บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 642 เหล่าวีรชน ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยวาจา!
ตอนที่ 642: เหล่าวีรชน ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยวาจา!
ตอนที่ 642: เหล่าวีรชน ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยวาจา!
วังวนพาดกลางอากาศ หมุนวนช้า ๆ
ประหนึ่งเหวลึกไร้ที่สิ้นสุด กลืนกินอสนีบาตที่ฟาดเข้ามาเรื่อย ๆ ประกายแสงเจิดจ้าสาดส่อง สะท้อนกับท้องฟ้าเกิดเป็นแสงสีงดงาม
เคร้ง!
แม้แต่ดาบลายสนเบญจอัสนีของซงจั่งเฮ่ออย่างกับโดนมือใหญ่ที่มองไม่เห็นชักจูงฉุดกระชาก สั่นสะท้านดังหึ่งอยู่กลางอากาศ
ประหนึ่งเสียงครวญครางอาดูร
ฝูงชนที่หลบไปไกลแล้วตาโตอ้าปากค้างกันหมด หน้าตาเหลือเชื่อ ประหนึ่งได้เห็นภาพปฏิหาริย์ชวนทึ่ง
“หยุดยั้งไว้ได้… แบบนี้เลยหรือ!?”
กู้ซานตูตาค้าง
“นี่หาใช่การหยุดยั้ง แต่เป็นการถล่มฝ่ายเดียวต่างหาก!”
เฉาอิ๋งพึมพำ
ดาบนี้ของซงจั่งเฮ่อเพียงพอจะสร้างภัยต่อขอบเขตสยายวิญญาณแล้ว
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้ อานุภาพของมันถูกยับยั้งอย่างสมบูรณ์ เป็นผลให้อานุภาพของดาบนี้ยังไม่ถูกปลดปล่อย ก็โดนพลังวังวนลึกล้ำเกินหยั่งนั้นกำราบเสียแล้ว!
ประหนึ่งได้พานพบคู่ปราบ!
ด้วยเหตุนี้ จึงดูเหมือนซูอี้สลายพลังดาบสุดสยองนี้โดยไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย
“นี่มันวิชาวิเศษวิโสจากที่ใดกัน?”
เมิ่งจิ้งไห่สะท้านใจ
เขาทึกทักเอาเองว่าหากเป็นตน ถ้าหมายจะหยุดยั้งดาบนี้ จำต้องทุ่มกำลังทั้งหมด
ทว่าซูอี้กลับทลายการโจมตีสุดสยองนี้ในคราเดียวอย่างง่ายดาย!
แล้วหันมองคนอื่น ๆ ในที่นี้ ไม่มีผู้ใดไม่ตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ละคนเสียท่าทีกันหมด
ซงจั่งเฮ่อในอึดใจนี้ ประหนึ่งถูกสายฟ้าฟาด สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ไม่มีเวลาได้ไตร่ตรองมากไปกว่านี้ เขาคำรามเสียงยาว
“กลับมา!”
แขนเสื้อเขาพลิ้วสะบัด ผมเผ้าไหวพลิ้ว เขาใช้ทุกวิชาที่ตนมี
เคร้ง!
ดาบลายสนเบญจอัสนีเล่มนั้นเปล่งแสงเจิดจ้า สุดท้ายก็สลัดพันธนาการออก เหินกลับมาอยู่ในมือซงจั่งเฮ่อ
ทว่าเจ้าสำนักเบญจอัสนีผู้นี้กลับโซซัดโซเซ สีหน้าซีดเผือดลงอย่างมาก สภาพยับเยินนิดหน่อย สีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงระคนแคลงใจ
ห่างออกไปไม่ไกล ซูอี้ยกกาสุราที่มือซ้ายขึ้นดื่มหนึ่งอึก ส่ายหัวน้อย ๆ พลางกล่าว “วิถีเบญจอัสนีไม่ควรฝึกฝนเช่นนี้ ข้ามีกระบวนดาบหนึ่ง ประเดี๋ยวจะเปิดหูเปิดตาให้เจ้า”
ขณะที่พูด เขาทำนิ้วเป็นรูปดาบ เชิดขึ้นกลางอากาศ
ทำท่าคล้ายชักดาบออกจากฝัก รวดเร็วเด็ดขาด
ตูม!
