บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 641 ปั้นควายลงทะเล สลายตัวไร้รูปร่าง
ตอนที่ 641: ปั้นควายลงทะเล สลายตัวไร้รูปร่าง
ตอนที่ 641: ปั้นควายลงทะเล สลายตัวไร้รูปร่าง
ที่ราบหน้าผาซงเทาเกิดความระส่ำระสาย
ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีอำนาจในขุมกำลัง หรือไม่ว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นเสาหลักต่างพากันตะลึงและโกรธเกรี้ยวผสมปนเปกันไป
ดังเช่นผู้มีท่าทีเป็นกลางอย่างฟู่อวิ๋นคงเจ้าศาลาดาบหลิงเซียว เวลานี้ก็ยังอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน
นี่เป็นงานชุมนุมล่องเมฆา ทุกคนมาที่นี่เพื่อปรึกษาหารือกัน
แต่ซูอี้กลับลงไม้ลงมือโดยไม่คำนึงถึงกฎเกณฑ์เลยแม้แต่น้อย!
ขืนปล่อยเช่นนี้ต่อไป งานใหญ่ในวันนี้ยังจะสามารถดำเนินการต่อไปได้อีกเช่นนั้นหรือ?
ซูอี้ทำบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว!
เป็นตัวตนที่ไม่มีความเกรงกลัว ทำตามความชอบใจ เอาตนเองเป็นที่ตั้ง …ทว่าเวลาเช่นนี้ พวกเขาไม่ต้องการจะเอาตัวเข้าเสี่ยง
ไม่เห็นหรือว่าส่านอวิ๋นฉีเจ้าสำนักรุ้งเขียวก็ยังโดนซัดเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อ?
“ทุกท่าน หรือว่าทุกท่านมองคน ๆ นี้กระทำการอุกอาจอย่างหน้าตาเฉยได้?”
ฮูหยินฮัวถิงหน้าเขียวปั้ด และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ
นางก็ตื่นตระหนกเช่นกัน ทั้งโกรธทั้งตกใจ เวลาที่พูดนางระมัดระวังอย่างเต็มที่ ราวกับกลัวว่าซูอี้จะลงมืออีกโดยไม่ทันตั้งตัว
และความเป็นจริงก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสิ่งที่ฮูหยินฮัวถิงกังวลนั้นไม่ผิดเลย
เสียงของนางยังคงดังก้อง ทว่าซูอี้ซัดฝ่ามือออกมาในระยะไกลเสียแล้ว
ในฐานะที่ฮูหยินฮัวถิงเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักหมู่พฤกษา และก็เป็นผู้ฝึกตนที่มีความแข็งแกร่งในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอยู่แล้ว ความสามารถนั้นยังเหนือกว่าส่านอวิ๋นฉีเสียด้วยซ้ำ
แต่เมื่อเจอกับฝ่ามือนี้เข้า สองมือของนางประสานกันกลางอากาศ นิ้วเรียวยาวทั้งสิบออกแรงดึง
วูบ!
พลังมหาวิถีสั่นสะเทือน ผสานเป็นดอกไม้สีเขียวขนาดใหญ่ที่งดงามบดบังอยู่ตรงหน้าตัวฮูหยินฮัวถิง
กลีบดอกไม้สีเขียวค่อย ๆ คลี่บานออกทีละกลีบ แต่ละกลีบเปล่งประกายแสงสีทอง ราวกับโล่คุ้มกันชั้นแล้วชั้นเล่า มีรัศมีส่องแสงเรืองรอง
โล่ป้องกันพันกลีบ!
เป็นวิชาการป้องกันอันลึกล้ำวิชาหนึ่ง กลีบดอกไม้สามสิบหกชั้นซ้อนทับกัน ซึ่งสามารถต้านทานและสลายพลังการโจมตีของผู้ฝึกตนในขอบเขตอื่นก็ได้
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้ยิ่งใหญ่จำนวนไม่น้อยถึงกับตาลุกวาว ไม่เสียแรงที่เป็นฮูหยินฮัวถิง วิชาการป้องกันตัวนี้ เห็นได้ชัดว่าถึงขั้นสุดยอด เพียงแค่ยกมือก็แสดงออกมาอย่างง่ายดาย!
