเรื่องราว ฉกฉวยผลประโยชน์จากความขัดแย้ง จากนั้นทุกอย่างก็จะปลอดภัย รวมถึงหน้าตาของสำนักเบญจอัสนีเราด้วย”
“หากเป็นเช่นนั้น เจ้าหนูนั่นก็ตายง่ายไปจริง ๆ”
ใครบางคนกล่าวอย่างเย็นชา รู้สึกไม่สาแก่ใจ คิดว่าไม่ว่าเช่นไร วิธีการของซงจั่งเฮ่อก็ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ
ใครอีกคนกล่าวว่า “เจ้าสำนัก ข้าได้ยินมาว่าซูอี้ผู้นั้นเย่อหยิ่ง ไม่เคารพกฎเกณฑ์ ทำทุกอย่างตามใจ จะทำเช่นไรเล่าหากเขาไม่ลังเลที่จะห้ำหั่นกับเราในงานชุมนุมล่องเมฆา?”
เมื่อเห็นเช่นนั้น ซงจั่งเฮ่อก็กล่าวว่า “เขาไม่กล้าหรอก! อย่าลืมว่าสำนักอนธการสยบนภาจัดงานชุมนุมล่องเมฆาครานี้ขึ้นก็เพื่อสงบสงครามและเลี่ยงการขัดแย้งระหว่างขุมอำนาจใหญ่ ๆ ในโลกหล้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากซูอี้กล้าต่อสู้กับเราไม่ไว้หน้า นั่นไม่หมายความว่าเขามาเพื่อพังงานชุมนุมล่องเมฆาหรือ?”
ผู้อาวุโสใหญ่จูคุนหยางพยักหน้าพลางกล่าว “เจ้าสำนักกล่าวได้ถูกต้องยิ่ง งานชุมนุมล่องเมฆานี้ส่งผลต่อผู้ฝึกตนทั่วหล้า หากมันถูกทำลาย ซูอี้จะทำให้ทั่วหล้าเกิดโทสะ และกลายเป็นศัตรูร่วมทั้งโลกหล้า เขาแบกรับผลกระทบเยี่ยงนี้ไม่ได้แน่!”
หลังนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ก็แค่เข้าร่วมงานชุมนุมล่องเมฆา ขุมอำนาจต่าง ๆ ย่อมไม่ใส่ใจจะมาตามดูซูอี้กันอยู่แล้ว”
หลังฟังจบ ทุกคนก็พยักหน้า
ขนาดของงานชุมนุมล่องเมฆานี้ไม่เคยมีปรากฏมาก่อน ไม่ว่าผู้ใดคิดทำลายมันจะกลายเป็นศัตรูสาธารณะแห่งโลก!
“สรุปเช่นนี้แล้วกัน ยามเมื่อถึงเวลา ข้าและผู้เฒ่าใหญ่จะไปหุบเขาวิญญาณล่องเมฆาสักหน่อย”
ซงจั่งเฮ่อตัดสินใจ
…
วันที่สิบเก้าเดือนหนึ่ง
เช้าตรู่
หุบเขาวิญญาณล่องเมฆา
ที่แห่งนี้แต่เดิมเป็นสถานที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งในต้าฉิน
ด้วยการฟื้นตัวของปราณวิญญาณทั่วฟ้าดิน หุบเขาอันดุร้ายนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปราวพลิกมือ และยามนี้มันได้กลายเป็นหุบเขาล้ำค่า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในสายตาเหล่าผู้ฝึกตนไป
ยามนี้ ที่หุบเขาวิญญาณล่องเมฆาครึกครื้นแล้ว
ย้อนกลับไปตั้งแต่เมื่อสองสามวันก่อน หลังได้ยินข่าวการจัด ‘งานชุมนุมล่องเมฆา’ ผู้ฝึกตนไร้สังกัดและผู้ฝึกยุทธ์มากมายทั่วหล้าก็มารวมตัวกันที่นี่
และนี่ไม่ใช่ว่าเพื่อหาความสนุกเพียงอย่างเดียว
ในทางกลับกัน พวกเขาหวังใช้โอกาสนี้จับตามองพฤติกรรมของพวกมหาอำนาจใกล้ ๆ
มีกระทั่งยอดฝีมือบางคนที่หวังจะถูกมหาอำนาจเหล่านี้สังเกต และได้บรรลุจุดประสงค์ทะยานสู่ประตูมังกร
“เที่ยงนี้ งานชุมนุมล่องเมฆาที่จะถูกจัดขึ้นที่ผาซงเทาบนยอดเขา”
ใครบางคนกระซิบ
“รายงานกันว่ายอดขุมกำลังจากสามดินแดน ต้าฉิน ต้าโจวและต้าเว่ยจะเข้าร่วมชุมนุมทั้งหมดแปดแห่ง ซึ่งเป็นการจัดชุมนุมที่ยิ่งใหญ่ไม่เคยมีมาก่อน!”
