บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 649 เปลี่ยนผันตามติด
ตอนที่ 649: เปลี่ยนผันตามติด
ตอนที่ 649: เปลี่ยนผันตามติด
ทั่วพื้นที่เงียบสงัดลงกะทันหัน
ทุกคนต่างตะลึงยามได้ยินซูอี้กล่าวลดขั้นวิหคอัปมงคลเก้าเศียรซึ่งสงสัยว่าจะเป็นเจ้าลัทธิหมิงหลิงเป็น ‘เดรัจฉาน’
เขากล้าดีเช่นไร!?
ทั้งผู้เฒ่าเครายาวและซั่วเหมิงต่างเหม่อลอย
พวกเขาเคยเห็นผู้กล้า แต่ไม่ใช่ผู้กล้าเพียงนี้!
“บังอาจ! เจ้า…”
ชายหนุ่มในชุดสีเงินโกรธเสียจนเกือบได้ผรุสวาทใส่ซูอี้ ทว่าวิหคอัปมงคลเก้าเศียรสยายกรงเล็บยักษ์วางลงบนหัวเขา
“หุบปาก!”
เสียงสั่งดังลั่นเยี่ยงอสนีบาตทำให้ชายหนุ่มในชุดสีเงินสั่นเทิ้มทั้งกาย
เขาตะลึง เกิดอันใดขึ้นกับอาจารย์?
คนทุกผู้ต่างตะลึงงัน
ทุกสายตาหันมองวิหคอัปมงคลเก้าเศียร
ยามนี้ วิหคอัปมงคลเก้าเศียรผู้มีบรรยากาศน่าหวาดหวั่นดูราวกับพบบางสิ่งไม่น่าเชื่อบังเกิดขึ้น เศียรทั้งเก้าต่างหันมองซูอี้ด้วยสีหน้าประหลาดใจเหมือนกันหมด
“เจ้า… เจ้าคือเจ้าคนแซ่ซูผู้นั้นหรือ?”
วิหคอัปมงคลเก้าเศียรถามอย่างไม่แน่ใจ
น้ำเสียงของเขาแฝงเค้าลางความตึงเครียด
ทุกคน “???”
นี่มันสถานการณ์อันใดกัน?
หรือวิหคอัปมงคลเก้าเศียรนี้จะรู้จักซูอี้?
ซูอี้ไพล่มือไว้เบื้องหลัง กล่าวอย่างไม่แยแส “โลกนี้นอกจากข้า เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดสอน ‘เคล็ดวิชากลั่นไอชั่วร้าย’ ให้เจ้าได้อีก”
วิหคอัปมงคลเก้าเศียรตนนี้ คือวิหคเก้าเศียรซึ่งเดิมเคยเป็น ‘ท่านเทพแห่งความกรุณา’ ที่ถูกขังอยู่ในถ้ำโลหิตหมิงหลิงและมีผู้ศรัทธามากมายทั่วมหาทวีปคังชิง
วิหคอัปมงคลเก้าเศียรร่างสั่นเทิ้มทั้งกาย โพล่งขึ้นกะทันหัน “เป็นเจ้าจริง ๆ ด้วย!!”
วิหคอัปมงคลเก้าเศียรดูตื่นตระหนก ซึ่งทำให้ชายหนุ่มในชุดสีเงินและผู้เฒ่าเครายาวนิ่งอึ้ง รู้สึกไม่ถูกไม่ควร
“สุภาพหน่อย อย่างน้อยข้าก็เคยสอนสั่งเจ้ามาก่อน”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ยิ่งกว่านั้น หากเข้าใจไม่ผิด การที่เจ้ากลายเป็นสัตว์ร้ายเช่นนี้ก็เนื่องมาจากวิชาที่ข้าสอน เจ้าฟื้นพลังได้ส่วนหนึ่งจนสามารถใช้ประตูมิติเพื่อเผยเจตจำนงส่วนหนึ่งออกมาได้แล้วนี่”
ทุกวาจาของเขาไร้ความยำเกรง
สิ่งที่ทำให้คนทุกผู้ตะลึงนั้นก็คือ วิหคอัปมงคลเก้าเศียรดูจะชาชินกับมันอยู่นานแล้ว แทนที่จะโกรธ เขากลับชะลอเพลิงปีศาจบนร่าง
ดูเหมือนว่าเขาจะเกรงกลัวซูอี้สุดใจ!
