บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 643 เป่าแตรวิเศษ ตีกลองวิเศษ
ตอนที่ 643: เป่าแตรวิเศษ ตีกลองวิเศษ
ตอนที่ 643: เป่าแตรวิเศษ ตีกลองวิเศษ
เมื่อเห็นไร้ผู้ใดขานตอบ ซูอี้จึงกล่าว “ในเมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้าน เช่นนั้นนับแต่วันนี้ไป กลุ่มเต๋าภายในสามอาณาจักรต้าโจว ต้าเว่ย ต้าฉิน ล้วนต้องปฏิบัติตามกฎนี้หมด เจ้าสำนักเมิ่งเห็นเป็นอย่างไร”
เขาทอดสายตามองเมิ่งจิ้งไห่
งานชุมนุมล่องเมฆาในครานี้จัดขึ้นโดยสำนักอนธการสยบนภา ตามมารยาท ควรขอความเห็นจากเมิ่งจิ้งไห่เสียก่อน
เมิ่งจิ้งไห่ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง “สิ่งที่สหายเต๋าซูกล่าวมา คือสิ่งที่ข้าปรารถนาจะได้เห็น ทว่าในเมื่อต้องตั้งกฎ ย่อมต้องแบ่งหมวดตามรายละเอียด เพื่อเกิดผลควบคุมพฤติกรรม”
ซูอี้ส่ายหัวพลางกล่าว “เรื่องเหล่านี้พวกเจ้าหารือกันก็พอ”
เขาคร้านจะตัดสินรายละเอียดยิบย่อยเช่นนี้
เห็นดังนั้น ทุกคนในที่นี้ล้วนลอบถอนหายใจหมด
ท่าทีเช่นนี้ของซูอี้ เป็นการบ่งบอกสิ่งหนึ่งได้อย่างไม่ต้องสงสัย เขาไม่ใคร่สนใจในเรื่องนี้เท่าใด
มิฉะนั้น ด้วยพลังและวิธีการอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงของเขา ก็เพียงพอจะกำราบกลุ่มเต๋าอย่างพวกเขาทุกกลุ่มจนต้องศิโรราบ!
คำกล่าวนี้ไม่ได้เกินจริงเลย
คนใหญ่คนโตทั้งหมดในที่นี้ เดิมเป็นบุคคลชั้นเยี่ยมในแต่ละสำนักอยู่แล้ว
กระทั่งพวกเขาเองยังตระหนักว่าตนนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซูอี้ แล้วผู้อื่นจะขนาดไหน?
ไม่เห็นหรือ เจ้าสำนักเบญจอัสนีอย่างซงจั่งเฮ่อยังถูกกำราบจนต้องคุกเข่าในดาบเดียว?
“สิ่งที่สหายเต๋าซูทำนับเป็นความโชคดีของผู้ฝึกตนทั้งปวงในใต้หล้า!”
ฟู่อวิ๋นคง เจ้าสำนักศาลาดาบหลิงเซียวแห่งต้าเว่ยออกปากชื่นชม
เขาพูดจากใจจริง
ซูอี้ไม่ฝักใฝ่ช่วงชิงอำนาจ ไม่มุ่งหวังประกาศความเป็นหนึ่ง กฎที่ตั้งก็เพื่อสงบศึก ป้องกันไม่ให้กองกำลังฝึกฝนในใต้หล้าบาดหมางกันเอง หวังดีต่อผู้ฝึกตนทั้งปวง
ความยิ่งใหญ่จิตใจกว้างขวางปานนี้ จะไม่ให้ฟู่อวิ๋นคงสะท้อนใจได้อย่างไร
คนใหญ่คนโตอื่น ๆ เห็นเช่นนี้ ต่างพากันพยักหน้าชมไม่ขาดปาก
เพียงแต่ ในใจพวกเขาเห็นด้วยกับคำกล่าวของฟู่อวิ๋นคงจริงไหม คงมีแต่พวกเขาที่รู้
“แค่ความโชคดีของผู้ฝึกตนทั้งปวงอย่างนั้นหรือ…?”
