บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 644 ลัทธิหมิงหลิง
ตอนที่ 644: ลัทธิหมิงหลิง
ตอนที่ 644: ลัทธิหมิงหลิง
เสียงแตรวิเศษดังล่องลอย
เสียงกลองวิเศษหนักแน่นทุ้มต่ำ
สองเสียงประสานเข้าด้วยกัน ส่งผลให้ฟ้าดินผืนนี้เกิดบรรยากาศเคร่งขรึม
แล้วหันไปมองขบวนแห่งยิ่งใหญ่เกรียงไกรขบวนนี้ให้ดี จะพบว่ามันประหนึ่งราชันย์แห่งมวลมนุษย์เสด็จ
“ต้องเป็นกลุ่มเต๋าของเผ่าปีศาจแน่ ในบรรดาผู้ฝึกปีศาจทั้งสามสิบหกคนที่เปิดทางอยู่ด้านหน้า มีตัวตนขอบเขตสยายวิญญาณถึงเก้าคน!”
เมิ่งจิ้งไห่ กู้ซานตู ฟู่อวิ๋นคง และคนใหญ่คนโตอื่น ๆ ในที่นี้ต่างตกตะลึง
พวกเขามองปราดเดียวก็เห็นความผิดปกติ และตระหนักได้ว่าขบวนแห่นี้ไม่ธรรมดา
ท่ามกลางกลุ่มเต๋าอย่างพวกเขา จำนวนของผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณมีอย่างจำกัด
อย่างเช่นสำนักอนธการสยบนภา บัดนี้ถือว่าเป็นกลุ่มสำนักชั้นนำอันดับต้น ๆ ภายในอาณาจักรต้าฉินแล้ว!
ทว่าผู้แข็งแกร่งในขอบเขตสยายวิญญาณภายในสำนักมีเพียงแปดคนเท่านั้น
แต่ตอนนี้ ในกลุ่มขบวนตรงหน้า เฉพาะบุคคลเปิดทางก็มีตัวตนขอบเขตสยายวิญญาณอยู่ถึงเก้าคน ดังนั้นจะไม่ให้ตะลึงได้อย่างไร?!
“อสูรสิงโตทองคำตัวนี้ไม่เลวจริง ๆ…”
สายตาซูอี้มองข้ามเหล่าผู้ฝึกปีศาจที่เปิดทางอยู่ จ้องมองไปยังสัตว์อสูรตัวใหญ่ที่มีหัวสิงโต ร่างเหมือนช้าง และขนสีทองที่ลากซึ่งกำลังลากเกี้ยวอยู่
มันคืออสูรสิงโตทองคำ ควบคุมเปลวเพลิงได้ตั้งแต่กำเนิด ชื่นชอบการกินสมบัติที่เจือปนธาตุทอง มีพละกำลังมหาศาล ดุร้ายไม่มีสิ่งใดเทียบเทียม
…และอสูรสิงโตทองคำตัวนี้ มีพลังของขอบเขตสยายวิญญาณเป็นที่เรียบร้อย ไม่แพ้อิงเชวียเลยสักนิด!
‘เดรัจฉานระดับนี้ พอนำมาเฝ้าภูเขาได้อยู่บ้าง’
ซูอี้ครุ่นคิด
ขณะที่เขากำลังใช้ความคิด ขบวนผู้ฝึกปีศาจสุดเกรียงไกรพลันหยุดชะงักบนท้องนภาจุดที่ห่างจากหน้าผาซงเทาไม่ไกล
ผู้เฒ่าเครายาวซึ่งนำอยู่ด้านหน้าเก็บแตรวิเศษในมือ โค้งคำนับเกี้ยว และเอ่ยอย่างนอบน้อม “ท่านประมุข พวกเรามาถึงหุบเขาวิญญาณล่องเมฆาแล้วขอรับ!”
เสียงนั้นกระจายออกไปท่ามกลางมวลเมฆ ดังสนั่นประหนึ่งสายฟ้าฟาด
“งานชุมนุมล่องเมฆาจบแล้วหรือ?”