“ที่แท้ก็เป็นสหายเต๋าซู”
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นวิหคอัปมงคลเก้าเศียรก็แสดงท่าทีปรีดา “ไม่นานนี้ ข้าส่งศิษย์ไปยังนครจิ๋วติ่งแห่งต้าเซี่ยเพื่อตามหาสหายเต๋า ทว่าพวกเขากลับไม่พบผู้ใด ที่แท้ยามนี้สหายเต๋าก็ไม่ได้อยู่ในต้าเซี่ยแล้ว”
เสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกปีติยินดี และเค้าลางความกลัวที่แทบจะแยกแยะไม่ออก
ทุกคน “…”
เห็นเช่นนี้ ใครเล่าจะไม่เข้าใจ วิหคอัปมงคลอันดุร้ายน่ากลัวซึ่งสงสัยว่าจะเป็นเจ้าลัทธิตนนี้ ไม่เพียงรู้จักซูอี้ แต่ยังกลัวซูอี้มากด้วย!
หาไม่ เมื่อเผชิญคำปรามาส ‘เดรัจฉาน’ ของซูอี้ เขาจะทำเป็นหูทวนลมได้หรือ?
บรรยากาศรอบข้างพลันพิลึกกึกกือ
เรื่องนี้เกินคาดโดยแท้
ทุกคนคิดว่าเมื่อชายหนุ่มในชุดสีเงินใช้ไพ่ตาย สถานการณ์จะกลายเป็นหายนะอันไม่เคยเกิดเป็นแน่
มีกระทั่งมีผู้กังวลใจแทนซูอี้
ทว่าใครเล่าจะคิดว่าเมื่อวิหคอัปมงคลเก้าเศียรปรากฏกาย สถานการณ์จะพลิกผัน!
“อาจารย์ นี่… เกิดอันใดขึ้น?”
ชายหนุ่มในชุดสีเงินถามอย่างมึนงง
วิหคอัปมงคลเก้าเศียรถอนหายใจ ก่อนตอบว่า “เรื่องมันยาว เจ้าจำไว้ก็พอว่าสหายเต๋าซูเป็นผู้มีพระคุณของอาจารย์ และเจ้าควรปฏิบัติต่อเขาอย่างนอบน้อมเยี่ยงญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง”
ชายหนุ่มในชุดสีเงินเบิกตากว้าง ผู้มีพระคุณของอาจารย์? ญาติผู้ใหญ่!?
ผู้เฒ่าเครายาว ซั่วเหมิงและคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึงพรึงเพริด นี่มันอันใด เกิดน้ำท่วมวังมังกรหรือไร?
ไกลออกไป พวกเมิ่งจิ้งไห่เองก็อ้าปากค้าง
ตัวตนผู้น่าหวาดหวั่นเช่นนี้ถือซูอี้เป็นผู้มีพระคุณ!!
นี่เหลือเชื่อโดยไม่ต้องสงสัย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…”
ในที่สุด หยวนเหิงก็จำได้ว่าในเขตเขาฝูเซียน ซูอี้เคยเดินทางผ่านวังวนสีเลือดและสนทนากับวิหคอัปมงคลเก้าเศียรตนนี้!
“จะว่าไป เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่ และไปล่วงเกินสหายเต๋าซูได้เช่นไร?”