พลังวังวนที่กลืนกินอานุภาพดาบของซงจั่งเฮ่อมีอาณาเขตสิบจั้ง ปะทุเสียงร้องน่ากลัวออกมาในนาทีนี้ ก่อนจะกลายเป็นปราณดาบเจิดจ้าไร้สิ่งใดทัดเทียมในพริบตา
ทะยานขึ้นฟ้า!
ปราณดาบยาวเพียงสามฉื่อ ส่องประกายหลายสี เจิดจ้าแวววาว โดยมีทองแก พฤกษ์เขียว น้ำยิ้ม ไฟเปี้ย และดินโบ่ว*[1] รวมเป็นแสงเบญจอัสนีเทวะ
ทุกลำแสงอัสนีเทวะวาดลวดลายเป็นบัญญัติลึกล้ำเจือจาง โดยแบ่งเป็นแสงเต๋าสีทอง สีเขียว สีดำ สีแดง สีเหลือง ทั้งหมดห้าสี
หากมองดูดี ๆ ภายในทุกบัญญัติต่างมีเงาเสมือนปรากฏ แม้จะเลือนรางอย่างมาก ทว่าลมปราณที่เปล่งออกมานั้นกลับแข็งแกร่งจนเพียงพอให้ทั้งเทวดาและผีสางต้องผวา
ตู้ม!
บนนภา สายลมและหมู่เมฆเข้ามารวมตัว
ดาบหนึ่งพาดผ่านท้องฟ้า ปราณแห่งเบญจอัสนีก่อเกิด กลายเป็นบัญญัติเบญจอัสนี ช่วงชิงพลังแห่งฟ้าดิน!
เป็นวิชาลับที่สืบทอดกันในสายคุรุสวรรค์มหาวิถี…
ตราเบญจอัสนีขจัดมาร!
ชั่วพริบตานั้น ทุกคนปวดแสบที่ตา จิตใจสั่นสะท้าน ต่างตะลึงกับพลังที่แผ่ซ่านออกจากปราณดาบนี้
ห่างออกไปไม่ไกล ม่านตาของซงจั่งเฮ่อเบิกกว้าง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเผชิญกับดาบนี้ วิถีเต๋าทั้งตัวของเขาถูกปรามลงอย่างรุนแรง จนขนตั้งชัน ความกลัวก่อตัวในใจอย่างระงับไม่อยู่
ภายใต้วิกฤตชีวิตเช่นนี้ ซงจั่งเฮ่อตะโกนลั่นราวกับเอาชีวิตทั้งหมดเข้าแลก
“ขึ้น! ขึ้น! ขึ้น!”
พลังอัสนีดุดันชั้นแล้วชั้นเล่าพวยพุ่งออกจากร่างผอมบางของเขา และหลอมรวมเข้าไปอยู่ในดาบลายสนทั้งหมด
แสงเทวะจากดาบเจิดจรัส อัสนีกราดเกรี้ยว ดาบหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ วาดออกเป็นม่านดาบอัสนีวงกลมชั้นแล้วชั้นเล่าดั่งเกลียวคลื่น
วิชาเบญจอัสนีคูนภา!
ม่านดาบเปรียบดั่งคูนภาตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า บดบังขวางกั้นลมฝนทั่วแปดทิศ กีดกันศัตรูไว้นอกคู
ไม่ว่าผู้ใดต่างก็ดูออก เจ้าสำนักแห่งสำนักเบญจอัสนีอย่างซงจั่งเฮ่อทุ่มกำลังทั้งหมดโดยไม่สนสิ่งใดแล้ว ไม่ต่างจากการเอาชีวิตเข้าสู้ พลังที่ใช้นั้นดุดันกว่าก่อนหน้านี้มาก
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง…
“ไป!”
ปลายนิ้วของซูอี้จิ้มออกไปที่อากาศ
ปราณดาบสามฉื่อล้อมรอบบัญญติเบญจอัสนี ฟาดฟันลงไปฉับพลัน
ตึง!
ม่านดาบที่มีอัสนีบาตผสมผสานระเบิดออกประหนึ่งเศษแก้วหลิวหลี
จากนั้น ชั้นที่สอง ชั้นที่สาม ชั้นที่สี่… รวมเป็นม่านดาบทั้งหมดเก้าชั้น ล้วนล่มลงด้วยปราณดาบสามฉื่ออันดุดัน เสียงระเบิดดังสนั่นดังก้องอยู่ในปฐพีในอึดใจต่อมา
แสงฝนเจิดจ้าสาดกระเซ็นกระจายออกไป
วิชาเบญจอัสนี เปราะบางเสียไม่มี!