เสียงเกียจคร้านดังออกมาจากเกี้ยว
ชายล่ำสันกำยำที่ตีกลองอยู่ก่อนหน้านี้ เวลานี้กวาดสายตามองหน้าผาซงเทา ก่อนจะหันไปกล่าวอย่างนบนอบ “เรียนท่านประมุข พวกผู้ฝึกตนยังอยู่ขอรับ”
คำพูดนี้ส่งผลให้บรรดาคนใหญ่คนโตอย่างเมิ่งจิ้งไห่ตึงเครียดขึ้นมา
พวกเขาเพิ่งตระหนักได้ว่า ที่แท้ขบวนผู้ฝึกปีศาจกลุ่มนี้มาเพราะงานชุมนุมล่องเมฆาเช่นกัน!
ทันใดนั้น เสียงหวานเย้ายวนดังออกจากในเกี้ยว
“ท่านประมุขกล่าวว่า พวกเรามาทำความดี ซั่วเหมิง เจ้าจงแจ้งจุดประสงค์การมาของเราให้พวกเขาทราบ เชื่อว่าพวกเขาจะเลือกอย่างชาญฉลาด”
ไม่ต้องสงสัยเลย ในเกี้ยวคันนั้นมีมากกว่าหนึ่งคน
“ขอรับ!”
ชายกำยำนามซั่วเหมิงรับบัญชาแข็งขัน
เขาหันกลับไป ร่างสูงองอาจยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ ครึ่งท่อนบนที่เปลือยอยู่คลับคล้ายสร้างด้วยผงสำริด มีสีทองแดงซึ่งให้ความรู้สึกแข็งแกรงดั่งเหล็กกล้า กล้ามเนื้อมัด ๆ ประดุจหินผาเหล่านั้น เปี่ยมด้วยคลื่นพลังชวนสะท้านใจ
เมื่อสายตาสีทองเยียบเย็นสีทองของเขาตวัดมา พวกคนใหญ่คนโตอย่างเมิ่งจิ้งไห่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ต่างรู้สึกถึงจิตสังหารดุดันพุ่งเข้าปะทะใบหน้า
“สหายเต๋าทั้งหลายอย่าได้แตกตื่นไป ท่านประมุขของข้ามาเยือนที่นี่ในวันนี้มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น”
ซั่วเหมิงเอ่ยด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ “หวังว่าทุกท่านจะทำตาม”
ทำตาม?
คำนี้ส่งผลให้คนใหญ่คนโตในที่นี้ตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากล พวกเขาต่างขมวดคิ้วมุ่น
“ขออาจหาญถามท่านประมุขของเจ้า ว่าเขาต้องการสิ่งใดหรือ?”
เมิ่งจิ้งไห่ถามเสียงเข้ม
เสียงของซั่วเหมิงดังก้องดุจสายฟ้า พลางถอนหายใจเบา ๆ “ท่านประมุขของข้าเปี่ยมเมตตา ไม่ชอบการนองเลือดโกลาหลในโลกนี้ที่สุด”
“ครานี้ได้ข่าวว่าสหายเต๋าทุกท่านรวมตัวกันอยู่ที่นี่เพื่องานชุมนุมล่องเมฆา หมายจะสงบศึก คืนสันติให้ปฐพีผืนนี้ ท่านประมุขของข้าปลาบปลื้มยิ่ง จึงมาเยือนที่นี่ด้วยตัวเอง หมายมั่นช่วยเหลือ เป็นอีกแรงเพื่อสร้างสันติภาพแก่โลกใบนี้”
ทุกคน “…”
วาจาเช่นนี้เสแสร้งยิ่ง ใครเชื่อผู้นั้นคงเป็นคนโง่งมโดยแท้
เมิ่งจิ้งไห่ไตร่ตรองก่อนตอบ “ข้าไม่ขอปิดบังสหายเต๋า พวกเราหารือตั้งกฎขึ้นได้แล้ว นับจากวันนี้ไป สงบศึก หยุดทุกการต่อสู้…”
ซั่วเหมิงแทรกขึ้นมา “กฎที่พวกเจ้าตั้งเอง นับที่ไหนกัน ไม่หนำซ้ำ หากพวกเจ้าฝ่าฝืนกฎขึ้นมา ผู้ใดเล่าจะคอยควบคุมดูแล?”
คนใหญ่คนโตทั้งหมดในที่นี้ขมวดคิ้วกันหมด ไฉนเล่าจะดูไม่ออก ‘ท่านประมุข’ ที่ซั่วเหมิงกล่าวถึงตั้งใจจะแทรกแซง!
“แล้ว… ไม่ทราบว่าท่านประมุขของเจ้าคิดเห็นอย่างไรหรือ?”