ใครสักคนดูโหยหา
“ข้าหวังเพียงว่าในงานชุมนุมล่องเมฆานี้จะเป็นไปตามที่ผู้อาวุโสเมิ่งจิ้งไห่ เจ้าสำนักอนธการสยบนภากล่าวไว้ ขุมอำนาจทั้งหมดสร้างข้อตกลง สยบความวุ่นวาย และคืนความสงบสุขแก่โลกหล้า”
ใครสักคนทอดถอนใจ
ทันทีที่คำนี้ถูกเอ่ย มันก็สะท้อนก้องไปกับเสียงของคนอีกหลายผู้
ในช่วงสองเดือนมานี้ ทั่วทุกมุมโลกเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์ เรื่องราวบนโลกหล้าพลิกผันไปมา โลหิตหลั่งริน ชีวิตถูกเก็บเกี่ยวทุกหนแห่ง
ใครเล่าจะอยากดิ้นรนในโลกอันแร้นแค้นเยี่ยงนี้?
เมื่อซูอี้มาถึง เขาก็เห็นภาพเช่นนี้จากไกล ๆ
“ไปกันเถิด”
ซูอี้ก้าวไปเบื้องหน้าโดยไม่หยุดยั้ง
ที่ตีนเขาล่องเมฆา ประตูของสำนักอนธการสยบนภาซึ่งถูกอารักขาโดยศิษย์กลุ่มหนึ่งจากสำนักอนธการสยบนภาปรากฏขึ้น
เมื่อซูอี้หยิบเทียบเชิญของตนออกมา ร่างที่คุ้นตาร่างหนึ่งก็รีบร้อนมาหา
เขาคือทูตจากสำนักอนธการสยบนภา ปู้ฝาน
“ใต้เท้าซู เชิญ!”
ปู้ฝานทักทายด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า จากนั้นเขาก็นำทางให้ซูอี้และคณะ
เขาดูดีใจมากที่พวกซูอี้มาเข้าร่วมชุมนุม
“ใต้เท้าซู งานชุมนุมล่องเมฆาจะถูกจัดยามเที่ยงวัน ก่อนหน้านั้น แขกของงานจะสามารถพักผ่อนได้ที่ผาซงเทาขอรับ”
ในขณะนำทาง ปู้ฝานก็กล่าวว่า “หากต้อนรับขับสู้ไม่เป็นที่พอใจ ขอใต้เท้าซูอย่าถือสา”
ซูอี้ส่งเสียงรับในลำคอ ไม่ได้กล่าวอันใด
ปู้ฝานกล่าวขอโทษด้วยสีหน้าที่ดูอับอายเล็กน้อย “ใต้เท้าซู แต่เดิมท่านเจ้าสำนักวางแผนจะมารอต้อนรับใต้เท้าด้วยตนเองในวันนี้ ทว่าแขกของเรามากมายนัก เจ้าสำนักไม่อาจปลีกเวลาได้เลย…”
ซูอี้โบกมือกล่าว “เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องพูดหรอก”
ปู้ฝานหยุดพูดทันที เขาเห็นแล้วว่าซูอี้ไม่อยากมาฟังคำพูดลม ๆ แล้ง ๆ เชิงมารยาทเหล่านี้
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลานซัวก็แอบประหลาดใจ
นางเคลือบแคลงเรื่องการเข้าร่วมชุมนุมของซูอี้มาแต่แรก ทว่ายามนี้ ในที่สุดนางก็มั่นใจได้แล้วว่าสำนักอนธการสยบนภามอบความสำคัญยิ่งยวดให้ซูอี้จริง ๆ!
