บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 650 ประตูมิติ
ตอนที่ 650: ประตูมิติ
ตอนที่ 650: ประตูมิติ
ซูอี้เมินอสูรสิงโตทองคำ ก่อนกล่าวว่า “จากนี้ไป เจ้าติดตามข้าไปที่ประตูหุบเขา และเจ้าจะได้รับผลประโยชน์ในภายหน้า”
อสูรสิงโตทองคำเหลือบมองชายหนุ่มในอาภรณ์สีเงิน
แม้ชายหนุ่มในอาภรณ์สีเงินเจ็บปวดใจ แต่ก็กล่าวอย่างจริงจัง “การอยู่ในสายตาของผู้อาวุโสซูคือวาสนาอันหาไม่ได้ในแปดชั่วชีวิต ไยจึงไม่รีบขอบคุณเขา?”
อสูรสิงโตทองคำรีบกล่าว “ขอบคุณใต้เท้าซู!”
นี่ทำให้ทุกผู้ที่พบเห็นต่างว้าวุ่นใจ
มหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตสยายวิญญาณนั้นชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้บนโลกทุกวันนี้ พวกเขาได้รับการเทิดทูนบูชาจากเหล่าผู้ฝึกตนมากมายเยี่ยงพระเจ้า
ทว่า ต่อหน้าซูอี้ อสูรสิงโตทองคำกลับเชื่องราวลูกแกะ!
“ภายหน้า เจ้าและข้าจะออกไปหาที่เงียบ ๆ คุยกัน”
ซูอี้มองชายหนุ่มในอาภรณ์สีเงิน
เขายังมีเรื่องมากมายที่ต้องถาม
“เป็นบุญของผู้น้อยที่โชคดีพอจะให้ผู้อาวุโสซูฟังคำข้า!”
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีเงินกล่าวอย่างนอบน้อม
เมื่อตอนเขามายังที่แห่งนี้ มีขบวนแห่ยิ่งใหญ่ เป่าแตรตีกลอง ยอดฝีมือกรุยทางราวราชันย์เยือนโลกา
ทว่าครานี้ เขาสิ้นลายแล้วโดยแท้
เมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้ เขาจึงยิ่งนอบน้อมและจริงใจกว่าเก่า
นี่ทำให้ทั้งผู้เฒ่าเครายาวและซั่วเหมิงลอบทอดถอนใจ
เทียบกันแล้วอีกฝ่ายเหนือกว่าเห็น ๆ จะให้ทำเช่นไร?
ยามนี้ เมิ่งจิ้งไห่ กู้ซานตูและคนใหญ่คนโตอื่น ๆ ก็มาถึง และพวกเขาต่างคำนับ
“ขอบคุณสหายเต๋าซูที่ช่วยเราแก้วิกฤต!”
สีหน้าของพวกเขายำเกรง
เขาคือซงจั่งเฮ่อผู้ครั้งหนึ่งเคยถูกสยบใต้ดาบของซูอี้ ครานี้เมื่อเผชิญหน้า ความขุ่นเคืองอาฆาตที่หลงเหลือในใจของเขาก็สลายสิ้น
ตัวตนเช่นนี้ สำนักเบญจอัสนีของพวกเขาไม่อาจล่วงเกินได้เลย!
“พวกเจ้าก็แค่จำข้อตกลงวันนี้ไว้ก็พอ”
ซูอี้โบกมือ ไพล่เก็บไว้เบื้องหลัง และทะยานฟ้าจากไป
จบธุระก็จากไป นี่คือรูปแบบประจำที่ซูอี้ไม่เคยยิ่งหย่อน
หยวนเหิงและหลานซัวรีบติดตามเขา
“ตามไปเร็ว!”
เห็นเช่นนี้ ชายหนุ่มในอาภรณ์สีเงินก็รีบติดตาม
“นายท่าน ท่านบาดเจ็บหนักเกินไป ไม่ขึ้นเกี้ยวหรือ?”
ผู้เฒ่าเครายาวรีบถาม
“ผู้อาวุโสซูอยู่เบื้องหน้า ไยข้าต้องขึ้นเกี้ยวสมบัติด้วย?”
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีเงินโบกมือ เขาพุ่งไปทักทายซูอี้อย่างอบอุ่น “ผู้อาวุโสซู ท่านอยากขึ้นเกี้ยวสมบัติหรือไม่?”
อสูรสิงโตทองลากเกี้ยวมาตรงหน้า และกล่าวอย่างนอบน้อม “ข้าก็ขอเชิญใต้เท้าซูขึ้นเกี้ยวเช่นกัน”
“ไม่ต้องหรอก แค่เดินเฉย ๆ ก็พอ”
ซูอี้กล่าวอย่างเลื่อนลอย
การเดินผ่านเมฆหมอกนั้นน่าอภิรมย์ในตัวมันเอง เขาสามารถมองภาพขุนเขาและลำธารจากมุมสูงได้อย่างกว้างขวาง
เมื่อผู้อื่นเห็นเช่นนั้น พวกเขาก็ติดตามมาเบื้องหลัง
ไม่นานนัก กลุ่มคนกลุ่มนี้ก็หายลับนภากว้างไป
…
“เรื่องในวันนี้ พวกท่านทั้งหลายเห็นแล้ว การจะทำเช่นไรต่อในภายหน้า ข้าเชื่อว่าทุกคนคงพอมองภาพออกไม่มากก็น้อย”
บนผาซงเทาที่ยอดเขาล่องเมฆา เมิ่งจิ้งไห่มองคนอื่น ๆ “ในทางเดียวกัน ทุกท่านโปรดอย่าลืมวาจาของสหายเต๋าซูก่อนที่เขาจะจากไปด้วย”
ทุกคนพยักหน้า
“เปิดอกคุยตรง ๆ หากข้าไม่ได้พานพบสหายเต๋าซูด้วยตาตนเองวันนี้ ข้าคงไม่เชื่อหรอกว่าจะมีบุคคลในตำนานเยี่ยงเขาอยู่ในโลกนี้ด้วย เขาเยี่ยมยอดดุจเทพเซียนบนสวรรค์เลย”
กู้ซานตูกล่าวอย่างเปี่ยมอารมณ์
วาจาของเขาสะท้อนทุกหัวใจ
“อีกไม่นาน แสงสว่างแห่งโลกกว้างนั่นจะมาถึง ข้ากล้าพูดว่าถึงยามนั้น ด้วยความสามารถของสหายเต๋าซู เขาจะกลายเป็นหนึ่งในสุดยอดฝีมือผู้ห้าวหาญที่สุดในมหาทวีปคังชิงนี้เป็นแน่!”
ฟู่อวิ๋นคงกล่าวอย่างหนักแน่น
ทุกคนรู้ดีว่าขอเพียงซูอี้ยังมีชีวิต ด้วยภูมิหลังและวิถีเต๋าของเขาในยามนี้ ชายหนุ่มจะไม่ต้องกังวลว่าจะไม่อาจทำให้โลกนี้เสถียรและนำกระแสของมันได้เลย!
และในวันเดียวกัน ข่าวเกี่ยวกับงานชุมนุมล่องเมฆาก็แพร่กระจายในต้าฉิน ต้าโจว และต้าเว่ยอย่างรวดเร็ว
โลกหล้าตกตะลึง!
“ยอดเลย ไม่ใช่ว่านี่หมายถึงเราไม่จำเป็นต้องกังวลถึงเหตุนองเลือดและจลาจลในภายหน้าอีกนานเลยหรือ?”
ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเพียงไรกำลังตื่นเต้นโห่ร้อง
“ต้องขอบคุณผู้อาวุโสซูอี้ กล่าวกันว่าในงานชุมนุมล่องเมฆา ผู้อาวุโสซูอี้คือผู้สรุปทุกความเห็นจนเกิดเป็นเรื่องนี้”
“ได้ยินว่าในงานชุมนุมล่องเมฆา มีผู้ฝึกตนปีศาจลึกลับผู้หนึ่งปรากฏตัวเข้าไปแทรกแซง แต่ก็ถูกผู้อาวุโสซูปราบจนขี้หดตดหาย สภาพเละเทะไม่เหลือดีด้วยตัวคนเดียว ไม่รู้ว่านั่นจริงหรือไม่…”
“ภายหน้าเมื่อมีผู้อาวุโสซู ขุมอำนาจผู้ฝึกตนจากโลกอื่น ๆ ก็คงไม่กล้าปู้ยี่ปู้ยำโลกของเราตามอำเภอใจอีก!”
การหารือเช่นนี้เริ่มปรากฏขึ้นทั่วแห่งหนบนโลกที่ข่าวแพร่ถึง และซูอี้ก็ถูกสรรเสริญราวกับเป็นตำนาน
พลบค่ำคืนนั้น
หุบเขามีฝนตกหนัก ไม่หยุดซาจนรัตติกาลโปรยลง
ลำธารแห่งหนึ่งในหุบเขา
หมู่ดาวและดวงจันทร์กระจ่างราตรีสะท้อนผืนน้ำ
กองไฟถูกจุด ปลดเปลื้องหมอกอันชื้นแฉะและความมืดมิด
ซูอี้เอนร่างบนเก้าอี้หวายอย่างเกียจคร้าน จิบสุราพลางมองท้องฟ้าราตรี แสงไฟไล้เลียใบหน้าหล่อเหลา เต้นระริกไปมา
หยวนเหิงและหลานซัวมุ่งหน้าไปยังที่ซ่อนของอาจารย์อวิ๋นหลางด้วยกันแล้ว
จากแผนของซูอี้ เมื่อเขากลับสู่หอเซียนดาบในภายหน้า เขาจะพาอาจารย์อวิ๋นหลางและหลานซัวไปด้วย
อีกฟากหนึ่งของกองไฟ ซั่วเหมิงกำลังเติมฟืน
ผู้เฒ่าเครายาวถือไม้ปิ้งขณะย่างหมูป่าที่เพิ่งจับได้ น้ำมันสีน้ำตาลทองหยดสู่ไฟเป็นเสียงฉี่ฉ่า กลิ่นหอมยวนยั่วของเนื้อย่างอบอวลในราตรี
ซูอี้เหลือบมองผู้เฒ่าเครายาวเป็นครั้งคราว อดรู้สึกเสียดายเล็กน้อยไม่ได้
คราก่อนเมื่อพวกเขาเป็นศัตรู ชายหนุ่มเคยคิดสังหารผู้เฒ่าเครายาว ยอดฝีมือผู้จำแลงร่างจากอินทรีโลหิตเนตรฟ้าผู้นี้และเอาปีกเขามาย่างกิน
ทว่ายามนี้ เขาทำไม่ได้แล้ว
แน่นอนว่าหมูย่างตรงหน้าก็ไม่เลว มันทำให้ความเสียดายของซูอี้บรรเทาลงได้เล็กน้อย
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีเงินข้างกายซูอี้กำลังเล่าที่มาที่ไปและเรื่องราวเกี่ยวกับลัทธิหมิงหลิงอย่างซื่อสัตย์
ปรากฏว่าลัทธิหมิงหลิงมีอยู่ตั้งแต่เมื่อสามหมื่นปีก่อนแล้ว และเหล่าสาวกก็เทิดทูนบูชาท่านเทพแห่งความกรุณา
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีเงิน ชิ่งหยวนคือบุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิหมิงหลิง และถือได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณระลอกที่สอง
เขาเองก็เพิ่งตื่นขึ้นเมื่อไม่นานนี้ และเดินทางโดยกระทำการภายใต้การชี้นำของท่านเทพแห่งความกรุณาผู้เป็นอาจารย์
ส่วนผู้เฒ่าเครายาว นามของเขาคือเตียวอวิ๋นเหอ เป็นยอดฝีมือจากลัทธิหมิงหลิงไม่ต่างจากซั่วเหมิง และเป็นมือขวาของชิ่งหยวน
“นายท่านซู โปรดค่อย ๆ ทาน”
เตียวอวิ๋นเหอเฉือนเนื้อขาหมูป่าออกมาชิ้นหนึ่ง มอบให้เขาอย่างนอบน้อม
ซูอี้รับมันมาชิม รสชาติของมันเลอเลิศ เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจและกล่าวว่า “ไม่เลว”
เตียวอวิ๋นเหอหัวเราะ และกล่าวขึ้นทันที “นายท่านซูชอบมันก็ดีแล้ว”
“เจ้ากับสตรีจากเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงผู้นั้นรู้จักกันได้เยี่ยงไร?”
ซูอี้มองชายหนุ่มในอาภรณ์สีเงิน ชิ่งหยวน
เมื่อกล่าวถึงสตรีสวมกระโปรงสีเหลือง ชิ่งหยวนก็รู้สึกอับอาย แต่เขาก็กล่าวโดยไม่อาจเก็บงำความขุ่นเคืองได้ “ไม่ปิดบังผู้อาวุโสซู คราแรกข้าคิดเพียงว่านังนี่เป็นเพียงผู้ฝึกตนเพนจรเดียวดาย ซ้ำนางยังปากหวาน ข้าจึงกรุณาให้นางอยู่รับใช้ข้างกาย ไม่คิดเลยว่านังสุนัขนี่จะมีแผน!”
“มีแผน?”
ซูอี้ถาม “เหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนี้?”
ชิ่งหยวนอธิบาย “หลังจากโฉมหน้าที่แท้จริงของนางถูกผู้อาวุโสเปิดโปง ข้าก็ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน นับแต่คราแรกที่นางกับข้าพานพบ แท้จริงนางก็ประสงค์ร้าย เหมือนก่อนนี้ที่ข้าเข้าร่วมงานชุมนุมล่องเมฆาในต้าฉิน ข้าไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลยสักนิด แต่นางชักจูงข้า ข้าจึงมาที่นี่ก่อนทันรู้ตน…”
ซูอี้อดนวดหว่างคิ้วตนไม่ได้
ในที่สุดเขาก็เข้าใจ ว่าเจ้าหนูชิ่งหยวนผู้นี้เป็นพวกช่างพล่าม พล่ามแต่เรื่องไร้สาระ จับประเด็นไม่ได้ การฟังเขาพูดนั้นทรมานกันโดยแท้
ซูอี้ถามทันที “ข้าจะถามเจ้าต่อ แซ่ของสตรีนางนั้นคืออันใด?”
ชิ่งหยวนตอบ “นางเรียกตนเองว่ารั่วฮวน”
“นางบอกที่มาของตนแก่เจ้าหรือไม่?”
“ไม่”
“เจ้าพบนางที่ใด?”
“ต้าฉู่”
กล่าวถึงตรงนี้ ชิ่งหยวนก็โพล่งขึ้นราวเพิ่งนึกบางอย่างได้ “จะว่าไป นังนั่นเคยหลุดปากออกมาหนหนึ่งว่านางเคยระหกระเหินอยู่ในต้าเซี่ยมาก่อน”
“ต้าเซี่ย?”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย หรือสตรีจากเผ่าจิ้งจอกบุหลันม่วงนามรั่วฮวนผู้นี้จะมาจากตระกูลหวนเผ่ามาร หรือไม่ก็สำนักผลาญตะวันกระมัง?
