บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 64 คืนฝนพรำดับชีวิตด้วยสายลม
ตอนที่ 64 คืนฝนพรำดับชีวิตด้วยสายลม
เนื่องจากสตรีในชุดทหารผู้นี้ซึ่งอายุราวสิบหกปี อยู่สุขสบายมาโดยตลอด ปรารถนาลมได้ลม ปรารถนาฝนได้ฝน ครั้งนี้จึงนับเป็นครั้งแรกที่นางได้พบคนเฉยเมยต่อตนเองเช่นซูอี้
นางทราบดี นับตั้งแต่เล็กจนเติบโต คนรอบตัวนางไม่ได้เกรงกลัวที่ตัวนาง แต่เป็นตระกูลที่อยู่เบื้องหลัง
กระนั้นแล้ว นางก็หาได้คาดคิดไม่ ว่ายามได้พบพานผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวตนเอง กระทั่งกล้าตอบโต้หลายครั้ง มันจะทำให้นางรู้สึกแย่ได้เพียงนี้
โดยเฉพาะท่าทีดูแคลนของซูอี้ยามโต้เถียงกับนาง กลายเป็นทำความมั่นใจนางเลือนหาย
กระนั้นแล้ว ยามได้ยินข้อเสนอของผู้คุ้มกันข้างกาย นางกัดฟันตอบพร้อมปฏิเสธ
ด้วยความภาคภูมิและทะนงตนของนาง ย่อมไม่คิดยืมแรงผู้อื่นสะสางเรื่องราวนี้!
“ถัดจากนี้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพบเจออันตรายเพียงใด อย่าได้เข้าช่วยเหลือ เว้นแต่เขาจะก้มหัวร้องขอให้ข้าช่วย!”
หลังสูดลมหายใจเข้าลึก สตรีในชุดทหารเอ่ยคำบอก
ถ้อยคำนางไม่ได้ลดเสียง ทั้งยังดูหมิ่นชัด ราวจงใจต้องการให้ซูอี้ได้ยิน
น่าเสียดายที่ซูอี้ทำเพียงหันหลังให้กับนางเท่านั้น ไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา ราวกับว่าเขาไม่คิดจริงจังแม้แต่น้อย
สตรีในชุดทหารขุ่นเคืองถึงขนาดกัดฟันดัง นางสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อควบคุมอารมณ์ตนเองไว้ ไม่ให้บุกเข้าไปใช้หนึ่งดาบฟาดฟันใส่ศีรษะซูอี้
“คุณหนูท่านนี้โปรดระงับโทสะด้วย ท่านเขยของข้าไม่ใช่ธรรมดา”
กัวปิ่งคล้ายตระหนักทราบถึงบรรยากาศ ขณะนี้เร่งรีบเข้าหาสตรีในชุดทางการทหาร กล่าวคำอธิบายด้วยรอยยิ้ม เพื่อสานสัมพันธ์อันตึงเครียดต่อซูอี้ให้ผ่อนคลายลง
“เขาวิเศษมาแต่ใด?”
สตรีในชุดเครื่องแบบพ่นลมหายใจเย็นชา
กัวปิ่งคล้ายไม่ได้ตระหนักถึงน้ำเสียงดูหมิ่นของนาง ถ้อยคำจึงกล่าวตอบอย่างภาคภูมิ “แท้จริงแล้ว งานประลองประตูมังกรเมื่อวานซืนที่ผ่านมา ท่านเขยได้รับอันดับหนึ่งของงานประลอง! เรื่องนี้สองฟากฝั่งแม่น้ำต้าฉางล้วนทราบ กระทั่งผู้คนเมืองลั่วอวิ๋นยังกล่าวขานถึงท่านเขย”
สตรีในชุดทางการทหารชะงักไปครู่ ขณะประหลาดใจ นางจับจ้องแผ่นหลังซูอี้จากระยะไกลห่างพลางพึมพำ “เป็นเช่นนี้นี่เอง ไม่แปลกใจที่วางท่ากระตุ้นอารมณ์ได้โดยตลอด ที่แท้เพราะชนะเลิศงานประลองประตูมังกร กลับกลายเป็นมีดวงตาอยู่เหนือศีรษะเสียได้!”