เมิ่งจิ้งไห่เอ่ยเสียงเข้ม
ซั่วเหมิงพูดโดยไม่ต้องคิด “เรื่องนั้นง่ายมาก ตั้งแต่นี้ไป พวกเจ้าจงศิโรราบต่อท่านประมุขของข้า เชื่อฟังบัญชาจากท่านประมุขของข้า เมื่อเป็นเช่นนี้ ภายในอาณาจักรต้าโจว ต้าเว่ย และต้าฉินย่อมไม่มีผู้ใดกล้าก่อความวุ่นวายอีก ใต้หล้านี้จะไร้ซึ่งการนองเลือดโกลาหลอีกต่อไป”
ทันใดนั้น สีหน้าคนใหญ่คนโตต่างเปลี่ยนไปกันหมด
ตามคาด ผู้มาไม่หวังดี!
ซั่วเหมิงเอ่ยเรียบ ๆ “ทุกท่านไม่ต้องกังวลใจไป ที่ท่านประมุขของข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อสำนักของพวกเจ้า หลังจากที่พวกเจ้าอยู่ใต้อาณัติท่านประมุขของข้า เราก็คือคนกันเอง ในภายภาคหน้าพวกเจ้าย่อมได้ผลประโยชน์ไม่น้อย”
หน้าตาพวกเมิ่งจิ้งไห่ฉายแววอึมครึม
ไม่มีผู้ใดคาดคิด ในตอนที่งานชุมนุมล่องเมฆาใกล้ปิดฉาก จะมีกลุ่มเต๋าผู้ฝึกปีศาจสุดแกร่งเช่นนี้บุกเข้ามากะทันหัน
ซ้ำร้าย อีกฝ่ายยังคิดกดขี่บังคับพวกเขาทุกคนให้ศิโรราบ!!
“หากพวกข้าไม่ยินยอมเล่า?”
ฟู่อวิ๋นคง เจ้าสำนักศาลาดาบหลิงเซียวแห่งต้าเว่ยเอ่ยเสียงเข้ม
ซั่วเหมิงคลี่ยิ้มอย่างอดไม่ได้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งร้าย “ผู้ไม่ยินยอม คือผู้มีใจบ่อนทำลายปฐพีผืนนี้ เพื่อประชาราษฎร์ในใต้หล้านี้ พวกข้าย่อมต้องกำจัดผู้เป็นภัยต่อแผ่นดินออกไป!”
เสียงของเขากึกก้อง ท่าทีราวกับทรงคุณธรรมหนักหนา
ส่งผลให้คนใหญ่คนโตทั้งหมดในที่นี้อยู่นิ่งไม่ไหวกันหมด สีหน้าวูบไหว
มีเพียงซูอี้ยังคงท่าทีเดิมไว้
เมื่อเห็นภาพนี้ เขานึกอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าอิทธิพลผู้ฝึกปีศาจกลุ่มนี้โผล่มาจากแห่งหนใด ปากกล้าไม่เบา
“ขอบังอาจถามชื่อเสียงเรียงนามของท่านประมุขเจ้าได้หรือไม่ ว่าที่แท้พวกเจ้ามาจากสำนักใดกัน?”
เมิ่งจิ้งไห่ถามเสียงเคร่งขรึม
บนหมู่เมฆที่ห่างออกไป ซั่วเหมิงมีสีหน้าเคารพยำเกรง เอ่ยด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ท่านประมุขของข้าคือบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิหมิงหลิง สมญานามเต๋าชิ่งหยวน!”
ลัทธิหมิงหลิง?
บุตรศักดิ์สิทธิ์ชิ่งหยวน?
พวกเมิ่งจิ้งไห่มองหน้ากันด้วยสีหน้าฉงน เมื่อใดกันที่อิทธิพลนี้ปรากฏตัวในโลกหล้า?
ซูอี้กลับชะงักไป ลัทธิหมิงหลิง?
เขานึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ท่านเทพแห่งความกรุณา!
คนน่าสงสารคนหนึ่งที่ถูกจองจำอยู่ในถ้ำโลหิตหมิงหลิง ไม่อาจหลุดพ้นออกมาได้
ลัทธิหมิงหลิงเกี่ยวข้องกับท่านเทพแห่งความกรุณาหรือไม่?