“ข้าไม่รู้ว่าเกิดอันใดกับคุณชายซูระหว่างช่วงนี้ที่ทำให้สำนักอนธการสยบนภาพินอบพิเทา ให้เกียรติเขาเพียงนี้…”
หลานซัวรำพึง “หากภายหน้ามีโอกาส ต้องแน่ใจว่าเราดีต่อเขา และหาข่าวเกี่ยวกับต้าโจวด้วย!”
เมื่อทั้งกลุ่มขึ้นเขามาได้ครึ่งทาง พวกเขาก็เห็นผู้คนมากมายรวมตัวกันพูดคุยหัวเราะกันเป็นกลุ่มสามหรือห้าคน
เมื่อซูอี้มองมา ปู้ฝานก็อธิบายเสียงต่ำ “มีขุมอำนาจมากมายมางานเลี้ยงวันนี้ แต่มีเพียงมหาอำนาจและบุคคลระดับสูงสุดอย่างใต้เท้าซูเท่านั้นที่ขึ้นไปยัง ‘ผาซงเทา’ ที่ยอดเขาเพื่อเจรจาเรื่องสำคัญได้”
นี่ระบุว่าคนใหญ่คนโตจากขุมอำนาจอื่น ๆ จะสามารถรวมตัวกันได้ที่กึ่งทางขึ้นเขาเท่านั้น
ซูอี้พยักหน้าและกำลังจะก้าวต่อ
ไกลออกไป ชายวัยกลางคนในชุดสีทองผู้หนึ่งรีบร้อนตรงมาหาหลานซัวและกล่าวอย่างกังวล “หลานซัว ไยเล่าจึงมาที่นี่? เจ้าไม่รู้หรือไรว่าอาจารย์เจ้าก่อเรื่องใหญ่ใดไว้?”
หลานซัวสีหน้าเปลี่ยนอย่างมหันต์ สูดลมหายใจลึก และกล่าวว่า “ศิษย์พี่หวัง ข้ามางานชุมนุมล่องเมฆาครานี้ก็เพื่อแก้วิกฤต”
ชายวัยกลางคนในชุดสีทองกล่าวอย่างโกรธเคือง “ไร้สาระ! เจ้าไม่แม้แต่จะมองกาลเทศะ อย่าว่าแต่ล่วงเกินสำนักเบญจอัสนี ใครเล่าจะช่วยอาจารย์เจ้าได้?”
ใบหน้างดงามของหลานซัวซีดเซียว ก่อนกล่าวว่า “ศิษย์พี่หวัง อาจารย์ข้าเป็นผู้เฒ่าสูงสุดแห่งสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน และยังเป็นอาจารย์ลุงของท่าน ไยจึงพูดเช่นนี้?”
สีหน้าของชายวัยกลางคนในชุดสีทองแปรเปลี่ยน ทอดถอนใจ “หลานซัว เจ้าทำอันใดอยู่? ข้ายังไม่เข้าใจเลย อาจารย์เจ้าก่อเรื่องมากมาย และไม่ใช่สิ่งที่สำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนของเราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้”
“เจ้าสำนักยังออกคำสั่งปลดอาจารย์เจ้าจากการเป็นผู้เฒ่าใหญ่ ซ้ำยังไล่ออกจากสำนักแล้ว!”
หลานซัวได้ยินดังนั้นก็ตกใจราวถูกสายฟ้าฟาด ใบหน้างดงามของนางซีดเผือด แทบไม่เชื่อหูตน
ร่างของหลานซัวสั่นเทิ้มด้วยโทสะ กล่าวว่า “พวกท่าน… ไม่ช่วยก็ไม่ต้องช่วยสิ ทำไม… จึงทำเรื่องเช่นนี้ได้?”