ครานี้ กัวปิ่งได้ตระหนักถึงถ้อยคำประชดประชันอย่างชัดเจน ชั่วขณะรู้สึกไม่ยินดี สตรีผู้นี้แม้จะยังเด็ก แต่เหตุใดไม่รู้ความได้ถึงเพียงนี้
หรือเพราะในสายตานาง งานประลองประตูมังกรเป็นของดาษดื่น?
ตระหนักเรื่องนี้ได้ กัวปิ่งจึงส่ายศีรษะขับไล่ความคิด โดยไม่คิดเอ่ยคำใดถึงเรื่องนี้อีก
ทว่ากัวปิ่งหาได้ทราบไม่ ในสายตาของสตรีในชุดทหาร งานประลองประตูมังกรของเมืองเล็กจ้อยเช่นเมืองกว่างหลิงนั้นไม่ควรค่าให้แลมองด้วยซ้ำ…
ครืน!
เสียงฟ้าคำรามต่ำดังมาแต่ไกล เป็นผลให้กระเบื้องหลังคาวัดร้างสั่นสะเทือน ฝุ่นเกิดร่วงหล่นลงมาจากด้านบน
สตรีในชุดทหารที่ตระหนก ขณะนี้มองออกไปยังภายนอก
“คุณหนู คล้ายว่าฝนใกล้ตกแล้ว” อาหย่งขมวดคิ้ว
ผู้บ่มเพาะมักอ่อนไหวกับการแปรเปลี่ยนของพลังในฟ้าดิน ขณะเดียวกันนี้ เขาเริ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความหนาวเย็นในอากาศ
แน่นอนหลังจากสิ้นเสียงฟ้าคำราม ฝนก็เริ่มร่วงหล่นจากเบาไปหนักหนา โลกหล้าเริ่มมืดครึ้มคล้ายกับเข้าสู่ยามราตรี ชายคาของวัดที่ผุพังแห่งนี้ปรากฏแต่เสียงฝนตกกระทบ
ป่าสนขาวซึ่งสูงตระหง่านไกลห่าง ได้ถูกปกคลุมด้วยเม็ดฝนและห้วงความมืดมิด บางครั้งยังปรากฏฟ้าแลบแปลบปลาบจากหมู่เมฆ เผยให้เห็นต้นสนขาวกลางสายลมและเม็ดฝน ประหนึ่งปีศาจกำลังร้องเล่นเต้นรำ
หมองหม่น มืดมิด และหนาวเหน็บ
กัวปิ่งตะโกนคำเสียงดังเอ่ยขึ้น “รีบแล้ว ต้องรีบก่อกองไฟ ยามฝนตกคือช่วงเวลาอันตรายที่สุดของภูเขามารดาภูตผี ต้องไม่ออกไปเดินเล่นภายนอก หากไม่แล้วอาจถึงฆาต!”
บนใบหน้าที่บิดเบี้ยวน่ากลัวของเขา มันแสดงชัดถึงความหวาดกลัว
อาหย่งรู้สึกแข็งทื่อภายในใจ ขณะนี้ไม่กล้าชักช้า แล้วกล่าวคำสั่งการ “พวกเจ้ารีบไปก่อกองไฟ จัดการกับร่างศพด้วย จากนั้นเฝ้าประตูโถงและด้านนอกเอาไว้ เพื่อไม่ให้มีพวกลักซ่อนใดเข้ามาในยามฝนตก”
คณะผู้คุ้มกันเร่งรีบกระทำตามคำสั่ง
ไม่ช้า ไฟกองหนึ่งลุกโชนเผาไหม้รุนแรงได้ขับไล่ความมืดและอากาศหนาวเย็นในโถงไป
สตรีในชุดทหารนั่งอยู่ข้างเคียงกองไฟ
ทหารยามบางส่วนนำอาหารที่พกไว้ออกมา ไม่ช้าจึงส่งให้สตรีในชุดทหาร ทั้งยังมีสุรา เนื้อ ทั้งยังมีของทานเล่น รวมแล้วหลากหลายอย่าง
สตรีในชุดทหารนำสุราและเนื้อ ส่งมอบให้กัวปิ่งพร้อมกล่าว “กินเสีย”
กัวปิ่งกลืนน้ำลายตอบ สายตาหันมองยังประตูห้องโถงใหญ่ คำกล่าวด้วยความลังเล “ท่านเขย ขณะนี้ดึกมากแล้ว ไม่มาทานอาหารเสียก่อนหรือ?”