ซูอี้คิดมาถึงนี่ ความสนใจก่อตัวขึ้นในใจอย่างอดไม่ไหว
เมื่อครั้งอยู่ที่เมืองผีเก้าคด ณ อาณาจักรต้าโจว เขาได้พบ ‘ท่านเทพแห่งความกรุณา’ เป็นครั้งแรกที่จุดเชื่อมมิติซึ่งก่อเกิดจากวังวนสีเลือด
ชายหนุ่มมั่นใจตั้งแต่ตอนนั้น ว่าอีกฝ่ายต้องเป็นสายเลือดวิหคอัปมงคลเก้าเศียรแน่นอน เพียงแต่ถูกจองจำไว้ในสถานที่ที่เรียกว่าถ้ำโลหิตหมิงหลิง
จนกระทั่งในเวลาต่อมา ระหว่างทางไปต้าเซี่ยของซูอี้ บนเขาฝูเซียนที่พวกผู้ฝึกตนอย่างนักพรตไฉพำนักอยู่ เป็นครั้งที่สองที่เขาได้พบท่านเทพแห่งความกรุณาผ่านจุดเชื่อมมิติซึ่งก่อเกิดจากค่ายกลสังเวยโลหิต
จำได้ว่าครานั้น เขาเคยหยั่งเชิงอยู่หลายครา จนพอได้คำตอบว่าท่านเทพแห่งความกรุณาผู้นี้เสียพลังไปมาก
ส่วนถ้ำโลหิตหมิงหลิงที่ท่านเทพแห่งความกรุณาอยู่นั้น เป็นสถานที่แห้งแล้งอันตราย
เพื่อตก ‘ปลาใหญ่’ ตัวนี้ ซูอี้เคยส่งเนื้อหาส่วนแรกของเคล็ดวิชาลับที่มีชื่อว่าเคล็ดวิชากลั่นไอชั่วร้ายให้ท่านเทพแห่งความกรุณาผ่านวังวนสีเลือดนั้น
ความจริงได้ปรากฏแล้วว่า ปลาติดเบ็ดแล้วจริง ๆ
ท่านเทพแห่งความกรุณาในตอนนั้นต้องใจต่อเคล็ดวิชาลับนี้สุด ๆ เป็นฝ่ายออกปากขอเนื้อหาที่เหลือของเคล็ดวิชากลั่นไอชั่วร้ายจากซูอี้เอง
แต่ซูอี้บอกปฏิเสธ และบอกท่านเทพแห่งความกรุณาว่าปรับเปลี่ยนท่าทีได้เมื่อใด ยอมบอกเล่าภูมิหลังและสิ่งที่ประสบได้อย่างซื่อตรงเมื่อใด ซูอี้จึงจะพิจารณามอบวิชาที่เหลือให้อีกฝ่าย
ทว่าเขาไม่คิดเลย จวบจนบัดนี้ก็ผ่านไปหลายเดือนแล้ว ท่านเทพแห่งความกรุณาจะไม่เคยส่งสาส์นมาหาเขา
ขณะที่ซูอี้กำลังใช้ความคิด ภายในเกี้ยวบนหมู่เมฆมีเสียงหวานเย้ายวนดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ซั่วเหมิง ท่านประมุขกล่าวว่า พวกเรามาทำความดี แต่ถ้าพวกเขายังคิดไม่ได้ จงสังหารเสีย จะได้ไม่เสียเวลา”
น้ำเสียงออดอ้อนนุ่มนวล ทว่าบรรยากาศในที่นี้พลันกดดันขึ้นมา
คนใหญ่คนโตอย่างพวกเมิ่งจิ้งไห่ทั้งตะลึงทั้งโมโห
“ทุกท่าน ได้เวลาพวกท่านตัดสินใจแล้ว”
นัยน์ตาของซั่วเหมิงเย็นเยียบ กวาดมองทุกคนบนหน้าผาซงเทา ด้วยพลังน่าสะท้าน
ขณะนั้น ผู้เฒ่าเครายาวที่เคยเป่าแตรวิเศษก่อนหน้านี้เอ่ยเนิบนาบ “หากต้องลงไม้ลงมือ ข้าขอรับประกันว่าคนอย่างพวกเจ้าผนวกพลังเข้าด้วยกัน… ก็ไม่พอให้ฆ่าหรอก”
เกล็ดสีเงินปกคลุมอยู่ทั่วตัว เขาเดี่ยวสีขาวหิมะเปล่งพลังแข็งกร้าว
ทันทีที่สิ้นเสียง กลุ่มผู้ฝึกปีศาจในขบวนต่างทอดสายตามองพวกเมิ่งจิ้งไห่อย่างพร้อมเพรียง ถูมือไปมาด้วยท่าทีพร้อมต่อสู้
บรรยากาศกดดันขึ้นเรื่อย ๆ
พวกเมิ่งจิ้งไห่ตัวแข็งทื่อ มือเท้าเย็นเยียบ ความตะลึงผสานกับความกราดเกรี้ยว
เรียกได้ว่าเป็นเคราะห์ร้ายที่เข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว เหนือความคาดหมายของพวกเขา
และพวกเขาดูออกด้วยว่าถ้าปฏิเสธ บรรดาผู้ฝึกปีศาจที่เรียกตัวเองว่าลัทธิหมิงหลิงต้องลงไม้ลงมือแน่นอน!