ซงจั่งเฮ่อตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เขาหลบหลีกไม่ทันแล้ว และทำได้เพียงชูดาบตอบโต้ด้วยพลังทั้งหมดที่มี
เคร้ง!!!
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
ทุกคนใจสะท้านกันหมด เสียงกระแทกนั้นดังจนเจ็บม่านหู เลือดลมพลุ่งพล่าน
ในสายตาฝูงชน ภายใต้แรงดันจากปราณดาบสามฉื่อ ดาบลายสนเบญจอัสนีสั่นเทือนครวญครางอย่างหนัก
ส่วนซงจั่งเฮ่อที่มือกุมดาบลายสนเบญจอัสนีแม้จะต้านดาบนี้ไว้เต็มที่ ทว่าเส้นเอ็นปูดโปนอยู่เต็มหน้าผากเขา สีหน้าซีดเผือดลงเรื่อย ๆ หยดเลือดไหลออกมาจากมุมปากไม่หยุด จนหน้าอกถูกย้อมเป็นสีแดง
ตู้ม!
พสุธาใต้เท้าซงจั่งเฮ่อถล่ม ร่างของเขาโอนเอนสั่นระริกประหนึ่งเจ้าเข้า สุดท้ายก็รับแรงของดาบนี้ไม่ไหว
สองเข่ากระแทกพื้น!
ดาบลายสนเบญจอัสนีในมือเขากระเด็นออกไป
ปราณดาบสามฉื่อไม่ลดพลัง ฟันลงไปที่ศีรษะของเขา
“ข้ายอมแพ้!”
ซงจั่งเฮ่อผู้คุกเข่ากับพื้นตะโกนลั่นด้วยความผวา
ปราณดาบสามฉื่อชะงักงันโดยห่างจากศีรษะสามชุ่น
หากฟันลงมา เขาต้องตายแน่นอน!
แม้จะเป็นเช่นนั้น พลังคมกล้าที่ปลดปล่อยออกจากปราณดาบสามฉื่อก็ยังทะลุผิวของซงจั่งเฮ่อเข้าไป
สายเลือดไหลออกจากหัวของซงจั่งเฮ่อ ลงมาตามหว่างคิ้วและสันจมูก
แดงฉานแยงตา
ทั้งหมดเงียบกริบ ได้ยินแม้เสียงเข็มตก
“แค่ดาบเดียวก็แพ้เลยหรือ!?”
คนใหญ่คนโตอย่างกู้ซานตูและเฉาอิ๋งชาไปทั้งหัว สูดหายใจเข้าลึก
แต่ละฉากเมื่อครู่เกิดขึ้นไวมาก ตั้งแต่ซูอี้ตวัดดาบฟาดฟัน ยันซงจั่งเฮ่อโดนกำราบจนคุกเข่ากับพื้น จวบจนซงจั่งเฮ่อตะโกนร้องขอความเมตตา ดูเหมือนเชื่องช้า แท้จริงแล้วเกิดขึ้นในชั่วพริบตา
คนเหล่านี้ไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ ผลแพ้ชนะก็เป็นที่ประจักษ์แล้ว!
“แข็งแกร่งเหลือเกิน…”
เมิ่งจิ้งไห่กลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ความตะลึงตื่นกลัวโถมทับในใจ
หันมองคนอื่น ๆ ในที่นี้ ต่างนิ่งอึ้งด้วยความตื่นตกใจอยู่ที่เดิม
ใครเล่าจะดูไม่ออก หากไม่ใช่ว่าซูอี้รามือในนาทีสุดท้าย เจ้าสำนักเบญอัสนีอย่างซงจั่งเฮ่อต้องโดนฟันร่างแยกแน่นอน
“นี่เขาแข็งแกร่งจนเกินมนุษย์มนาไปหรือเปล่า…”
หน้าตาหลานซัวเหมือนตกอยู่ในภวังค์ พลางพูดพึมพำ
“เกินมนุษย์มนาอย่างนั้นหรือ?”