และแล้ว…
เสียงระเบิดก็ดังขึ้น
ภายใต้สายตาจับจ้องตื่นตะลึงของคนทั้งหลาย กลีบดอกไม้สีเขียวขนาดใหญ่ที่ซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ นั้นกลับโดนซูอี้ซัดจนแหลกราวกับกระดาษ!
ท่ามกลางสะเก็ดแสงแสบตาที่สาดกระเซ็น
ร่างอรชรหยดย้อยของฮูหยินฮัวถิงโอนเอน ก่อนจะล้มลงไปกองกับพื้นพร้อมกับเสียงดังปัง ปิ่นปักผมที่เสียบอยู่สั่นสะเทือนจนแตก ผมยาวหลุดร่วงลงอยู่ในสภาพยุ่งเหยิงดูไม่ได้
ถึงแม้สุดท้ายฮูหยินฮัวถิงจะรับฝ่ามือนี้ไว้ได้ แต่พลังการโจมตีที่น่าหวาดกลัวเช่นนั้น ได้สร้างความสั่นสะเทือนจนอวัยวะภายในสั่นคลอน ร่างกายเจ็บปวดอย่างแรงจนถึงกับกระอักเลือดออกมา!
ใบหน้างดงามนั้นเปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน
“นี่…”
ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายในงานตาค้างด้วยความตะลึงงัน ในใจจของแต่ละคนรู้สึกหนาววาบ
ด้านหนึ่งเป็นเพราะตะลึงในท่าทีแข็งกระด้างของซูอี้
ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นเพราะ เวลานี้ พวกเขาเพิ่งจะตระหนักเข้าใจได้แล้วว่า เรื่องเล่าทั้งหมดที่เกี่ยวกับซูอี้ไม่ได้เกินความจริงเลยแม้แต่น้อย
คนหนุ่มผู้มีระดับการฝึกตนเพียงแค่ขอบเขตรวบรวมดารา แต่กลับมีกำลังการต่อสู้อันร้ายกาจที่สามารถสยบผู้แข็งแกร่งในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้อย่างง่ายดาย!
“แค่ไก่และสุนัขข้างทางเท่านั้น หาเรื่องใส่ตัวเองโดยแท้”
หยวนเหิงถึงอดหัวเราะเย็นขึ้นมาไม่ได้ ทั่วทั้งงานมีแต่เขาเท่านั้นที่สงบที่สุด
“เช่นนั้นหรือ…”
หลานซัวสะดุ้ง สายตาเลื่อนลอย
จู่ ๆ นางก็เกิดความคิดวู่วามหนึ่งขึ้นมาอย่างแรงกล้า นางอยากจะทำความเข้าใจว่าในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้ ที่แท้แล้วเกิดอะไรขึ้นกับซูอี้!
“ยังดีที่นับแต่แรกเริ่มข้าแสดงความเคารพต่อซูอี้ ไม่เคยแสดงท่าทีเมินชาแม้แต่น้อย…”
เมิ่งจิ้งไห่ลอบปาดเหงื่อให้ตัวเอง
เวลานี้ เมื่อเห็นซูอี้ก้าวเดินเข้ามาหา จูคุนหยางผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักเบญจอัสนีก็อดทนต่อไปไม่ไหวอีก แล้วจึงแผดเสียงคำราม
“ซูอี้! เจ้าทำเช่นนี้ เท่ากับทำลายงานชุมนุมล่องเมฆา ไม่กลัวหรือว่าจะสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้ฝึกตนในใต้หล้า?”
เสียงกระจายไปทั่วบริเวณ
“เจ้าเป็นสิ่งชั่วช้าจากต่างโลกต่างภพภูมิ มีคุณสมบัติอันใดที่จะเป็นตัวแทนของผู้ฝึกตนในใต้หล้า?”
ซูอี้หัวเราะสบายอารมณ์ จากนั้นงอนิ้ว “ไสหัวไปไกล ๆ ”
คำพูดพลิ้ว ๆ พลังแห่งวิถีที่เบาสบาย
ทว่าจูคุนหยางมหาปราชญ์สวรรค์แห่งขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณท่านนี้ราวกับโดนภูเขาดึกดำบรรพ์ซัดกระแทกร่าง ท่ามกลางเสียงกระแทกหนัก ๆ ร่างของเขากระเด็นออกไปไกล กลิ้งไปไกลถึงหลายสิบจั้ง สภาพน่าสมเพชยิ่งนัก
“อาจารย์!”