ซูอี้ยืนใต้ชายคาโถงหลักพร้อมมือไพล่หลัง สายตารับชมเม็ดฝนไกลห่าง ถ้อยคำกล่าวราบเรียบ “ไม่ต้องห่วงข้า”
สตรีในชุดทหารฮึมฮัมกล่าวคำ “อาหารเหล่านี้ก็ไม่ใช่เตรียมไว้ให้เจ้า!”
เวลาผ่านไป
สตรีในชุดทหารกินดื่มจนอิ่มท้อง ฝนข้างนอกยังคงหนักหน่วง ไร้ซึ่งสัญญาณว่าจะแผ่วเบาลง
ซูอี้กลับเข้ามาในโถง เลือกเดินไปนั่งโดดเดี่ยวบริเวณเทวรูปซึ่งหันหลังให้ประตู พร้อมหลับตาลงทำสมาธิ
เทวรูปหันหลังให้สรรพชีวิต
ซูอี้หันหลังเข้าหาเทวรูป ราวกับเป็นการช่วยเติมเต็ม
ซ่าซ่าซ่า!
เม็ดฝนกระทบชายคา ไอน้ำระเหยหายไปในความมืด
ด้านนอกมีลมแรงและฝนตกหนัก ทว่ากองไฟในห้องโถงยังคงอบอุ่น
อาหย่งย้ายดาบที่แผ่นหลังไว้ตรงหน้าเข่า สายตามองยังประตูทางเข้าโถง นั่งเหยียดหลังตรงและหลับตา
คณะผู้คุ้มกันคนอื่นต่างพูดคุยกันเสียงเบา
กัวปิ่งนอนขดตัวข้างกองไฟ สีหน้านั้นกังวล เขาได้เห็นจากสภาพฝนที่ตก แสดงว่าค่ำคืนนี้ยากที่จะหยุดลง
มันหมายความถึง ทั้งคณะจะต้องค้างคืนในซากวัดแห่งนี้ไปโดยปริยาย
สตรีในชุดทหารคล้ายเกิดรำคาญ นางกล่าวคำออก “นี่ออกจะนานเกินไปแล้ว เหตุใดคนจากพรรคมารหยินเหล่านั้นยังไม่เสนอหน้ากันมา?”
เสียงเงียบลงไป
ดวงตาของซูอี้ที่หลับอยู่ลืมตื่นขึ้น
ฟู่ฟู่ฟู่!
พลังหยินคลื่นหนึ่งโถมใส่ประตูที่ปิดอยู่ราวลมกระโชกรุนแรง จนกระทั่งประตูเปิดพรวดออก
กองไฟโหมลุกโชนด้วยสายลมพัดเข้าหา สะเก็ดไฟนับไม่ถ้วนกระจัดกระจาย และมอดดับในทันที
ทั้งห้องโถงกลายเป็นตกสู่ความมืด
“คุ้มกันคุณหนู!”
“ระวังไว้ อาจเป็นฝูงแมลงปีศาจ!”