หยวนเหิงอดหัวเราะไม่ได้
เขาเคยเห็นกับตาตัวเองว่าซูอี้กำราบนักดาบหญิงขอบเขตสยายวิญญาณ ชิงซวงด้วยวิธีการใด
เทียบกันแล้ว ความพ่ายแพ้ของซงจั่งเฮ่อยังกระจอกกว่าไม่น้อย ย่อมไม่เรียกว่าเกินมนุษย์มนา
ภายในสถานที่ต่อสู้…
ปราณดาบสามฉื่อสลายหายไปอย่างไร้สุ้มเสียง
ซงจั่งเฮ่อรู้สึกเหมือนได้เฉียดเข้าใกล้ยมโลก เหงื่อซึมออกมาทั่วตัว ใบหน้าชรานั้นซีดเซียวไร้สีเลือด สติหลุดลอย
เขาโดนซูอี้ถล่มจนคุกเข่ากับพื้นภายในดาบเดียว!
สำหรับคนใหญ่คนโตเฉกเช่นเขา ช่างเป็นเรื่องที่สะใจยิ่ง
“ตอนนี้ เจ้าคิดว่าสำนักเบญจอัสนีของพวกเจ้าต้องให้ข้าผู้นี้ขอโทษหรือไม่?”
ซูอี้ถือกาสุราเข้าไปถาม
สีหน้าทุกคนซับซ้อนขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ คนใหญ่คนโตไม่น้อยต่างคิดว่าขอเพียงซูอี้ยอมถอยสักก้าว ขอโทษขอโพยสำนักเบญจอัสนี ความขัดแย้งหนนี้ย่อมคลี่คลายลง
กระทั่งพวกกู้ซานตูกับเฉาอิ๋งยังคิดใช้โอกาสนี้ ร่วมมือกับสำนักเบญจอัสนีปราบปรามซูอี้ให้หนัก
ทว่าบัดนี้ ใครเล่าจะกล้าคิดเช่นนี้อีก?
แม้แต่กู้ซานตูและเฉาอิ๋งยังพรั่นพรึงจนเหงื่อท่วม นึกโชคดีในใจที่ก่อนหน้านี้ไม่รีบร้อนออกตัวเป็นปรปักษ์กับซูอี้
มิฉะนั้น จุดจบของพวกเขาอาจไม่อนาถเท่าซงจั่งเฮ่อ แต่แน่นอนว่าคงไม่ดี!
ดูจากจุดจบของพวกยุยงอย่างส่านอวิ๋นฉีและฮูหยินฮัวถิงก็รู้แล้ว
สีหน้าซงจั่งเฮ่อวูบไหว
ครู่ใหญ่ เขาก้มหน้าเอ่ยอย่างขมขื่น “ก่อนหน้านี้ สำนักเบญจอัสนีของข้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ล่วงเกินสหายเต๋าซู ข้าทราบแล้วว่ากระทำความผิดใหญ่หลวง ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าขอออกจากตำแหน่งเจ้าสำนัก”
ทุกคนตะลึงกันหมด!
ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าซงจั่งเฮ่อจะตัดสินใจเช่นนี้ เป็นราคาที่แพงเหลือเกิน
และหลังจากนั้น ภาพอันน่าเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น
ซงจั่งเฮ่อพลันโค้งคำนับแนบพื้น โขกศีรษะพลางกล่าว “ข้าขอขอบคุณสหายเต๋าที่ปรานีไม่เอาชีวิต หากเป็นไปได้ หวังว่าสหายเต๋าจะไม่เป็นปฏิปักษ์กับสำนักเบญจอัสนีของเรา ข้าขอสาบานด้วยชีวิต นับจากนี้ไป ทุกคนในสำนักเบญจอัสนีไม่บังอาจมองสหายเต๋าเป็นศัตรูอีก!”
บรรยากาศเงียบงัน เสียงแน่วแน่ของซงจั่งเฮ่อดังสะท้อน
คนใหญ่คนโตจำนวนหนึ่งเข้าใจขึ้นมาราง ๆ สีหน้าหลากหลายอารมณ์ยิ่งขึ้น
ไม่ต้องสงสัย ซงจั่งเฮ่อตระหนักได้แล้วจริง ๆ ว่าหากล่วงเกินซูอี้เพราะเหตุนี้ เป็นไปได้สูงว่าสำนักเบญจอัสนีของพวกเขาจะซ้ำรอยตำหนักมารเทียนอวี้!