เช่นนี้จะทำอย่างไรดี?
เมิ่งจิ้งไห่หันมองซูอี้ด้วยสัญชาตญาณ
ท่าทีนี้ของเขา พลันทำให้คนใหญ่คนโตอื่น ๆ ได้สติขึ้นมา และพากันทอดมองซูอี้
หืม?
ซั่วเหมิง ผู้เฒ่าเครายาว และเหล่าผู้ฝึกปีศาจล้วนสังเกตเห็นภาพนี้ และทอดสายตามองไปเช่นกัน
ทว่า เมื่อจับพลังจากตัวซูอี้ได้แล้ว พวกซั่วเหมิงผงะกันหมด แค่ขอบเขตรวบรวมดาราคนหนึ่งหรือ?
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
เมิ่งจิ้งไห่สูดหายใจเข้าลึก โค้งก้มศีรษะให้ซูอี้ เอ่ยอย่างละอายระคนไม่สบายใจ
“สหายเต๋าซู สถานการณ์ในตอนนี้เหนือการควบคุมจริง ๆ ถ้าเป็นไปได้ โปรดพิทักษ์พวกเราด้วยเถิด!”
คนใหญ่คนโตอื่น ๆ เห็นแล้วก็พากันโค้งคำนับซูอี้อย่างพร้อมเพรียง
“สหายเต๋าซูโปรดพิทักษ์พวกเราด้วย!”
เสียงนั้นสะท้อนอยู่ในฟ้าดินหน้าผาซงเทา
ซั่วเหมิง ผู้เฒ่าเครายาว และผู้ฝึกปีศาจคนอื่น ๆ ล้วนผงะกันหมด แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
เหตุใดคนระดับสูงในกลุ่มเต๋าต่าง ๆ ถึงขอความช่วยเหลือจากคนหนุ่มขอบเขตรวบรวมดารา?
“นายท่าน ก่อนหน้านี้ไม่เห็นเจ้าพวกนี้เคารพนับถือท่านเท่าใด บัดนี้ได้พบเหตุร้าย ต่างมองท่านเป็นผู้กอบกู้ ปรารถนาให้ท่านช่วยออกหน้าแทนพวกเขา ใช้ไม่ได้เลยจริง ๆ”
หยวนเหิงขมวดคิ้ว ส่งกระแสปราณอย่างรวดเร็ว
“เมื่อผู้อ่อนแอไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้ ย่อมเข้าพวกกับผู้แข็งแกร่งด้วยสัญชาตญาณ ไม่แปลกหรอก”
ซูอี้กล่าวราบเรียบ
เขาไม่รู้สึกสิ่งใดกับเรื่องนี้ มุ่งหาผลประโยชน์ หลีกเลี่ยงอันตราย นับเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์
แต่เมื่อได้เห็นภาพนี้ ซั่วเหมิงซึ่งอยู่บนหมู่เมฆที่ห่างออกไปอดแหงนหน้าหัวเราะลั่นไม่ได้
“พวกเจ้าดูสิ เจ้าพวกนั้นขอให้คนในขอบเขตรวบรวมดาราพิทักษ์พวกเขาอย่างนั้นหรือ? ข้ามีชีวิตอยู่มาตั้งหลายปี ไม่เคยพบเคยเจอภาพน่าขันเช่นนี้มาก่อนเลย ฮ่า ๆๆๆ”
เสียงหัวเราะนั้นดังกึกก้องอยู่บนนภาโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด