บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 65 พัดควบคุมภูตผี พลังดาบนภาเยือกแข็ง
ตอนที่ 65 พัดควบคุมภูตผี พลังดาบนภาเยือกแข็ง
เมฆฝนปกคลุมหนาแน่น บดบังแสงอาทิตย์หมดสิ้น ยามนี้คล้ายกับยามราตรีทั่วด้านมืดมิดราวน้ำหมึก
แต่แล้วกลับมีร่างหนึ่งค่อย ๆ เดินกรีดกรายตรงสู่ด้านในวัดร้าง!
ภาพฉากอันผิดปกติและแปลกประหลาดนี้ได้กระตุ้นความระวังของอาหย่งและผู้อื่นสุดตัว
เมื่อเข้ามาใกล้มากขึ้น ซูอี้และคณะจึงได้เห็นผู้ที่กำลังใกล้เข้ามา
อีกฝ่ายสวมใส่รองเท้าลายเมฆ บนศีรษะปรากฏสายหนังรัด คิ้วสีดำหนา จมูกโค้งประหนึ่งถุงน้ำดี ในมือถือพัดไว้อันหนึ่ง
ด้วยรูปลักษณ์หล่อเหลาของอีกฝ่าย ตัดกับเสื้อคลุมสีขาวที่เข้ารูป เขาจึงเปรียบดังคุณชายผู้งามสง่าและสูงส่ง ทอประกายซึ่งกลิ่นอายความเลิศล้ำ
“เป็นบุรุษที่งดงามยิ่งนัก”
สตรีในชุดทหารประหลาดใจ ถ้อยคำพึมพำราวไม่รู้ตัว
แม้แปลกไปบ้างที่กล่าวชมเชยบุรุษงดงาม กระนั้นแล้ว ตัวนางก็ไม่อาจหาคำอื่นที่เหมาะสมได้
“คุณหนูระวังด้วย อีกฝ่ายไม่ใช่ธรรมดาแน่!”
อาหย่งประหนึ่งพบเจอศัตรูตัวร้าย ท่าทีเคร่งเครียดอย่างไม่เคยแสดงออกให้พบเห็น ดวงตาเผยความคมกล้า จับจ้องไปยังบุรุษรูปงามตรงหน้าซึ่งเดินเข้ามาใกล้
“วัดร้างกลางป่าเช่นนี้มีอันตรายมากมายไว้ใจคนได้ยาก คุณชายท่านนี้ข้าขอแนะนำให้รีบจากไป หากไม่แล้วอย่าได้กล่าวว่าข้าไร้มารยาท!”
หนึ่งในผู้คุ้มกันตะโกนเสียงดัง วาจานี้เย็นชา เจตนาข่มขู่ ทำให้อีกฝ่ายหวาดเกรง
ทว่าขณะอีกฝ่ายยืนห่างจากโถงใหญ่ราวสามจั้ง กลับเล่นพัดซึ่งอยู่ในมือ ถ้อยคำกล่าวออกราบเรียบ “ไร้มารยาท? เหอะเหอะ หากไม่ใช่เพราะข้ามีจิตใจเมตตา เกรงว่าพวกเจ้าคงเป็นเหยื่อแมลงปีศาจกัดกินจนเหลือแต่ผิวหนัง”
“ว่าอะไรนะ!?” กลุ่มคนแตกตื่น ในใจเกิดปั่นป่วนขึ้น
“คนจากพรรคมารหยินงั้นหรือ?” อาหย่งกล่าวคำเคร่งเครียด
“ผิดแล้ว คนของพรรคมารหยินทั้งหลาย ข้าก็เพียงรับไว้เป็นบริวารคอยรับใช้”
อีกฝ่ายส่ายศีรษะกล่าวคำตอบ “ข้ามาพบพวกเจ้าครั้งนี้ ก็เพราะมีคำพูดเอ่ยกล่าว ตราบเท่าที่ยอมศิโรราบรับใช้ข้าอย่างภักดี เช่นนั้นพวกเจ้าจะสามารถมีชีวิตอยู่รอดต่อ”
อีกฝ่ายที่ยืนกลางสายฝน แต่กลับปรากฏคลื่นพลังเคลือบรอบกาย ปัดเป่าเอาเม็ดฝนเลือนหาย เป็นผลให้เสื้อผ้าไร้ซึ่งการเปียกชื้น
“คำนับเจ้าเป็นนาย? ยิ่งใหญ่เป็นเทพเซียนมาจากที่ใด กล้าดีอย่างไรกล่าววาจาใหญ่โตเพียงนี้!?”