ซูอี้นึกในใจ รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา
อย่างที่เขาคาดการณ์ งานชุมนุมล่องเมฆาไตร่ตรองเพียงผลได้ผลเสียของเหล่ากลุ่มสำนักเต๋าเท่านั้น ไม่ได้เป็นการหวังดีต่อปวงประชาในใต้หล้าแต่อย่างใด
ทว่า ซูอี้ไม่ได้ผิดหวังเท่าใด
เทพเซียนสู้รบ มักเป็นปุถุชนที่พลอยโดนร่างแห
ตราบใดที่อิทธิพลฝึกฝนเหล่านี้ไม่เคลื่อนทัพใหญ่โต นับเป็นเรื่องประเสริฐสำหรับปวงประชาในใต้หล้าแล้ว
“หยวนเหิง แม่นางหลานซัว พวกเราต้องไปแล้ว”
ซูอี้ไม่มีกะจิตกะใจอยู่ต่ออีก เขายกกาเหล้าในมือขึ้นดื่ม ก่อนหมุนตัวจากไป
ทว่า ขณะเดินผ่านกู้ซานตูและเฉาอิ๋ง เขาชะงักฝีเท้า พลางทอดสายตามอง
กู้ซานตูและเฉาอิ๋งตัวแข็งทื่อไปพร้อมกัน นึกวิตกในใจ
“สหายเต๋ามีสิ่งใดต้องการกำชับหรือ?”
กู้ซานตูก้มหัวคำนับ
เขาคือเจ้าสำนักเพลิงวิญญาณ ซึ่งมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณ
แต่เมื่อเผชิญกับซูอี้ซึ่งอยู่ใกล้แค่เอื้อม กลับสัมผัสถึงแรงกดดันมหาศาล
“ช่วงนี้ หุบเขามารบุปผาโลหิตมีเหตุผิดวิสัยบ้างหรือไม่?” ซูอี้ถาม
ชายหนุ่มนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองเดือนก่อน ที่เคยส่งอิงเชวียไปตั้ง ‘ค่ายกลโลหิตแปรสวรรค์’ ที่หุบเขามารบุปผา ไม่รู้ว่าบัดนี้ค่ายกลนั้นเข่นฆ่าเหยื่อจากตำหนักมารเทียนอวี้ไปเท่าใดแล้ว
กู้ซานตูชะงักไปแวบหนึ่ง ก่อนจะผ่อนคลายลง เขานึกขณะเอ่ย “หาได้มีเหตุผิดวิสัยไม่ แต่ข้าได้ยินมาว่า ณ พื้นที่รอยร้าวผนังกั้นมิติซึ่งตั้งอยู่ส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิตมีค่ายกลพิฆาตตั้งอยู่ สังหารผู้ฝึกตนจากตำหนักมารเทียนอวี้ที่ข้ามโลกเข้ามาไม่น้อย”
เฉาอิ๋งอีกด้านกล่าวเสริม “ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องนี้”
ซูอี้พยักหน้า
ดูท่า ค่ายกลโลหิตแปรสวรรค์จะเก็บเกี่ยวเหยื่อได้ไม่น้อย รอเขากลับหอเซียนดาบก่อน ค่อยส่งอิงเชวียไปกว้านของกำนัล
…..
ซูอี้หันมองเฉาอิ๋ง ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างสนอกสนใจ “เจ้ามีพลังของสายเลือดเผ่าแม่มด มาจากสายไหนของเผ่าแม่มดหรือ?”
ทายาทเผ่าแม่มดลึกลับยิ่ง ว่ากันว่าเป็นทายาทของเทพบรรพกาล แม้แต่ในเก้ามหาดินแดนเองยังเป็นสายเลือดที่หายากมาก
และจากที่ซูอี้รู้มา เผ่าแม่มดแบ่งออกเป็นสิบสองสาย แต่ละสายครอบครองอำนาจวิเศษหนึ่งชนิด มีการสืบสานพลังมาอย่างยาวนาน
ร่างผอมแห้งของเฉาอิ๋งสะดุ้งน้อย ๆ สีหน้าเขาเปลี่ยนไป “สหายเต๋าตาดีจริง ๆ!”