หยวนซั่วตกใจจนขวัญหนี ทรุดลงไปกองกับพื้นในทันใด ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างแรง
เช่นนี้เป็นการเสียหน้าอย่างแรง
ทว่าเวลานี้ ไม่มีใครสนใจบุคคลตัวเล็ก ๆ อย่างเขาเช่นนี้อีก
สายตาทุกคู่ล้วนจับจ้องไปที่ร่างสูงโปร่งของซูอี้ด้วยความตื่นตระหนก
ผู้ที่มีท่าทีเป็นกลางอย่างฟู่อวิ๋นคงเจ้าสำนักดาบทะลุเมฆาก็ยังถึงกับตัวแข็งกระด้าง ไม่อาจสงบใจได้อีกแล้ว
ซูอี้แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
ในเงื้อมมือของซูอี้ ตัวตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณที่สามารถจะก้มมองดูผู้ฝึกตนในใต้หล้าได้อย่างหยิ่งผยองกลับไม่ได้เรื่องเลยสักนิด!
ต้องเข้าใจว่า ตัวตนอย่างส่านอวิ๋นฉี ฮูหยินฮัวถิง และจูคุนหยางเช่นนี้ล้วนเป็นเสาหลักของขุมกำลังระดับต้น ๆ ด้วยกันทั้งสิ้น
เป็นเพราะมีคนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเหล่านี้อยู่ ขุมกำลังที่พวกเขาอยู่จึงสามารถเป็นใหญ่ได้ในใต้หล้า!
ทว่าต่อหน้าซูอี้แล้ว พวกเขากลับแลดูไม่เอาไหนเสียเลย!
จะให้ผู้ยิ่งใหญ่คนอื่น ๆ ในงานไม่ตื่นตระหนก ไม่หวาดกลัวต่อภาพเหตุการณ์แต่ละภาพเหล่านี้ได้เช่นใด?
ซงจั่งเฮ่อเจ้าสำนักเบญจอัสนีสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมา
ก่อนหน้านี้เขาก็เคยได้ยินเช่นกันว่าซูอี้แข็งแกร่งเพียงใด
และก็เป็นเพราะเหตุนี้ หลังจากที่รู้ว่าซูอี้สอดเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของฝูอวิ๋นหลาง เขาเพียงแค่ต้องการจะฉวยโอกาสนี้สั่งสอนซูอี้สักหน่อย เพื่อลดความอหังการของซูอี้ลงบ้างก็เท่านั้น
ทว่าซงจั่งเฮ่อไม่คาดคิดมาก่อนว่า เขาต้องการเพียงแค่คำขอโทษของซูอี้เท่านั้น ฝ่ายตรงข้ามไม่เพียงแต่ไม่ยอม ทั้งยังถึงขั้นพลิกโต๊ะกันเลย!
ไม่มีคุณธรรมเลยสักนิด!
ทว่าสถานการณ์ตรงหน้าเช่นนี้ทำให้ซงจั่งเฮ่อลงจากหลังเสือลำบากเสียแล้ว อยากจะมานึกเสียใจภายหลังก็ไม่ได้เสียแล้ว เพราะอย่างไรเสียซูอี้ได้พลิกโต๊ะไปแล้ว ไหนเลยจะเหลือโอกาสให้พูดคุยกันอีก?
เวลานี้ ซูอี้อยู่ห่างจากซงจั่งเฮ่อเพียงแค่สามจั้งเท่านั้น
เขายกกาสุราที่ถือด้วยมือซ้ายขึ้น ดื่มไปอึกหนึ่งแล้วก็สาวเท้าก้าวเดินไปต่อ
ทว่าในสายตาของคนทั้งหลายเวลานี้ ท่าทีสบาย ๆ เช่นนี้ของชายหนุ่มกลับแฝงไว้ซึ่งพลังกดดันที่ยากจะพรรณนาออกมาได้
“ซูอี้! เจ้ารังแกกันเกินไปแล้ว!”