ยามนี้ วิหคอัปมงคลเก้าเศียรกล่าวขึ้นเสียงต่ำ
ชายหนุ่มในชุดสีเงินมีท่าทางกระอักกระอ่วน ก่อนกล่าวเบา ๆ “อาจารย์ ข้ามาต้าฉินครานี้เพราะได้ยินว่ามีงานชุมนุมล่องเมฆาถูกจัดขึ้นที่นี่…”
ในขณะที่เขากำลังจะเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด ซูอี้ก็ตัดบทว่า “หากเจ้ายังมัวอารัมภบทเช่นนี้ เจตจำนงอาจารย์เจ้าจะสลายไปก่อนเจ้าทันพูดจบน่ะสิ”
ชายหนุ่มในชุดสีเงิน “…”
จริงตามนั้น ร่างมหึมาของวิหคอัปมงคลเก้าเศียรสั่นไหว เขากล่าวว่า “กะแล้วเชียว ข้าไม่อาจปิดบังอันใดต่อสหายเต๋า ด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันและเจตจำนงที่ข้าก่อ ข้าไม่อาจอยู่ได้นานจริง ๆ ทว่าหากมีศิษย์ข้าอยู่ ภายหน้าสหายเต๋าก็สามารถพบข้าได้ทุกเมื่อ”
ทันทีที่กล่าวเช่นนี้ ร่างยักษ์ของมันก็พร่าเลือนลง ดูจะแสดงอาการใกล้สลาย
เห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็โบกมือกล่าว “ไปเถิด ข้าจะคุยกับเจ้าหลังจบเรื่องนี้”
วิหคอัปมงคลเก้าเศียรพยักหน้า และร่างของมันก็หายไปอย่างสมบูรณ์
กระทั่งวังวนสีเลือดที่ลอยกลางเวหาก็หายไปเงียบ ๆ
ภาพนี้ทำให้ทุกคนตะลึงงัน
ตัวตนอันน่าหวาดหวั่นนั่น… หายไปง่าย ๆ เช่นนี้หรือ?
ทว่า นี่ยังทำให้พวกเมิ่งจิ้งไห่โล่งใจด้วยเช่นกัน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสถานการณ์อันตรายยิ่งยวดนี้ถูกสลายไปด้วยคำพูดของซูอี้!
“เอาล่ะ เจ้าอยากรับหมัดที่สามหรือไม่?”
ซูอี้ยิ้มน้อย ๆ พลางมองชายหนุ่มในชุดสีเงิน
ชายหนุ่มในชุดสีเงินร่างสั่น จากนั้นรีบกล่าวว่า “ผู้อาวุโสซู ก่อนหน้านี้ ผู้น้อยตาไร้แววจึงล่วงเกินท่าน หวังท่านจะให้อภัยข้าสักครั้งเพื่อเห็นแก่หน้าอาจารย์ข้าด้วย!”
พูดจบ บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิหมิงหลิงก็โค้งตัวลงต่ำ ๆ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ความรู้สึกของทุกคนในบริเวณนั้นจึงเปลี่ยนผันขึ้นลง สีหน้าของพวกเขาซับซ้อน
ใครเล่าจะคิดว่าจุดจบศึกนี้จะเป็นดังที่เห็น?!
“นางเป็นใครในหมู่พวกเจ้า?”
จู่ ๆ ซูอี้ก็มองสตรีสวมกระโปรงสีเหลืองซึ่งอยู่ไม่ไกล
ชายหนุ่มในชุดสีเงินกล่าวอย่างนอบน้อม “นางคือฮวนเอ๋อร์ เพิ่งยอมติดตามผู้น้อยไม่นานนัก”
สตรีสวมกระโปรงสีเหลืองเองก็รีบร้อนกล่าว “ข้าน้อยคารวะนายท่านซู!”
