บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 639 โจมตี!
ตอนที่ 639: โจมตี!
ตอนที่ 639: โจมตี!
จะให้คนอื่นมานอนสบายบนเตียงตัวเองได้เช่นใด?
สำหรับเจ้าสำนักแห่งขุมกำลังการฝึกตนที่ยิ่งใหญ่เช่นกู้ซานตูกับเฉาอิ๋งแล้ว
มีแต่ต้องกำจัดซูอี้ผู้มีผลกระทบต่ออาณาจักรต้าโจวเท่านั้น สำนักของพวกเขาจึงจะสามารถกลายเป็นผู้นำของอาณาจักรต้าโจวอย่างแท้จริง
ไม่เช่นนั้น การดำรงอยู่ของซูอี้ก็ไม่ต่างกับดาบคมที่แขวนอยู่บนหัว
ไม่มีใครรู้ว่า เมื่อไรที่ดาบเล่มนี้จะฟันลงมา!
ความล่มสลายของตำหนักมารเทียนอวี้เป็นเครื่องแสดงได้อย่างดีที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย
และนี่ก็คือหนึ่งในสาเหตุที่ว่าเพราะอันใดนับตั้งแต่สำนักเพลิงวิญญาณกับสำนักแปรผันเข้ามาปักหลักอยู่ในอาณาจักรต้าโจวแล้ว จึงไม่กล้ากระทำสิ่งใดโดยพลการ
ใจความสำคัญมีเพียงแค่ประโยคเดียว… ‘เกรงว่าจะต้องเดินตามรอยตำหนักมารเทียนอวี้!’
แต่ทว่า หากดำรงอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปตลอด สำนักเพลิงวิญญาณกับสำนักแปรผันก็ไม่อาจยอมรับได้
ตามการฟื้นฟูของปราณวิญญาณในใต้หล้า ม่านแห่งโลกกว้างเปิดฉากทีละน้อย ไม่ช้าก็เร็วสำนักใหญ่ทั้งสองจะต้องขยายกำลังและอาณาบริเวณของตัวเองออกไป
ในสถานการณ์เช่นนี้ หากยังปล่อยให้ซูอี้คอยเป็นดาบค้ำหัว จะต้องมีผลกระทบต่อการพัฒนาและการเจริญเติบโตของสำนักอย่างแน่นอน!
“ถ้าเช่นนั้นสหายกู้คิดว่าควรจะจัดการกับเรื่องนี้เช่นใดจึงจะเป็นการดี?”
เฉาอิ๋งถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ดวงตาเป็นประกาย
“เมื่อข้าได้รับข่าวจากซงจั่งเฮ่อเจ้าสำนักเบญจอัสนี บอกว่าต้องการจะข่มซูอี้ในงานชุมนุมล่องเมฆาในครั้งนี้ หวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากสำนักเพลิงวิญญาณของข้า”
กู้ซานตูใช้นิ้วขมวดเครา พลางส่งกระแสเสียง “ข้าคิดว่า นี่เป็นโอกาสที่ไม่เลวเลย”
เฉาอิ๋งแสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา “ร่วมมือกับสำนักเบญจอัสนี ข่มซูอี้? นี่เป็นความคิดที่ไม่เลวเลย แต่ว่า ด้วยนิสัยของซูอี้คนนี้ เกรงว่าคงจะไม่มีทางยอมลงให้หรอกกระมัง?”
กู้ซานตูกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ถ้าเช่นนั้นก็ต้องดูกันสักหน่อยแล้วว่า เขาจะเก่งพอจนไม่ลงให้หรือไม่”
เฉาอิ๋งพยักหน้า และไม่กล่าวความอีก
อย่างไรเสีย สำหรับเรื่องตอบโต้ซูอี้นี้ เขากับกู้ซานตูต่างก็ไม่ยินดีที่จะต้องให้มีการต่อสู้ เพราะเกรงว่าจะได้ไม่คุ้มเสีย
ทว่าเวลานี้ หากว่าสำนักเบญจอัสนีเสนอตัว พวกเขาก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยผลักดัน ข่มให้ซูอี้ได้รู้สำนึกด้วยกัน!