…ภายในโถงเกิดความวุ่นวาย เสียงร้องตะโกนสั่งการกราดเกรี้ยวและเสียงชักอาวุธ มันดังก้องทั่วทั้งห้องโถงอันมืดมิด
ชั่วเวลาเดียวกันนี้ กัวปิ่งถูกจับตัวยกขึ้นจากทางด้านหลังอย่างฉับพลัน
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำเขาแทบจิตหลุด ขณะคิดขัดขืนและส่งเสียงร้อง น้ำเสียงอันราบเรียบของซูอี้กลับดังข้างโสตประสาทรับฟัง
“ตาเฒ่ากัวอย่าได้แตกตื่น”
กัวปิ่งตกใจไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอนหายใจโล่งอกและเลิกขัดขืน
ในโถงใหญ่มืดสนิท แทบไม่อาจมองเห็นอะไรได้
กระนั้นแล้ว ซูอี้กลับเดินไปพร้อมแบกร่างกัวปิ่งอย่างรวดเร็ว มุ่งตรงเข้าหายังเทวรูป
ตัวเขาโดนทัศนวิสัยเล่นงานเช่นเดียวกัน ที่ได้เห็นจึงเป็นเพียงภาพเลือนราง
ทว่าอุปสรรคเพียงเท่านี้มันไม่มากพอหยุดการเคลื่อนไหวของชายหนุ่ม
ในทางกลับกัน ภายใต้บรรยากาศเช่นตอนนี้ ประสาทสัมผัสทั้งหมดของตัวเขาจะยิ่งตื่นรู้มากขึ้น
การต่อสู้ปะทุขึ้นภายในโถง เสียงอาวุธมีคมกระทบต่อกัน เสียงย่ำเท้าต่อเนื่อง รวมถึงเสียงหอบลมหายใจ
เสียงหนึ่งราวปะทุระเบิดแตกออกพุ่งมาด้วยความเร็ว
ทั้งห้องโถงอลหม่าน ทั้งยังอันตรายวิกฤต ผู้คนรับรู้ได้ถึงอันตรายจนจิตเตลิด
ฉัวะ!
ทันใดนั้น ข้อมือของซูอี้สะบัดไป ดาบสุดแดนดินถูกชักออกจากฝักไผ่สีเขียว ด้วยประกายแสงเย็นเยือก แมลงปีศาจสิบกว่าตัวที่พุ่งเข้าหาด้วยความเร็วสูงจากความว่างเปล่าพลันถูกฟาดฟัน พริบตาร่างพวกมันก็ระเบิดเป็นผุยผง
กัวปิ่งเกิดปรากฏเม็ดเหงื่อกาฬเย็นเยียบ
ภัยอันตรายมาเยือนอย่างกะทันหัน เขากลับไม่สังเกตพบเห็นสังหรณ์ใดก่อน!
สายลมหยินส่งเสียง ก่อนที่ประตูวัดจะถูกกระแทกอีกครา กระแสไอเย็นเยือกไหลเข้ามา ไม่รู้ทราบว่าแมลงปีศาจที่เข้ามานี้มีมากเพียงใด
การต่อสู้ดำเนินต่อไป
ซูอี้ยืนตรงนั้นนิ่งเฉย มีเพียงยามตระหนักได้ถึงอันตราย ดาบสุดแดนดินจะเปรียบดังมีดวงตา มันพร้อมเคลื่อนฟันแทงใส่แมลงปีศาจทุกตัวโดยแม่นยำ ไร้การพลาดเป้า ทั้งยังเป็นไปโดยผ่อนคลาย
การกระทำนี้ทำกัวปิ่งเกิดรู้สึกปลอดภัย ความหวาดกลัวในใจค่อยเลือนหาย
ผ่านไปราวหนึ่งในสี่ชั่วยาม
ในสายฝนกลางความมืดห่างจากโถงใหญ่ทันใดมีเสียงแหลมของขลุ่ยกระดูกดังขึ้น
มันเป็นประหนึ่งสัญญาณ สายลมคลั่งที่โหมใส่ได้พัดหายไปอย่างรวดเร็ว พวกแมลงปีศาจที่อยู่ในโถงจึงถอยหายไปประหนึ่งถูกเรียกกลับ
“หยุดไล่ตาม จุดไฟก่อน!”