นางดูตื่นกลัวตัวลีบ น่าสงสารนัก
ในขณะเดียวกัน จมูกของซูอี้ก็ขยับฟุบฟิด เขาได้กลิ่นหอมจาง ๆ
และเขาก็อดกล่าวหัวเราะออกมาเบา ๆ ไม่ได้ “สุคนธ์มารกร่อนกระดูกของเจ้ายังไม่ถึงขั้น ‘ไร้สีไร้กลิ่น จังหวะแห่งธรรมชาติ’ เจ้าหลอกผู้อื่นได้ แต่ไร้ผลกับซูผู้นี้”
ร่างบอบบางของสตรีสวมกระโปรงสีเหลืองชะงักนิ่ง เงยหน้าขึ้นกล่าวกะทันหันอย่างแปลกใจ “สหายเต๋ามองทะลุผ่านฐานะของข้าน้อยแล้วหรือ?”
ยามเอื้อนเอ่ยวาจา แววตาสีม่วงของนางก็ทอประกายเย้ายวนเปี่ยมเสน่ห์
ไม่ไกลนัก เมื่อพวกชายหนุ่มในชุดสีเงินเห็นดวงตาของสตรีสวมกระโปรงสีเหลือง พวกเขาก็มีสีหน้าเหม่อลอย ปรากฏแววตาท่าทางหลงใหลคลั่งไคล้
ทว่า ซูอี้ผู้ถูกสายตาสีม่วงของสตรีสวมกระโปรงสีเหลืองจับจ้องตรง ๆ กลับแค่นเสียงอย่างเย็นชา “กล้านัก ล่อลวงวิญญาณ รนหาที่ตาย!”
เสียงของเขาคมกริบดั่งดาบ จิตสังหารน่าหวาดหวั่น
ตู้ม!
สตรีสวมกระโปรงสีเหลืองเซถอยหลังไปสองสามก้าวราวถูกฟ้าผ่า ใบหน้างามซีดเซียว
ชายหนุ่มในชุดสีเงินและคนอื่น ๆ ตื่นขึ้นทันทีเช่นกัน สีหน้าหลงใหลสลายหาย กลายเป็นความตกใจและโกรธเคือง
พวกเขาเองก็ตระหนักแล้วว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล ทุกสายตาหันมองสตรีสวมกระโปรงสีเหลือง
“ฮวนเอ๋อร์ เกิดอันใดขึ้น!?”
ชายหนุ่มในชุดสีเงินเกรี้ยวกราด
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา ไม่รอให้สตรีสวมกระโปรงสีเหลืองตอบ “จิตใจของเจ้าถูกสุคนธ์มารกร่อนกระดูกของนางมารนี่ ช่างน่าขันที่เพิ่งรู้ตัวเอายามนี้”
ทันใดนั้น ดวงตาสีม่วงของสตรีสวมกระโปรงสีเหลืองก็กลิ้งกลอก นางพลันยิ้มหวานพลางกล่าวว่า “เยี่ยมยอด สหายเต๋าซูไม่เสียทีเป็นตำนานชนรุ่นเยาว์แห่งต้าเซี่ย! คราวหน้ายามพานพบ ข้าจะขอคำชี้แนะขอบเขตมหาวิถีจากสหายเต๋าเป็นแน่!”
สตรีสวมกระโปรงสีเหลืองดูจะมองทะลุตัวตนของซูอี้!
นางกล่าวพลางทะยานโผสู่นภาราวสายฟ้าย้อนกลับ และพุ่งหายลับไปไกล
ขณะนั้นเอง…
ตู้ม!
ผู้เฒ่าเครายาวและซั่วเหมิงพลันปราดเข้ามาสังหารซูอี้
สตรีสวมกระโปรงสีเหลืองจากไปกะทันหัน และมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตสยายวิญญาณสองคนพลันโจมตีซูอี้!
ภาพที่เห็นทำให้ชายหนุ่มในชุดสีเงินตะลึงไม่อาจตั้งตัว ตวาดอย่างเดือดดาล “พวกเจ้า…”
ชิ้ง!
เกลียวคลื่นดาบปะทะส่งเสียง ซูอี้เรียกใช้ดาบนิลกาฬกลืนฟ้า
สงครามอุบัติ!