สตรีในเครื่องแบบแค่นเสียงกล่าวตอบ
“หากคำนับข้าเป็นนาย เมื่อนั้นย่อมได้ทราบตัวตนข้า”
อีกฝ่ายเผยยิ้มบาง พร้อมจับจ้องยังสตรีในชุดเครื่องแบบทหาร
ขณะนี้เอง ผู้คนได้ตระหนักชัดว่าบุรุษตรงหน้ามีนัยน์ตาสีแดง เป็นประหนึ่งพระจันทร์สีเลือดสองดวงสะท้อนส่องสว่าง ทำเอาผู้พบเห็นเกิดขนลุก
อึก!
สตรีในชุดทหารเกิดใจสั่น ดวงตาคล้ายจิตหลุดลอย นางชักดาบออกจากฝัก กระทั่งเกือบสับฟันออก
เป็นอาหย่งที่ลงมือรวดเร็ว คว้าสะกดไหล่นางเอาไว้ทันท่วงที ถ้อยคำกล่าวย้ำเสียงดัง “คุณหนู โปรดตั้งจิตให้มั่นด้วย!”
เสียงนี้ประหนึ่งฟ้าคำราม ดังผ่านความว่างเปล่า ทำลายบรรยากาศเงียบงันชั่วร้ายเลือนหาย แม้แต่กระเบื้องบนหลังคายังสั่นเบา
สตรีในชุดทหารได้สติ เสียงนั้นยังดังก้องในหู
ขณะสายตาของนางมองไปยังบุรุษหนุ่มรูปงามไกลห่างอีกครั้งหนึ่ง สีหน้ากลับกลายเป็นหวาดกลัว ใบหน้างดงามแสดงอาการซีดเผือดอันเด่นชัด
เมื่อครู่ ตัวนางถูกทำให้จิตใจสับสน จิตนึกคิดสูญสิ้นโดยสมบูรณ์!
“โอ้ ผู้บ่มเพาะขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสมบูรณ์แบบงั้นหรือ ตัวเจ้าคงฝึกมาอย่างดีกระมัง?”
อีกฝ่ายมองยังอาหย่งด้วยท่าทีนับถือ ราวกับกำลังประทับใจ ต่อสินค้าที่เพิ่งพบเจอในร้านค้า ทำเอาผู้คนเกิดสังหรณ์ลางร้าย
“กล่าวมา หากข้าไม่ตกลง เจ้าคิดจะใช้กำลังถูกต้องหรือไม่?”
หลังกล่าวคำจบ ทั้งร่างอาหย่งเกิดแปรเปลี่ยน พลังปราณและโลหิตในกายเดือดพล่าน ประหนึ่งปรากฏควันพวยพุ่งขึ้นเบื้องบน ถ้อยคำเป็นประหนึ่งเสียงฟ้าคำราม แสดงออกซึ่งอำนาจอันยิ่งใหญ่ข่มขวัญผู้คน
ผู้ฝึกตนขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสมบูรณ์แบบ ทั้งพลังปราณและโลหิตเปรียบดังควันที่พวยพุ่ง พลังปราณยังเผยเสียงราวฟ้าคำราม!
หากเป็นภูตผีทั่วไป พวกมันคงประหนึ่งพบเจอดวงตะวัน เพียงเผชิญพลังปราณและโลหิตอันมหาศาลจากกายเขาก็มากพอดับดิ้น
น่าเสียดาย อีกฝ่ายคล้ายไม่ใส่ใจต่อการเปลี่ยนแปลงพลางกล่าวคำ “ข้าอุตส่าห์มอบโอกาสให้พวกเจ้ามีชีวิตรอดต่อไป พวกเจ้าควรหวงแหนชีวิตเอาไว้ แต่ในเมื่อทำเช่นนี้…”
นัยน์ตาสีเลือดอีกฝ่ายหดลงเล็กน้อย ก่อนจะมองไปยังซูอี้และผู้อื่นพร้อมกล่าวคำออก “ข้ารับปาก ไม่มีผู้ใดที่นี้สามารถรอดไปทั้งสภาพมีชีวิต”
คำพูดอันเรียบง่าย ทว่าแฝงซึ่งความเหยียดหยามและมั่นใจอันล้นพ้น
อาหย่งและผู้อื่นเกิดหวั่นใจ สีหน้ากลับกลายเป็นเคร่งเครียด
“พวกเจ้าคุ้มกันคุณหนูเอาไว้”
หลังสูดลมหายใจเข้าลึก อาหย่งก้าวเท้าเดินออกพร้อมชักดาบออกจากฝัก กระดูกตามร่างกายลั่นดังราวฟ้าร้องคำราม ปราณและโลหิตสูบฉีดประหนึ่งแม่น้ำอันยิ่งใหญ่ไหลบ่า
ชิ้ง!