“ใต้หล้าในตอนนี้ มีแต่ซูอี้คนนี้เท่านั้นที่พอจะทำให้พวกเราต้องหวาดเกรง หากว่าเป็นตัวตนอื่น ๆ จำเป็นต้องคิดหากลอุบายมากมายเพื่อวางแผนเหล่านี้ด้วยหรือ? จัดการทำลายตรง ๆ ก็จบเรื่องแล้ว”
กู้ซานตูรำพึงรำพัน
เฉาอิ๋งเข้าใจหัวอกเดียวกัน
วันเวลาผ่านไป ขณะที่ใกล้จะถึงเวลาเที่ยง
ซงจั่งเฮ่อเจ้าสำนักเบญจอัสนีพาจูคุนหยางผู้อาวุโสใหญ่ รวมไปถึงศิษย์สายตรงของจูคุนหยางมาปรากฏตัวอยู่บนที่ราบหน้าผาซงเทา
การมาของพวกเขา ทำให้บุคคลผู้ยิ่งใหญ่จำนวนไม่น้อยที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์เบนสายตามองไปที่ซูอี้
บรรยากาศเปลี่ยนแปลงไป
“พี่เฉา ดูท่าแล้วคนที่รู้ว่าสำนักเบญจอัสนีต้องการจะสั่งสอนซูอี้ในครั้งนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเราสองคนเท่านั้น”
กู้ซานตูเคร่งเครียดขึ้นมา ถ่ายทอดเสียงออกไป “คนที่อยู่ในนี้ก็เหมือนกับพวกเรา ข้าสงสัยว่าพวกเขาอาจจะร่วมมือกับสำนักเบญจอัสนีจัดการสั่งสอนซูอี้ก็เป็นได้!”
เฉาอิ๋งพยักหน้า
เขาก็รู้สึกได้เช่นกันว่าบรรยากาศในงานมีความไม่ชอบมาพากล
โดยไม่ต้องสงสัย สำนักเบญจอัสนีอาจจะร่วมมือกับขุมกำลังจำนวนไม่น้อยก่อนหน้านี้แล้ว โดยมีจุดประสงค์โจมตีซูอี้พร้อมกันในงานวันนี้!
สำหรับเขากับกู้ซานตูแล้ว เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นข่าวดีมากข่าวหนึ่ง
“นายท่าน ดูเหมือนว่าจะมีความไม่ชอบมาพากลนะขอรับ”
หยวนเหิงสะดุ้ง แล้วส่งกระแสเสียงมา
ซูอี้ส่งเสียงตอบอืม จากนั้นหมุนจอกสุราในมือเล่น พลางกล่าว “หยวนเหิง เจ้าคิดว่าควรจะใช้วิธีใดจึงสามารถตั้งกฎเกณฑ์ที่ทำให้ขุมกำลังผู้ฝึกตนเหล่านี้ต้องเชื่อฟังทำตาม?”
หยวนเหิงครุ่นคิดพลางตอบ “ตามความเห็นของผู้น้อย ไม่เพียงแต่ต้องให้พวกเขาอธิบายถึงข้อดีข้อเสีย ยังจะต้องร่างกฎข้อบังคัง ตั้งคำมั่นสัญญาร่วมกัน และต้องแจ้งอย่างละเอียดชัดเจนถึงผลที่จะเกิดหากทำผิดกฎระเบียบ”
ซูอี้ส่ายหน้า แล้วกล่าวคำออก “เหล่านี้ล้วนไม่ใช่สิ่งสำคัญ ไม่มีความน่ากลัว”
หยวนเหิงตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นสอบถามด้วยความถ่อมตัว “ถ้าเช่นนั้นนายท่านคิดว่าควรต้องทำเช่นใด?”
ซูอี้โพล่งออกมา “ง่ายมาก เพียงแค่ห้าคำเท่านั้น เชือดไก่ให้ลิงดู ยิ่งไก่ที่เชือดตัวใหญ่ กฎระเบียบที่ตั้งไว้ก็ยิ่งไม่มีใครกล้าละเมิด”
หยวนเหิงตะลึง เห็นได้ชัดว่ามีข้อสงสัย
“สำหรับเจ้าสำนักของขุมกำลังเหล่านั้นแล้ว แต่ละคนผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน ต่างก็มีความคิดต่างกันไป แต่ละคนล้วนเอาเรื่องด้วยกันทั้งสิ้น”
ซูอี้กล่าว “เจ้าคอยดูก็แล้วกัน งานชุมนุมล่องเมฆาในวันนี้ หากว่าเมิ่งจิ้งไห่ เจ้าสำนักอนธการสยบนภาไม่อาจควบคุมคนทั้งหมดในที่นี้ได้ หากต้องการจะตั้งกฎระเบียบขึ้นมา จะต้องเกิดความขัดแย้งอย่างแน่นอน”
เพิ่งพูดถึงตรงนี้ ในงานก็เกิดความวุ่นวายขึ้น
ซงจั่งเฮ่อเพิ่งมาถึงที่ราบหน้าผาซงเทา พอเข้าสู่ที่นั่งก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนอยู่ที่ใด?”