หน้าตาเขาเต็มไปด้วยความตะลึง ราวกับนึกไม่ถึงว่าซูอี้จะมองภูมิหลังของเขาออก
เฉาอิ๋งสูดปาก ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ทว่าข้าไม่ใช่หนึ่งในสิบสองสายเลือดแห่งเผ่าแม่มดแต่อย่างใด ข้าแค่เพียงสืบทอดพลังพรสวรรค์ส่วนหนึ่งจาก ‘เวทอัคคี’ เท่านั้น”
ซูอี้กล่าว “เช่นนั้นแล้วเจ้ารู้เรื่องของ ‘ประตูแห่งเทพนักเวท’ หรือไม่”
ประตูแห่งเทพนักเวท?
เฉาอิ๋งมีสีหน้าฉงน ส่ายหัวพลางกล่าว “ขอบอกสหายเต๋าตามตรง เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเรื่องนี้”
ซูอี้ไม่เอ่ยถามสิ่งใดต่อ
เมื่อชาติก่อน เขาเคยบุกเข้าไปในสถานที่ละสังขารของหลวงจีนผู้มากความสามารถคนหนึ่งจากเผ่าแม่มด เห็นอักษรลับเผ่าแม่มดแปดตัวที่อีกฝ่ายสลักบนกระดูกอสูรด้วยพลังไร้เทียมทาน พร้อมลวดลายประตูจักรวาลรูปร่างคล้ายปีกของสัตว์อสูร
หลังจากที่ได้ตีความซ้ำแล้วซ้ำเล่า ท้ายสุดจึงมั่นใจว่าอักษรลับเผ่าแม่มดแปดตัวนั้น หมายถึง ‘ดินแดนบริสุทธิ์ ประตูแห่งเทพนักเวท’
ภาพประตูจักรวาลรูปร่างคล้ายปีกสัตว์อสูรนั้น คือประตูเทพนักเวทที่ว่า
ชาติก่อน ซูอี้เคยเสาะหาคัมภีร์โบราณอยู่บ่อยครั้ง กระทั่งเคยเจอทายาทเผ่าแม่มดอีกด้วย เขาพยายามค้นหาเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับเทพนักเวท
แต่สุดท้ายจึงแน่ใจได้เพียงว่า ประตูเทพนักเวทที่ว่านี้ เป็นประตูที่เชื่อมต่อไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง
ในสายตาสิบสองสายเลือดแห่งเผ่าแม่มด ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ผืนนั้นคือสถานที่กำเนิด ‘เทพนักเวท’ ในคราแรก หรือเรียกได้ว่าเป็น ‘สถานที่บรรพชน’ ของสิบสองสายเลือดแห่งเผ่าแม่มด ลือกันว่ามีสุดยอดความลับวิถีแม่มดซ่อนอยู่ในนั้น
จึงถูกขนานนามว่า ‘ดินแดนบริสุทธิ์’
ส่วนประตูเทพนักเวทนี้ ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ที่เก้ามหาดินแดน แต่น่าจะอยู่ในส่วนลึกของจักรวาล!
“หรือสหายเต๋าซูจะเกี่ยวข้องกับพวกเราเผ่าแม่มด?”
เฉาอิ๋งถามอย่างอดไม่ได้
“เรียกว่าเกี่ยวข้องไม่ได้หรอก เพียงแต่พอทราบเรื่องราวของสิบสองสายเลือดแห่งเผ่าแม่มดอยู่บ้างเท่านั้น”
ซูอี้ไม่คิดจะอยู่สนทนาต่อ ขณะที่พูด เขาก็ได้เดินออกไปยังทิศไกล ๆ แล้ว
หยวนเหิงและหลานซัวเดินตามหลังไปติด ๆ
เมิ่งจิ้งไห่จะเข้าไปรั้ง แต่เมื่อเห็นซูอี้ตัดสินใจแล้วว่าจะไป จึงยอมล่าถอย ด้วยกลัวจะทำให้ซูอี้ไม่พอใจ
“คุณชายซู ข้าผิดไปแล้ว!”
ทันทีที่ซูอี้กำลังจะพ้นจากหน้าผาซงเทา ชิวเทียนฉื่อ เจ้าสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดนที่ดูคล้ายบริวารรับแขกพลันคุกเข่าลง ยอมรับผิดด้วยความละอายใจ
ทุกคน “…”
หลานซัวยิ่งอึ้งไปใหญ่
“เจ้าเป็นเจ้าสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน สิ่งที่เจ้าได้กระทำ เดิมไม่เกี่ยวข้องกับข้าอยู่แล้ว ไฉนต้องยอมรับผิดต่อข้าด้วย?”