เมื่อดาบออกจากฝัก ร่างของอาหย่งพุ่งทะยาน
เพียงชั่วพริบตา ม่านฝนกระจายเป็นทาง หยดน้ำนับไม่ถ้วนระเหยกลายเป็นไอน้ำฟุ้งกระจาย ร่างอาหย่งเปรียบดังสายฟ้าทะยานออกซึ่งหน้าอย่างไม่หวั่นเกรง
ภาพฉากอันน่าเกรงขามและหาญกล้านี้ เป็นเหตุให้สตรีในเครื่องแบบและคณะต่างตื่นตะลึง
มีเพียงซูอี้ที่ลอบส่ายศีรษะ
บุรุษหนุ่มอีกฟากฝั่งยืนนิ่งเฉย พลางเคาะพัดในมือเล่นไปเรื่อย
เคร้ง!
เสียงปะทะดังปรากฏ ดาบที่เปี่ยมด้วยโทสะของอาหย่ง กลับถูกพัดอันเรียบง่ายนั้นต้านรับเอาไว้อย่างง่ายดาย ไม่อาจรุกคืบต่อแม้เพียงนิด
“ช่างโง่งม”
บุรุษหนุ่มส่ายศีรษะ พร้อมสะบัดพัดในมือขึ้น
อาหย่งตระหนักได้ถึงพลังอันเย็นเยือกไร้ใดเทียบเปรียบจากพัดอีกฝ่ายเข้าสู่ดาบในมือเขา ก่อนไหลเวียนสู่ตัวเขาราวกระแสน้ำเย็นอันไม่รู้จบ เป็นผลให้ปากเขาสั่นรุนแรง ร่างกายพลันต้องซวนเซถอยไปหลายก้าว
มือแทบไม่อาจคงสภาพถือดาบไว้ได้!
ตึง! ตึง! ตึง!
ขณะเท้าถอยไป ทุกย่างก้าวที่เหยียบย่ำถอย หินปูพื้นพลันแตกกระจาย เกิดเป็นภาพอันน่าชวนตะลึง
มันมากพอจินตนาการ ว่าพลังนี้ที่ทำอาหย่งได้รับบาดเจ็บนั้นชวนสะพรึงเพียงใด
สตรีในชุดเครื่องแบบพร้อมคณะตื่นตะลึง จิตใจสั่นไหว เหตุใดอีกฝ่ายที่เพิ่งปรากฏตัวชวนสะพรึงได้ถึงเพียงนี้?
ทราบกันดีว่าฝั่งของนางนั้นอาหย่งคือผู้แข็งแกร่งที่สุด ในบรรดาสิบเก้าเมืองแห่งเขตปกครองอวิ๋นเหอ เขาเป็นรองก็เพียงเหล่าปรมาจารย์!
กระนั้นเวลานี้ เพียงชั่วอึดใจ เขากลับถูกบุรุษหนุ่มเล่นงานจนถอยกลับ!
“ขอบเขตปรมาจารย์!?”
สีหน้าอาหย่งไม่สู้ดี ความสงสัยบังเกิดขึ้น
“ปรมาจารย์?”
ชายหนุ่มครุ่นคิดก่อนจะตอบคำ “ตัวตนเหล่านั้นรับมือข้ายังเป็นเรื่องยาก ไม่นานมานี้ ข้าเพิ่งจัดการตาแก่ผู้หนึ่งไป น่าเสียดายที่สุดท้ายมันหนีรอด…”
น้ำเสียงนี้ราวกับนึกเสียดาย
ผู้คนเกิดรู้สึกหวาดเกรง ประหนึ่งตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
กระทั่งขอบเขตปรมาจารย์ก็ยังไม่อาจต่อกรอีกฝ่าย?
อีกฝ่ายคือใคร เหตุใดจึงมาซ่อนตัวในภูเขามารดาภูตผีที่มีผีร้ายออกอาละวาด?