ชิวเทียนฉื่อผู้ที่ทำตัวเป็นแขกในงานมาโดยตลอดสีหน้าเปลี่ยนไป รีบเดินมาข้างหน้าพร้อมกับผงกศีรษะแสดงความคารวะพร้อมกับกล่าว “ผู้อาวุโสมีเรื่องอันใดจะสั่งกำชับเช่นนั้นหรือ?”
ซงจั่งเฮ่อกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ไม่บังอาจสั่งกำชับ ข้าเพียงแค่ต้องการจะถามว่า ฝูอวิ๋นหลางของพวกเจ้าตอนนี้อยู่ที่ใด?”
พอถามเช่นนี้ออกมาหลานซัวก็ตัวแข็งทื่อสีหน้าเปลี่ยนในทันใด
สีหน้าของหยวนเหิงเคร่งเครียดลง
สองวันก่อน ในภูเขาใหญ่นอกเมืองตงฝู ซูอี้เคยให้หยวนซั่วนำความไปเตือนสำนักเบญจอัสนี ว่าหากยุติเพียงเท่านี้ จะไม่เอาความผิดกับเรื่องที่ผ่านมา
หากว่าไม่ยอมยุติ ถ้าเช่นนั้นในงานชุมนุมล่องเมฆา ซูอี้จะไม่เกรงใจ
“เรียนผู้อาวุโส หลังจากที่รู้ว่าฝูอวิ๋นหลางกระทำความผิด สำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนของข้าได้ขับไล่ฝูอวิ๋นหลางออกจากสำนักไปนานแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด ผู้น้อย… ไม่ทราบเช่นกัน”
ชิวเทียนฉื่อโค้งตัวตอบ เผชิญหน้ากับมหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณอย่างซงจั่งเฮ่อเช่นนี้ ทำให้เขาเหงื่อผุดกลางสันหลัง ประหวั่นพรั่นพรึง
ซงจั่งเฮ่อกล่าวเสียงเย็นยะเยือก “สละรถเพื่อรักษาแม่ทัพก็เท่านั้น พวกเจ้าคิดว่าตัดความสัมพันธ์ไปแล้วทุกอย่างก็จบเช่นนั้นหรือ?”
ชิวเทียนฉื่อหวาดกลัวหนักยิ่งขึ้น ไม่สนใจกับเรื่องอื่นอีก หันหน้าไปกล่าวกับหลานซัวที่นั่งในตำแหน่งที่ห่างออกไป “หลานซัว ยังไม่รีบบอกอีกว่าอาจารย์ของเจ้าอยู่ที่ใด?”
สายตาของทุกคนในงานหันไปมองดูทางซูอี้ด้วยสายตาประหลาด
พวกเขาคล้ายกับมองความหมายแฝงของซงจั่งเฮ่อออก เขาแสดงท่าทีราวกับเพ่งเล็งไปที่ชิวเทียนฉื่อ แต่ความเป็นจริงแล้วต้องการจะแสดงให้ซูอี้เห็น!
หลานซัวกำมือแน่น เม้มปากไม่พูด ทว่าสายตากลับหันไปมองดูซูอี้
ซูอี้เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ “คอยดูไปเท่านั้นพอ ส่วนอาจารย์ของเจ้า ข้าไม่เพิกเฉยดูดายเป็นแน่”
คำพูดประโยคเดียว ทำให้ชิวเทียนฉื่อถึงกับตาค้าง ทำอะไรไม่ถูก
คนทั้งหลายในงานต่างก็มีสีหน้าประหลาดขึ้นมา
ท่าทีของซูอี้แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่สนใจความเป็นความตายของชิวเทียนฉื่อ
แต่ว่า หากสำนักเบญจอัสนีต้องการจะทำอะไรอาจารย์อวิ๋นหลางล่ะก็ นั่นก็เท่ากับเป็นศัตรูของเขาซูอี้ด้วย!