ซูอี้เอ่ยราบเรียบ
“ข้าไม่ควรลิดรอนตำแหน่งของอวิ๋นหลาง เนรเทศลงเขา และไม่ควรไม่ยื่นมือช่วยเหลือ ตัดสัมพันธ์จากเขาชัดเจนเช่นนี้!”
ใบหน้าของชิวเทียนฉื่อเปี่ยมด้วยความสำนึก ท่าทีราวกับต้องการไถ่โทษ
หลานซัวเห็นแล้วยังนึกสงสาร
ทว่าซูอี้กลับส่ายหัว “เจ้าหาได้สำนึกไม่ เพียงแต่กังวลว่าจะโดนคิดบัญชีในภายหลังต่างหาก”
ชิวเทียนฉื่อตัวแข็งทื่อ สั่นไปทั้งตัว
ประโยคเดียวของซูอี้ คล้ายคมดาบที่ทิ่มแทงเข้าหัวใจของเขา!
เวลานี้ ทุกคนรู้ดีว่าซูอี้แข็งแกร่งปานใด ซงจั่งเฮ่อไม่กล้าแก้แค้นฝูอวิ๋นหลาง แต่การระบายอารมณ์ใส่เขาชิวเทียนฉื่อเป็นเรื่องที่ง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย
มิหนำซ้ำ เมิ่งจิ้งไห่แห่งสำนักอนธการสยบนภาก็ใช่ว่าจะคุ้มครองเขาในเรื่องนี้
เช่นนั้นบัดนี้ หากได้รับอภัยโทษจากซูอี้ แท้จริงแล้วถือเป็นการคุ้มครองสำหรับชิวเทียนฉื่อ
อย่างน้อยก็เพียงพอให้พวกซงจั่งเฮ่อไม่กล้าผลีผลามกระทำสิ่งใด!
ชิวเทียนฉื่อสูดหายใจเข้าลึก และเอ่ยอย่างขมขื่น “คุณชายซู ในอดีตข้าเองก็เคยเกรียงไกร ทว่าบัดนี้ตกเหวลึกถึงตระหนักว่า คนตัวเล็ก ๆ เฉกเช่นพวกข้า หากปรารถนาอยู่รอดต่อไปในยุคสมัยอันโกลาหลที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้ทุกเมื่อเช่นนี้เป็นเรื่องยากเย็นเพียงใด”
“บางทีท่านอาจคิดว่าข้าเป็นพวกไร้ศักดิ์ศรี สันดานไพร่ น่ารังเกียจ แต่ช่วยไม่ได้ ข้าดูเหมือนเป็นเจ้าสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน แต่แท้จริงแล้วฐานะของข้ายังสู้ผู้สืบทอดสักคนในสำนักอนธการสยบนภาไม่ได้เลย”
“เมื่อต้องปะทะกับกลุ่มสำนักเต๋าอิทธิพลแกร่งกล้าอย่างสำนักเบญจอัสนี หากข้าไม่ตัดสัมพันธ์กับอวิ๋นหลางให้ชัดเจน ผู้ที่ต้องตกทุกข์ย่อมเป็นทุกคนในสำนักดาบจรัสฟ้าจบแดน!”
“หากเลือกได้ ข้าหรือจะกระทำในเรื่องที่ผู้ใกล้ชิดชอกช้ำทว่าศัตรูสะใจ… อย่างนั้นหรือ?”
น้ำหูน้ำตาเขาไหลพราก ท่าทีต่ำต้อยอนาถา
ทุกคนที่ได้รับฟังอยู่ต่างนิ่งเงียบกันหมด
สิ่งที่ชิวเทียนฉื่อพบเจอ ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจจริง ๆ สิ่งที่พวกเขาสนใจจริงๆ นั้น คือท่าทีของซูอี้
นี่แหละ คือความเป็นจริง!