มีเพียงซูอี้ที่เผยท่าทีครุ่นคิดเช่นนี้ ราวกับมองทุกรายละเอียดของอีกฝ่ายโดยปรุโปร่ง
บุรุษหนุ่มมองยังฟากฟ้า เสียงถอนหายใจดังหนึ่งครา “นี่ก็นานมากแล้ว ข้าให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้าย ยอมจำนนหรือรับความตาย”
“อาหย่ง รับ!”
ชั่วขณะนี้เอง สตรีในชุดเครื่องแบบนำเอาดาบยาวสีเงินออกมาเล่มหนึ่ง โยนส่งมันให้แก่อาหย่ง
ทั้งตัวดาบเปรียบดังน้ำแข็งสีเงิน เป็นราวหิมะขาวอันกระจ่าง ประดับด้วยลวดลายอักขระคล้ายรูปลักษณ์เมฆาปกคลุม ทั้งยังทอประกายแวววาวส่องสว่างเปรียบดังจันทรา
“นั่น ‘ศาสตราอักขระวิถีต้นกำเนิด’!”
แววตาซูอี้ปรากฏอาการประหลาดใจ เขากำลังตระหนักถึงความพิเศษของดาบเล่มนี้
ดาบนี้อาจหลอมขึ้นโดยวัตถุดิบวิญญาณ อาจกล่าวได้ว่าเป็นอาวุธวิญญาณแท้จริง
กระนั้นแล้ว มันกลับแตกต่างจากอาวุธวิญญาณทั่วไป ดาบเล่มนี้ผ่านการขัดเกลาโดยผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิดพร้อมจารึกอักขระลายเมฆ ซึ่งช่วยส่งเสริมให้ตัวดาบมีพลังของอักขระ เป็นผลให้มันมีพลังวิเศษที่แตกต่างจากอาวุธวิญญาณอื่นโดยสิ้นเชิง
ดังนั้นมันจึงถูกเรียกขานเป็น ‘ศาสตราอักขระวิถีต้นกำเนิด’
อาวุธเหล่านี้หากอยู่ในเก้ามหาแดนดิน พวกมันก็ไม่ใช่ของหายาก แต่หากเป็นที่อาณาจักรโจวที่มีพลังวิญญาณเพียงน้อยนิด มันย่อมเป็นหนึ่งในอาวุธชั้นเลิศ!
สตรีผู้สวมใส่ชุดทหารกลับพกพาของล้ำค่าเช่นนี้ ยิ่งบ่งชี้ถึงความสูงส่งของตัวนาง
เมื่อรับดาบไว้ได้ พลังของอาหย่งเท่าทวีขึ้น ความมั่นใจเผยออกแรงกล้า ดวงตาจับจ้องยังดาบเล่มนี้ราวลุ่มหลง
ดาบนี้นามว่านภาเยือกแข็ง ครั้งหนึ่งเคยเป็นสมบัติของเซียนเดินดินจากอดีตกาล!
ชั่วเวลานี้เอง ความหวาดกลัวปรากฏที่นัยน์ตาสีเลือดของบุรุษหนุ่ม เขาตระหนักทราบว่าดาบนี้ทรงอำนาจเพียงใด โดยไม่คิดลังเล เขาจึงเป็นฝ่ายช่วงชิงลงมือก่อน
ฉึบ!
มือข้างหนึ่งนั้นยกขึ้นพร้อมตะโกนดัง ควันสีดำสิบแปดสายปรากฏแผ่พุ่งจากพัด กลับกลายเป็นสิบแปดภูตผี พลังปราณอันชั่วร้ายปกคลุมฟากฟ้าบดบังแสง
ชั่วเวลานี้ ฟ้าดินราวกลับกลายเป็นขุมนรก เสียงกรีดร้องของภูตผีดังกึกก้องทั่วฟากฟ้าแดนดิน
อาหย่งก้าวออกพร้อมดาบในมือ ดาบนภาเยือกแข็งกรีดผ่านอากาศ ส่องประกายแสงสีเงินเจิดจ้า สะท้อนแสงอันเด่นชัด ราวกับแสงจันทราสาดส่อง
ฟึ่บ ฟึ่บ!