ซงจั่งเฮ่อฟังความหมายที่แอบแฝงในคำพูดออกเป็นธรรมดา เขาจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยอยากจะพูดอะไรอีก
อยู่ ๆ เสียงหัวเราะดังกังวานก็ดังขึ้น
“สหายเต๋าทุกท่านมาร่วมงานในวันนี้ ทำให้สำนักอนธการสยบนภาของข้ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก ก่อนหน้านี้หากมีสิ่งใดที่ผิดพลาดไป หวังว่าทุกท่านจะให้อภัย”
ระหว่างที่พูด ชายร่างสูงใหญ่วัยกลางคนเดินออกมา
สวมชุดยาวสีม่วง สวมหมวกขนนก สายรัดสีขาว เดินผงาดสง่างาม ใครเห็นเป็นต้องครั่นคร้าม
เขาคือเมิ่งจิ้งไห่เจ้าสำนักอนธการสยบนภา!
ตัวตนในขอบเขตสยายวิญญาณ!
พร้อมกับการมาของเขา ผู้ยิ่งใหญ่จำนวนไม่น้อยต่างลุกขึ้นกล่าวแสดงความคารวะ
เมิ่งจิ้งไห่ทำความคารวะตอบทุกคนด้วยรอยยิ้ม
เมื่อมาถึงหน้าโต๊ะที่ซูอี้นั่ง ไม่รอให้ปู้ฝานซึ่งอยู่อีกด้านเอ่ยกล่าว เมิ่งจิ้งไห่ก็หัวเราะพลางประสานมือคารวะกล่าว
“คิดว่าท่านนี้คงจะเป็นสหายเต๋าซู ซูอี้ เมิ่งผู้นี้เคยได้ยินเรื่องราวมหัศจรรย์ที่ผ่านมาของสหายเต๋ามานาน ในใจรู้สึกเคารพศรัทธายิ่งนัก วันนี้ได้มาพบ เป็นหงส์มังกรท่ามกลางฝูงคนอย่างแท้จริง สมกับคำเล่าลือ!”
ซูอี้พยักหน้า กล่าว “ข้าไม่ชอบพูดเพื่อรักษามารยาท เจ้าจงไปทักทายคนอื่น ๆ เถิด”
ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น
เขาไม่ขยับเขยื้อน หยวนเหิงกับหลานซัวก็ไม่ขยับเขยื้อนเช่นกัน
ผู้ยิ่งใหญ่จำนวนไม่น้อยในงานเห็นเช่นนี้แล้วต่างก็นิ่งตะลึง เจ้าหนุ่มคนนี้หยิ่งผยองยโสโอหังเหมือนดังที่ล่ำลือกันจริง ๆ!
แม้กระทั่งเมิ่งจิ้งไห่เจ้าภาพผู้จัดงานมากล่าวทักทายด้วยตนเองก็ยังไม่ยอมแสดงความคารวะตอบ!
พวกเขาไม่รู้ สำหรับซูอี้แล้ว มองว่าการที่เขามาร่วมงานด้วยตนเองเช่นนี้ถือเป็นการไว้หน้าเมิ่งจิ้งไห่มากแล้ว…
เมิ่งจิ้งไห่ก็ตะลึงไปชั่วครู่เช่นกัน ฉับพลันเขาก็หัวเราะขึ้นมาแล้วไปทักทายคนอื่น ๆ ในงานต่อ
สุดท้ายจึงนั่งลงในตำแหน่งประธานทีี่ตั้งอยู่กลางงาน มองดูผู้ยิ่งใหญ่โดยรอบ ยิ้มพลางกล่าว “ทุกท่าน จุดประสงค์ที่เมิ่งผู้นี้จัดงานชุมนุมล่องเมฆาในครั้งนี้ขึ้น คิดว่าทุกท่านคงจะทราบกันดี”
ทุกคนในงานต่างก็ผงกศีรษะ
เมิ่งจิ้งไห่กล่าวต่ออีก “ตามความเห็นของเมิ่งผู้นี้ หากว่าทุกท่านในที่นี้มีความคิดเห็นอย่างเดียวกัน พวกเราก็จะไม่เกิดการต่อสู้ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนในใต้หล้า หรือว่าจะเป็นสรรพชีวิตในโลกนี้ ข้าเชื่อว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีมากเรื่องหนึ่ง”
“เมิ่งผู้นี้เชื่อเช่นกันว่า นี่เป็นสิ่งที่ทุกท่านคาดหวังจะได้เห็นเช่นกัน”
ขณะที่เมิ่งจิ้งไห่พูดถึงตรงนี้ ซงจั่งเฮ่อ เจ้าสำนักเบญจอัสนีก็เอ่ยขึ้น “พี่เมิ่ง ก่อนที่จะพูดเรื่องสำคัญ ข้ามีสิ่งหนึ่งจะพูด”
บรรยากาศในงานเงียบกริบลง
เมิ่งจิ้งไห่ราวกับคาดเดาอะไรได้ออก จึงกล่าว “สหายเต๋า มีเรื่องอันใด รอให้งานชุมนุมล่องเมฆาสิ้นสุดแล้วค่อยพูดจะดีกว่า”
ซงจั่งเฮ่อกล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “หากไม่พูด ข้ารู้สึกราวกับมีก้างปลาติดคอ มีชนักติดหลัง ไหนเลยจะมีจิตใจพูดถึงเรื่องสำคัญอีก?”