ภายในไม่กี่อึดใจ ผู้เฒ่าเครายาวและซั่วเหมิงต่างถูกสยบ และซูอี้ก็ใช้แพรตรึงวิญญาณมัดพวกเขาไว้
ทว่าหลังจบความชุลมุน สตรีสวมกระโปรงสีเหลืองก็หนีไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
“นางมารผู้นี้เจ้าเล่ห์นัก”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย
“ผู้อาวุโสซู พวกเขา…”
ชายหนุ่มในชุดสีเงินกล่าวติดขัด
“หากเจ้าถูกสุคนธ์มารกร่อนกระดูกเข้า เจ้าจะกลายเป็นลูกไก่ในกำมือของนางมารเหมือนหุ่นเชิด ทว่า หลังถูกครอบงำ อย่างมากเจ้าก็จะแสดงอำนาจออกมาได้เพียงครึ่งเดียว”
ซูอี้เหลือบมองชายหนุ่มในชุดสีเงิน “หากไม่ใช่เพราะเจ้าบาดเจ็บสาหัส นางมารจะต้องลอบควบคุมจิตใจของเจ้า สั่งให้เจ้ามาหยุดข้าแน่นอน”
ชายหนุ่มในชุดสีเงินอ้าปากค้าง กล่าวเสียงสั่น “ฮวนเอ๋อร์ นาง… นาง…”
บางทีอาจเป็นเพราะจิตใจถูกกระทบร้ายแรงเกินไป บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิหมิงหลิงจึงอับจนวาจา
“นายท่าน นางมารนั่นบังคับข้า!”
ผู้เฒ่าเครายาวผู้ถูกพันธนาการตวาดอย่างโกรธเคือง
ซั่วเหมิงที่อยู่ข้างกายก็มีสีหน้าอับอาย จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างร้อนใจ “ขอบคุณใต้เท้าซูที่ไว้ชีวิตข้า!”
ไม่ต้องสงสัยเลย มหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตสยายวิญญาณทั้งสองตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว
ซูอี้ยกมือขึ้น เก็บแพรตรึงวิญญาณกลับ และกล่าวว่า “แค่ถูกหลอกก็นับว่าโชคร้ายพอแล้ว ข้าจะมีใจคิดฆ่าพวกเจ้าได้เช่นไร?”
ชายหนุ่มในชุดสีเงินกัดฟันกล่าว “ฮวนเอ๋อร์เป็นผู้เสนอให้ข้าเข้าร่วมงานชุมนุมล่องเมฆาในหนนี้ ข้ารู้สึกแปลกเล็กน้อย แต่ก็ยังตอบตกลงโดยไม่คิดมาก ทว่ายามนั้น ข้าคงถูกนางจูงจมูกเป็นแน่แท้!”
เขาดูหม่นหมองข้องใจ สีหน้าน่าเกลียดนัก
ในฐานะบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิหมิงหลิง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าช่างน่าอายที่ตนเองเต้นบนฝ่ามือของนางมารอย่างไม่รู้ตัว
“อย่าว่าแต่ผู้อื่น หากเจ้าไม่หลงในตัณหา จะถูกทำให้ไขว้เขวได้เช่นไร?”
ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้
ชายหนุ่มในชุดสีเงินอับอายกระอักกระอ่วนในทันที
ดวงตาของซูอี้จับจ้องอสูรสิงโตทองคำซึ่งกำลังลากเกี้ยว พลางกล่าวว่า “แล้วเจ้าเล่า เจ้าอยากฉีกเนื้อเถือหนัง ควักหัวใจคว้าตับ กินเลือดเคี้ยวเนื้อ และทำลายวิญญาณของข้าหรือไม่?”
เฮือก!
อสูรสิงโตทองคำนิ่งกลางอากาศราวถูกฟ้าผ่า มันตัวสั่นเทาและอ้อนวอนอย่างลนลาน “ใต้เท้า ผู้น้อยผิดไปแล้ว! โปรดมอบโอกาสแก้ตัวด้วย!”
ทุกคน “…”