สุขทุกข์ของผู้อ่อนแอหาได้สำคัญไม่ ท่าทีของผู้แข็งแกร่งต่างหากคือสิ่งสำคัญ
เช่นนั้นถึงได้มีคำกล่าวว่าผู้ชนะเป็นใหญ่
ซูอี้เหลือบมองชิวเทียนฉื่อด้วยสีหน้าเย็นชา “คนประเภทรักตัวกลัวตายมีอยู่ถมเถในโลกนี้ แต่อย่าลืม ในโลกนี้ไม่เคยขาดแคลนผู้ที่ยอมเสียเลือดไม่ยอมเสียสัตย์ ในเมื่อเส้นทางนี้เลือกเดินด้วยตัวเอง เจ้าก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา”
สีหน้าชิวเทียนฉื่อเปลี่ยนแปลงวูบไหว ขมขื่นพูดไม่ออก เขาเงียบไป
ซูอี้ให้อภัยเขาแล้วหรือ?
ไม่ถือว่าเป็นเช่นนั้น
เพราะตั้งแต่ทีแรก ซูอี้ไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตาเลย!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจุดนี้เป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างที่สุด
และหลานซัวผู้ได้ประจักษ์ทุกสิ่งกับตา จิตใจสะท้านไม่หยุด
จริงตามที่กล่าวมา บางคนเลือกละทิ้งศักดิ์ศรี อยู่อย่างอดสูเพื่อมีชีวิตรอด แต่ยังมีบางคนไม่สนความเป็นความตาย ตายเสียดีกว่าต้องอยู่อย่างอัปยศ!
คนน่าสงสารย่อมมีจุดที่น่าชิงชัง ชิวเทียนฉื่อก็คือคนเช่นนี้
ขณะนั้นเอง…
จู่ ๆ ก็มีเสียงกลองและเสียงแตรลอยเข้ามา
ทุกคนมองไปตามสัญชาตญาณ
และได้เห็นท่ามกลางหมู่เมฆไกล ๆ มีขบวนแห่ขบวนหนึ่งเหินเข้ามา
ผู้ที่นำขบวนอยู่เป็นผู้แข็งแกร่งกำลังเปิดทางสองแถว มีทั้งชายและหญิง ไอปีศาจแผ่พุ่งออกมาอย่างปกปิดไม่อยู่ นภาปั่นป่วนไปหมด
สองคนด้านหน้าสุดเป็นผู้เฒ่าเครายาว เกล็ดสีเงินปกคลุมอยู่ทั่วกาย ส่วนศีรษะมีเขาสีขาวหิมะงอกออกมาหนึ่งเขาเดี่ยว ๆ
สองมือเขากำแตรวิเศษมหึมา เป่าเป็นทำนองราวกับมาจากที่ไกล ๆ
อีกคนเป็นชายล่ำสันกำยำ เปลือยให้เห็นผิวกายครึ่งบนสีทองแดง กล้ามเนื้อเป็นมัด ราวกับหล่อขึ้นด้วยผงสำริด
เขาสูงหลายจั้ง มือหนึ่งถือกลองใหญ่ อีกมือถือไม้กลองกระดูกและตีกลองเป็นจังหวะ
เสียงแตรวิเศษดังเข้าคู่กับเสียงกลอง หมู่เมฆสะเทือนจนสลายตัวออกไป เปิดทางออกอย่างกว้างขวางอยู่บนนภา
และด้านหลังขบวนแห่นี้ มีเกี้ยวคันหนึ่ง
เกี้ยวคันนี้ยาวสิบกว่าจั้งได้ ตัวเกี้ยวคล้ายว่าสร้างจากทองเทวะ เปล่งแสงเจิดจรัสอยู่ใต้แสงอาทิตย์ ส่วนสิ่งที่ลากเกี้ยวอยู่ คือสัตว์อสูรสีทองขนาดเท่าภูเขาลูกเล็กตัวหนึ่ง
เมื่อได้เห็นขบวนแห่พิลึกกึกกือซึ่งมีไอปีศาจพวยพุ่ง บรรดาคนใหญ่คนโตบนหน้าผาซงเทาตะลึงกันหมด
ผู้ยิ่งใหญ่จากแห่งหนใดเดินขบวนกัน?
แล้วมาเพื่อจุดประสงค์ใด?
ซูอี้ที่ตั้งใจจะจากไปในทีแรกก็หมุนตัวในเวลานี้ ทอดสายตามอง
เป่าแตรวิเศษ ตีกลองวิเศษ ฝูงปีศาจเปิดทาง เกรียงไกรอยู่กลางนภา
ขบวนยิ่งใหญ่จริงเชียว…