ซูอี้ส่ายหัวทันที
คงไม่ใช่หรอก
หากไม่ใช่บุคคลจากฝ่ายศัตรู ยามพบพานหนหน้า เขาจะไร้ซึ่งปฏิกิริยาแน่แท้
และเห็นได้ชัดว่าในท้ายที่สุด รั่วฮวนก็ล่วงรู้สถานะของเขาได้
‘ดูเหมือนว่าความจริงจะกระจ่างได้ก็ต่อเมื่อข้ามีโอกาสได้พบนางในภายหน้า’ ซูอี้ลอบคิด
ยามเมื่อสตรีสวมกระโปรงสีเหลืองนามรั่วฮวนหนีไป นางเคยกล่าวว่ายามพบพานภายหน้า นางจะขอคำชี้แนะจากเขาอีกครา
นี่ย่อมหมายความว่าไม่จำเป็นต้องไปหา อีกฝ่ายจะปรากฏกายขึ้นอีกแน่!
หลังจากกินดื่มเรียบร้อย ซูอี้ก็ออกคำสั่งเนิบ ๆ “เจ้าเรียกอาจารย์เจ้ามา ข้าอยากคุยกับเขาหน่อย”
ชิ่งหยวนรีบพยักหน้าเห็นด้วย
เขาหยิบขวดหยกสีเงิน และกระดูกสัตว์สีดำออกมาเตรียมพร้อมลงมือ
ซูอี้กล่าวว่า “เจ้าจะใช้วิชาสังเวยโลหิตหรือ?”
ชิ่งหยวนรีบร้อนอธิบาย “ผู้อาวุโสอย่าเข้าใจผิด เลือดในขวดหยกเงินนี้ได้รับมอบมาจากสาวกลัทธิของข้า และไม่ใช่การได้มาโดยการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์แน่นอน”
ซูอี้ย่อมไม่สนใจเรื่องนี้ จากนั้นเขาจึงกล่าวว่า
“ส่งกระดูกสัตว์สีดำนั่นให้ข้า”
ชิ่งหยวนรีบส่งมันให้เขาทันที
ซูอี้รับมันมาดู
กระดูกสัตว์สีดำชิ้นนี้ปกคลุมด้วยลวดลายอักขระลึกลับแน่นขนัด แฝงด้วยร่องรอยกลิ่นอายแห่งมิติ ถึงจะเบาบางแต่ก็น่าอัศจรรย์นัก
หากมองใกล้ ๆ จะพบว่าลวดลายอักขระเหล่านี้ดูคล้ายภาพจำแลงของวิหคอัปมงคลเก้าเศียรที่กำลังสยายปีก
“ที่แท้ก็เป็นกระดูกชะตาของสัตว์ร้ายแห่งมิติ อักขระนี้เป็นประตูมิติที่อาจารย์เจ้าทิ้งไว้หรือ?”
ซูอี้ถาม
ชิ่งหยวนกล่าวอย่างชื่นชม “ผู้อาวุโสช่างสายตาเฉียบแหลม!”
ช่างน่าขันหากกล่าวว่าเขาเองก็เป็นตัวตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ผู้มีพลังต่อสู้ท้าทายอำนาจสวรรค์ แข็งแกร่งยิ่งกว่าเมิ่งจิ้งไห่และกู้ซานตู
ทว่ายามนี้ เขากลับถือตนเป็นผู้น้อยต่อหน้าซูอี้ วาจาของเขาเปี่ยมยำเกรง ภาพดังกล่าวย่อมแปลกพิกล
ทว่า ไม่ว่าจะเป็นชิ่งหยวนหรือซูอี้ พวกเขาต่างเมินเฉยต่อมัน ไม่รู้สึกถึงความไม่เหมาะไม่ควรอันใด…
“ดูเหมือนว่าประตูมิตินี่ต้องนำไปสู่ถ้ำโลหิตหมิงหลิงเป็นแน่!”
ซูอี้มองไปที่ลวดลายอักขระบนกระดูกสัตว์และอนุมานเช่นนั้น