คลื่นดาบรวดเร็วเฉียบขาด สิบแปดภูตผีที่เข้าใกล้ถูกผ่าตนแล้วตนเล่า ประหนึ่งเต้าหู้เจอกับมีดร้อน
ทว่าภายใต้การควบคุมของบุรุษหนุ่ม สิบแปดภูตผีไม่แตกดับ แต่กลับควบแน่นใหม่และจู่โจมใส่อาหย่งราวคลุ้มคลั่ง เผยออกซึ่งความดุร้าย
ชั่วพริบตา อาหย่งถูกปิดล้อม แม้พลังดาบนี้ดูไร้สิ่งใดเทียบเปรียบ มันกลับยังไม่อาจสังหารภูตผีเหล่านี้โดยหมดสิ้น
บุรุษหนุ่มเมื่อเห็นโอกาส เขาทะยานร่างขึ้นเบื้องบนพร้อมระมัดระวังหลีกเลี่ยงคลื่นดาบ และเมื่อเห็นช่องโหว่โอกาส บุรุษหนุ่มก็โถมกายเข้าหาอาหย่งทิ่มแทงพัดในมือ กระแทกใส่ดาบยาวในมือของอาหย่งหวังส่งให้มันหลุดลอย
เคร้ง!
เสียงโลหะกระทบก้องกังวาน
ร่างอาหย่งสะท้านสะเทือน ดาบนภาเยือกแข็งในมือสั่นรุนแรง จนเกือบกระเด็นหลุดจากมือ
มีหรือเขาไม่ทราบว่าบุรุษหนุ่มตรงหน้าคิดจัดการดาบนภาเยือกแข็งในมือเขาก่อน?
เขาจึงกัดฟันแบกรับพลังอันชวนสะพรึงนี้ไว้ กำดาบยาวไว้แน่น พร้อมใช้พลังทั้งหมดที่มีต้านรับ
ไม่กี่ชั่วลมหายใจ เขาจัดการบั่นเศียรสามภูตผี ขณะที่ตนอื่นโดนคลื่นดาบเล่นงานจนใกล้แตกดับ
บุรุษหนุ่มแค่นเสียงเย็นชา พริบตาร่างขยับเคลื่อนไหว พุ่งทะยานเข้าหาสตรีในชุดทหารซึ่งยืนโดดเดี่ยวหน้าทางเข้าโถง
“บัดซบ!”
อาหย่งตระหนักได้ถึงการเคลื่อนไหวผิดปกติ ถ้อยคำตะโกนดัง “รีบใช้หน้าไม้เงาเทวะยิงสกัดมัน!”
ข้างกายสตรีในชุดทหาร กลุ่มผู้คุ้มกันไม่ลังเลนำหน้าไม้คันหนึ่งออกมา พร้อมบรรจุลูกดอกแหลมคมขึ้นสาย
หน้าไม้เงาเทวะ!
หน้าไม้ศึกชั้นยอดที่ใช้โดยทหารของต้าโจว มันยิงลูกดอกเหล็กสีดำ ซึ่งอันตรายพอที่จะเอาชีวิตขอบเขตรวบรวมลมปราณที่แข็งแกร่งได้
หากตกภายใต้วงล้อม แม้กระทั่งขอบเขตปรมาจารย์ยังต้องบาดเจ็บ
แต่แน่นอนว่า ผู้ที่เป็นปรมาจารย์คงไม่โง่งมถึงขนาดตกอยู่กลางวงล้อม…
แม้หน้าไม้เงาเทวะจะทรงอำนาจ กระนั้นอายุใช้งานกลับสั้นกระชั้น เพียงยิงลูกดอกสามสิบครั้ง มันจะพังอย่างไม่อาจใช้งานได้อีก
กระนั้นแล้ว มูลค่าของหน้าไม้เงาเทวะยังสูงล้ำนับหมื่นตำลึง หากรวมลูกดอกเหล็กสีดำ ราคาจะยิ่งสูงขึ้น
มันสมควรแก่ชื่อเสียง เพราะการสร้างและจำหน่ายหน้าไม้เงาเทวะนี้ ถูกควบคุมเข้มงวดโดย ‘ราชากลืนสมุทร’ หนึ่งในเก้าอ๋องแห่งต้าโจว ซึ่งมีน้อยคนที่จะได้มันไว้ในครอบครอง
ผู้ที่มีอำนาจมากพอได้รับหน้าไม้เงาเทวะไว้ในครอบครอง พื้นเพย่อมไม่ใช่เล็กจ้อย!
ปึก! ปึก! ปึก!
ขณะนี้เอง คณะผู้คุ้มกันเหนี่ยวไก ลูกดอกจำนวนมากที่เปรียบดังห่าฝนมืดครึ้มพลันแผ่พุ่งทะยานออก เสียงกรีดผ่านอากาศบาดแก้วหู ทั้งหมดทั้งมวลทะยานเข้าหาบุรุษหนุ่มที่คิดรุกคืบเข้าใกล้