ซงจั่งเฮ่ออดทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว และส่งเสียงร้องตะคอกดัง ๆ พร้อมกับลงมือ
ชิ้ง!
เสียงดาบร่ำร้องราวกับเสียงมังกรผงาดเสือคำรามก็ดังไปทั่วยอดเขาแท่นเมฆา
คนทั้งหลายต่างรู้สึกแสบตา
จากนั้นจึงพบว่าในมือซงจั่งเฮ่อ มีดาบวิถีลายต้นสนที่มีสายฟ้าฟาดล้อมรอบปรากฏขึ้น
ดาวยาวเพียงแค่สองศอก ตัวดาบหลอมประทับด้วยพลังอัสนีพิฆาตอันเรืองรองแสบตาของธาตุไม้ ธาตุทอง ธาตุไฟ ธาตุดิน และธาตุน้ำ
แสงเพลิงไฟเจิดจรัสบาดตา!
ดาบลายสนเบญจอัสนี!
อาวุธวิถีวิญญาณที่ซงจั่งเฮ่อใช้เลือดเนื้อและจิตใจฝึกฝนและบ่มเพาะมานานถึงสามร้อยปี และก็เป็นสมบัติวิญญาณคู่ชีพที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาด้วยเช่นกัน
มีดาบอยู่ในมือ พลังของซงจั่งเฮ่อเปลี่ยนแปลงไป แขนเสื้อทั้งสองข้างพองลม ผมสยายพลิ้ว อานุภาพรุนแรงราวกับสายฟ้าอัสนีแผ่กระจายไปรอบตัว สร้างความตื่นตะลึงไปทั่ว
ไม่รู้ว่ามีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่จำนวนเท่าใดกันที่ตื่นตะลึงกับพลังของซงจั่งเฮ่อ
“คน ๆ นี้มีพื้นฐานอยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นสมบูรณ์ ไม่ด้อยไปกว่าตัวตนในขอบเขตสยายวิญญาณระยะต้นเลย…”
สายตาของเมิ่งจิ้งไห่ผุดประกาย
ตัวเขาเองอยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณ จึงสามารถแยกแยะได้ออกเป็นธรรมดาว่าพลังอานุภาพในตัวซงจั่งเฮ่อนั้นแข็งแกร่งเพียงใด
เมื่อมองออกไป ภายในอาณาจักรต้าฉินตอนนี้ ตัวตนที่สามารถทำให้เมิ่งจิ้งไห่รู้สึกหวาดกลัวได้นั้นมีอยู่น้อยนัก ซงจั่งเฮ่อแห่งสำนักเบญจอัสนีคือหนึ่งในจำนวนน้อยนิดนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย!
มีแต่ซูอี้เท่านั้นที่แสดงสีหน้าดูแคลนออกมา
วิถีแห่งเบญจอัสนี ใช้สายเลือดบรมจารย์สวรรค์วิถีเป็นสายหลัก ควบคุมพลังแห่งเบญจอัสนี แย่งพลังแห่งฟ้าดิน แข็งแกร่งและอหังการเป็นที่สุด พลังทำลายล้างตื่นตะลึงทั้งโลกา
พวกผู้ฝึกจิตวิญญาณที่ใช้วิญญาณมืดภูตผีเป็นที่ตั้ง เกรงกลัวผู้สืบทอดสายเลือดบรมจารย์สวรรค์วิถีเป็นที่สุด เพราะว่าสิ่งที่ผู้ฝึกตนในด้านนี้ชื่นชอบที่สุดและถนัดที่สุดก็คือขจัดผีกำจัดมาร
ซงจั่งเฮ่อฝึกฝนพลังแห่งเบญจอัสนีเช่นกัน ไม่เพียงสร้างเสียงดังอันน่าหวาดกลัว อีกทั้งหลอมรวมเข้าสู่วิถีดาบ
ทว่าในสายตาของซูอี้ กลับยังห่างไกลจากสายเลือดบรมจารย์สวรรค์วิถีมากนัก
“คงเป็นเพราะไม่รู้ถึงความลึกล้ำที่สืบทอดกันมาในการฝึก ‘พลังแห่งเบญจอัสนี’ จึงทำให้พลังของเขาด้อยไปมาก”
ซูอี้คิด
“ขึ้น!”