เมิ่งจิ้งไห่ขมวดหัวคิ้ว นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนกล่าว “เชิญสหายเต๋ากล่าวมาได้”
ซงจั่งเฮ่อกล่าวเสียงเครียด “ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ฝูอวิ๋นหลางแห่งสำนักจรัสฟ้าจบแดนทำร้ายคนของสำนักเบญจอัสนีของข้า เชื่อว่าพี่เมิ่งคงจะรู้เรื่องแย่งชิงโอสถล้ำค่านี้เป็นอย่างดีแล้ว”
“และตอนนี้ สำนักจรัสฟ้าจบแดนอยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักอนธการสยบนภาของพวกเจ้าไปนานแล้ว ข้าต้องการจะถามสักนิด พี่เมิ่งตั้งใจจะจัดการเรื่องนี้เช่นใด?”
ทุกคนในงานสงบนิ่งลง ปราศจากเสียง
“ซงจั่งเฮ่อเริ่มโจมตีแล้ว!”
ผู้ยิ่งใหญ่ในงานเช่นกู้ซานตูกับเฉาอิ๋งต่างก็สะดุ้งขึ้นมา
หลานซัวตัวเกร็งขึ้นมาราวกับนั่งอยู่บนพรมตะปู
“ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา ก็ยังมีข้าอยู่”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ
เขาเริ่มหมดความอดทนแล้ว นับตั้งแต่มาถึง หลานซัวตื่นตระหนกอยู่ตลอดราวกับลูกกวางน้อย ไม่รู้จักสงบใจบ้างเลย
แต่เมื่อนึกถึงสภาพของนาง กอปรกับเรื่องที่เป็นกังวลแล้ว ซูอี้ก็เข้าใจได้
หลานซัวมีอาการเช่นนี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา
นี่คือลักษณะของคนที่กังวลจนฟุ้งซ่าน
“เพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ด้วยฐานะและตำแหน่งของสหายเต๋า ต้องกังวลในเรื่องเหล่านี้ด้วยหรือ?”
เวลานี้ เมิ่งจิ้งไห่ส่งเสียงหัวเราะกังวานขึ้นมา “หากว่าสหายเต๋ารู้สึกไม่สบายใจ ข้าจะให้ชิวเทียนฉื่อออกมากล่าวขอโทษต่อเจ้า คิดว่าอย่างไร?”
ซงจั่งเฮ่อกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “ก็เหมือนดังที่พี่เมิ่งกล่าว เดิมทีเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยมากเรื่องหนึ่ง ทว่าเมื่อไม่นานมานี้… กลับมีคนบอกว่าให้สำนักเบญจอัสนีของพวกเรายุติเพียงเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะไม่เกรงใจต่อสำนักเบญจอัสนีของพวกเรา! ข้าไหนเลยจะกล้ามองว่าเป็นเรื่องเล็กได้อีก?”
ขณะที่พูด สายตาของเขาชำเลืองมองไปที่ซูอี้ราวกับไม่ตั้งใจ
ความหมายของเขานั้นแสดงออกอย่างเห็นได้ชัด!