ชายวัยกลางคนในชุดสีทองกล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “หลานซัว หากไม่ทำเช่นนี้ อาจารย์เจ้ารังแต่จะลากคนในสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนของเราลงปลักโคลนไปด้วย! ในความคิดของข้า หากเจ้าเต็มใจจะบอกที่อยู่อาจารย์เจ้าออกมา และให้เขาไปขอรับโทษที่สำนักเบญจอัสนี บางที… เขายังมีโอกาสรอดชีวิต หาไม่แล้ว อย่าว่าแต่อาจารย์เจ้าเลย กระทั่งเจ้าก็เกรงว่าคงยากจะหนีพ้น!”
ยามนี้ ซูอี้กล่าวขึ้นอย่างเฉยเมย “นางจะไม่เป็นไร และอาจารย์อวิ๋นหลางก็จะปลอดภัย”
เขาไม่แม้จะมองชายวัยกลางคนชุดทอง ชายหนุ่มมองหลานซัว ตบบ่านางและกล่าวว่า “อย่าใส่ใจเรื่องนี้ ไปกันเถิด”
หลานซัวพยักหน้าอย่างอับจนหนทาง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจิตใจของนางได้รับผลกระทบหนักหนา สีหน้าของนางเหม่อลอย เศร้าโศกและไร้หนทาง
“เจ้าเป็นใคร กล้าดีเช่นไรมายุ่งกับกงการของสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนของข้า?”
ชายในชุดสีทองกล่าวอย่างไม่พอใจ
ปู้ฝานพลันก้าวออกมามองชายวัยกลางคนชุดทองอย่างสุขุม กล่าวว่า “เจ้ารู้จักข้าหรือไม่?”
ชายชุดทองชะงัก
ทว่าเมื่อเห็นป้ายสีเงินที่ห้อยอยู่ที่เอวของปู้ฝาน เขาก็สะท้านทั้งกายและรีบโค้งคำนับ “หวังลู่ยงคารวะผู้ดูแล!”
ผู้ห้อยแผ่นป้ายสีเงินที่เอวแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งผู้ดูแลจากสำนักอนธการสยบนภา
ตัวตนเช่นนี้ แม้แต่เจ้าสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนที่อยู่ใต้บัญชาของสำนักอนธการสยบนภา หากพบเข้า เขาก็ยังต้องเกรงใจพินอบพิเทาต่ออีกฝ่าย!
ปู้ฝานกล่าวอย่างเฉยเมย “ใต้เท้าซูและแม่นางหลานซัวผู้นั้นต่างเป็นแขกผู้มีเกียรติของสำนักอนธการสยบนภา หากเจ้ากล้าทำตัวจองหอง อย่าหาว่าข้าไม่สุภาพ”
จากนั้น เขาก็หันหลังกลับไปกุลีกุจอนำทางให้พวกซูอี้ต่อ
ชายชุดทองชะงักนิ่ง เหงื่ออาบไปทั่วร่าง
ยามใดกันที่หลานซัวกลายมาเป็นแขกผู้มีเกียรติอันสูงส่งแห่งสำนักอนธการสยบนภา!?
ไหนจะใต้เท้าซูนั่นอีก เป็นเทพเซียนจากหนใด?
ช้าก่อน!
จู่ ๆ ชายชุดทองก็ดูจะจำบางอย่างได้ ชิวเทียนฉื่อ เจ้าสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนในยามนี้อยู่บนผาซงเทา
แค่ว่า โม่หงเซียวกำลังรับแขกของสำนักอนธการสยบนภาอยู่กับคนใหญ่คนโตอื่น ๆ ของสำนักอนธการสยบนภาในยามนี้ ซึ่งแขกแต่ละผู้ล้วนแต่เป็นคนใหญ่คนโตของขุมอำนาจสูงสุดต่าง ๆ
“หากเจ้าสำนักเห็นหลานซัว เกรงจะเกิดเรื่องบางอย่างผิดแปลกขึ้น!”
ชายในชุดสีทองลอบอุทาน
เขากำลังจะไล่ตาม ทว่าเมื่อมองไปหา ก็พบว่ากลุ่มของซูอี้เดินลับไปไกลแล้ว
ฐานะเช่นเขาไม่มีคุณสมบัติพอจะไปผาซงเถาบนยอดเขาได้
“นี่… จะทำเช่นไรได้บ้าง!?”
ชายในชุดสีทองมึนงง จนปัญญาเยี่ยงมดเต้นในกระทะ