ซงจั่งเฮ่อแผดเสียงอัสนีแห่งวสันต์อย่างรวดเร็ว
ครืน!
ฟ้าดินสั่นสะท้าน เมฆบนฟ้าสลายตัว
เมื่อดาบลายสนเบญจอัสนีของซงจั่งเฮ่อพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า คลื่นพลังที่สร้างขึ้นจากเพลิงแสงอัสนีทั้งห้าก็โหมกระหน่ำ
คล้ายกับทะเลอัสนีพลังดาบอันยิ่งใหญ่!
ภาพที่น่าหวาดกลัวเช่นนั้นทำให้ผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนที่รวมตัวอยู่ใต้เชิงหุบเขาวิญญาณล่องเมฆาต่างพากันแหงนหน้าขึ้นมองปรากฏการณ์ประหลาดที่ไม่คาดคิด…
บนท้องฟ้า สายฟ้าหลากสี ทำให้ท้องฟ้าในแถบนั้นเกิดเป็นภาพที่งดงามขึ้นมา!
“ดาบเช่นนี้ ยอดเยี่ยมมาก!”
กู้ซานตูสูดปาก เขาก็อยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณเช่นกัน ทว่าชั่วขณะนี้รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่พุ่งเข้ามาหาได้อย่างชัดเจน
“ร้ายกาจมากจริง ๆ”
ดวงตาของเฉาอิ๋งเป็นประกาย ความตื่นตระหนกผุดขึ้นบนใบหน้า
ชั่วขณะนี้ บนลานหน้าผาซงเทา ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายเหล่านั้นต่างก็ขนลุกซู่ หลบถอยออกไปไกล
หยวนเหิงพาหลานซัวหลบไปในตอนนี้ด้วยเช่นกัน
เพราะว่าพลังระดับนี้ หากกระทบโดนเข้า ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่คลื่นพลังที่แผ่ขยายออกไปก็ตาม แต่ผลที่ตามมาแทบไม่ต้องคาดเดา!
ปัง! ปัง! ปัง!
เบาะรองนั่ง โต๊ะ และสุราอาหารที่ตั้งอยู่บนโต๊ะแต่เดิมในบริเวณนั้นล้วนถูกซัดกระจุยไปพร้อม ๆ กัน
“ตาเฒ่าคนนี้เสียสติไปแล้ว!”
เมิ่งจิ้งไห่สีหน้าเปลี่ยน และลอบด่าขึ้นมาในใจ จากนั้นขับเคลื่อนค่ายกลปกป้องครอบคลุมไปทั่วหุบเขา
ซ่าาา!
เมื่อพลังหักห้ามที่โหมซัดอย่างกระหน่ำราวกับคลื่นน้ำปรากฏขึ้น พลังที่ดาบที่แผ่กระจายออกมาของซงจั่งเฮ่อจึงถูกต้านรับไว้ได้
มิเช่นนั้น หากปล่อยให้พลังดาบ ๆ นี้แผ่กระจายต่อไป หุบเขาวิญญาณล่องเมฆาแห่งนี้จะต้องได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงเป็นแน่!
“ฟัน!”
พร้อมกับเสียงตวาดของซงจั่งเฮ่อ อัสนีห้าสีเต็มท้องฟ้าร่วงหล่นลงมาราวกับน้ำตกจากสวรรค์ สีสันเฉิดฉายแสบตา ยิ่งใหญ่อลังการ พุ่งเข้าหาซูอี้ภายใต้การชักนำของดาบลายสนเล่มนั้น
โครม!!!
อากาศแปรปรวน ตะวันจันทราอับแสง
ชั่วขณะนั้น ทุกคนในงานต่างก็ตื่นตะลึงหวาดกลัว ยากจะระงับไว้ได้
พลังอานุภาพของดาบ ๆ นี้รุนแรงถึงขั้นนี้ กลิ่นอายแห่งการทำลายล้างไร้ซึ่งขอบเขต!
ทำให้คนทั้งหลายอดหวาดหวั่นแทนซูอี้ขึ้นมาไม่ได้!