เสียงหนักแน่นดุจเหล็กกล้าของอาหย่งดังขึ้นในความมืด
ไม่นานนัก กองไฟถูกจุดขึ้นอีกครั้ง แสงไฟช่วยขับไล่ความมืด
เมื่อทัศนวิสัยกลับมา ทั้งโถงก็เต็มไปด้วยความวุ่นวาย อาหย่งและกลุ่มผู้คุ้มกันล้อมรอบสตรีในชุดทหารเอาไว้ สีหน้าเหล่านั้นทั้งหวาดกลัวและเคร่งเครียด
ที่บนพื้น มีซากศพแมลงสีดำมากมายตกอยู่
ซูอี้สำรวจมองรอบ ก่อนจะกล่าวบอกกัวปิ่ง “ปลอดภัยแล้ว”
แต่แล้ว สีหน้าอาหย่งแปรเปลี่ยน ฝีเท้าเร่งก้าวเดินออกไปนอกโถง
ยามเมื่อกลับมา ใบหน้านั้นดูย่ำแย่ “คุณหนู หูจิ่วและจางถงถูกเล่นงานไปแล้ว”
ทั้งสองเดิมเป็นผู้คุ้มกันซึ่งประจำอยู่ด้านนอกโถง
ขณะที่อาหย่งไปตรวจสอบภายนอกโถง ศพทั้งสองร่างล้มกับพื้น เลือดเนื้อถูกสูบกินหมดสิ้น ชีวิตดับสิ้นอย่างอนาถา
สตรีในชุดทหารเบิกตากว้าง สีหน้าซีดเผือด
นับเป็นครั้งแรกที่นางเผชิญเหตุสลดเช่นนี้ตั้งแต่โตมา จนนางรู้สึกทั้งเศร้าและโกรธในเวลาเดียวกัน
“คุณหนู สำหรับนักรบอายุเท่าพวกข้า ความเป็นความตายเป็นเรื่องธรรมดา ขอท่านอย่าได้โศกเสียใจ”
อาหย่งก้าวเข้าหา กล่าวคำอบอุ่นปลอบ “สาเหตุที่บิดาท่านให้ออกเดินทางครั้งนี้ก็เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ มีเพียงหนทางนี้จึงจะทำให้ท่านเติบโตโดยแท้จริงได้”
สตรีในชุดทหารยังคงเศร้าใจ น้ำเสียงปรากฏความอับจน “แต่ข้าไม่นึกว่าการเดินทางครั้งนี้จะนำมาซึ่งชีวิตที่สูญเสีย”
“เวลานี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น”
ชั่วขณะ ซูอี้ที่ยืนตรงหน้าเทวรูปเอ่ยคำขึ้น “หากคาดเดาไม่ผิด ค่ำคืนนี้คงไร้ซึ่งความสงบ สิ่งสำคัญคือเตรียมพร้อมต่อสู้ ไม่ใช่เศร้าเสียใจ”
สตรีในชุดทหารราวเกิดโทสะ “เรื่องของตัวข้า ใช่ธุระเจ้าพูดกล่าวงั้นหรือ? ครั้งต่อสู้เมื่อครู่นี้ ก็ไม่เห็นเจ้าจะมีฝีมือที่ตรงใด หากจะมีก็หลบเลี่ยงเก่งกาจกว่าผู้อื่น!”
อาหย่งกล่าวคำเบา “คุณหนู เขากล่าวไม่ผิด ครั้งถัดจากนี้จะยิ่งหนักหนามากขึ้น”
สีหน้าของเขาดูเคร่งเครียด เพราะตระหนักได้ถึงสถานการณ์อันเลวร้ายในขณะนี้
สีหน้าของสตรีในชุดทหารแปรเปลี่ยนฉับพลัน “จะมีคนตายเพิ่มงั้นหรือ?”
อาหย่งเงียบไปครู่ก่อนจะตอบคำ “ข้าจะพยายามไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนั้นซ้ำอีก”
หัวใจของสตรีในชุดทหารพลันดิ่งฮวบ
แม้กระทั่งอาหย่งที่นางนับถือและเชื่อใจยังกล่าวเช่นนี้ หมายความถึงสถานการณ์ในค่ำคืนนี้คงจะเลวร้ายสุดขีด
ขณะนี้เอง คิ้วของซูอี้เลิกขึ้น สายตามองออกไปภายนอกโถง
สิ่งที่ได้เห็น…
คือร่างหนึ่งที่เดินเอื่อยเฉื่อยเข้ามาจากทางประตูวัด
ร่างนั้นก้าวเดินในความมืดท่ามกลางฝนที่ตกหนัก และสายลมแรงอย่างสบาย ประหนึ่งกำลังเดินเล่น