เพราะเหตุนี้ เขาจึงยอมคุกเข่าโขกศีรษะ ขอเพียงซูอี้ยอมปรานีเมตตา!
ห่างออกไปไม่ไกล เมื่อเห็นซงจั่งเฮ่อทำเช่นนี้ จูคุนหยางและหยวนซั่วต่างรู้สึกโศกศัลย์อยู่ในใจ สีหน้าอาดูร
ก่อนมาร่วมงาน พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าการที่แค่ปราบปรามซูอี้หมายให้อีกฝ่ายขอโทษ จะกลายเป็นภัยได้ปานนี้!
กระนั้น เวลานี้ไม่ว่าจะพูดสิ่งใดก็คงสายไป
“ข้าไม่เคยเชื่อคำสาบาน แต่เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ถึงขั้นล้างบางสำนักเบญจอัสนีของพวกเจ้าเพียงเพราะเรื่องวันนี้”
ซูอี้เอ่ยเรียบ ๆ
ซงจั่งเฮ่อโล่งอกได้เสียที เขาคำนับด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณสหายเต๋าซูที่ใจกว้างให้อภัย!”
“แม่นางหลานซัวดูสิ สิ่งนี้เรียกว่าเชือดไก่ให้ลิงดู หลังจากจบเรื่องนี้ ผู้ใดในที่นี้จะกล้ากำแหงอีก?”
หยวนเหิงส่งกระแสปราณเสียงเบา
หลานซัวผงะ หันมองซูอี้ผู้ยืนมือไพล่หลังอยู่กลางสนาม แล้วหันมองเจ้าสำนักเบญจอัสนีซงจั่งเฮ่อซึ่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่ม หวนนึกถึงฉากการต่อสู้เมื่อครู่ รู้สึกเหมือนฝันไปอย่างนั้น
ซูอี้ไม่สนใจซงจั่งเฮ่ออีกต่อไป
เขากวาดสายตามองทุกคนในที่นี้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “จุดประสงค์ที่สำนักอนธการสยบนภาจัดงานชุมนุมล่องเมฆาขึ้นในวันนี้ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มเต๋าต่าง ๆ บาดหมางกันเอง ซึ่งนับเป็นเรื่องประเสริฐสำหรับปวงชนในใต้หล้าด้วยเช่นกัน”
ผู้ใดที่สายตาของซูอี้กวาดผ่าน ต่างก้มหัวด้วยสัญชาตญาณ ไม่กล้าสบตากับเขา
“ข้าไม่ขอเปลืองน้ำลายมากไปกว่านี้”
ซูอี้เอ่ยราบเรียบ “ขอถามเพียงประโยคเดียว มีผู้ใดคัดค้านหรือไม่”
เสียงนั้นเปรียบเสมือนระฆังรุ่งอรุณ ดังก้องอยู่ท่ามกลางผาซงเทา
คนใหญ่คนโตทั้งหมดในที่นี้ต่างใจสะท้าน
ผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าหากคัดค้าน จะพบจุดจบเช่นไร?
เหล่าวีรชนในที่นี้ต่างก้มหน้าก้มตา เนิ่นนานไม่มีผู้ใดกล้าเอื้อนเอ่ยวาจา
ชุดสีเขียวครามของชายหนุ่มพลิ้วไหว เขายกกาเหล้าขึ้นมากระดก
สายตาทอดมองออกไปไกล มองเห็นหมู่เมฆลอยละล่อง ตะวันตกอาบแสงสีทอง เสียงกิ่งก้านกระทบกันไพเราะดุจเสียงสวรรค์
วันนี้คือวันที่สิบเก้าเดือนหนึ่ง
ซูอี้ยืนตระหง่านอยู่บนผาซงเทา ณ ยอดหุบเขาวิญญาณล่องเมฆา ฝีมือดาบปราชัยเจ้าสำนักเบญจอัสนีซงจั่งเฮ่อ ผู้คนล้วนสะท้าน!
[1] ทองแก พฤกษ์เขียว น้ำยิ้ม ไฟเปี้ย และดินโบ่ว คือเบญจธาตุที่เกี่ยวข้องกับการดูดวง เป็นวิธีการดูพื้นดวงตามศาสตร์ดูดวงของจีน