บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 651 ต่อวางไข่ให้หนอนเจาะฝักข้าวโพดเลี้ยง
ตอนที่ 651: ต่อวางไข่ให้หนอนเจาะฝักข้าวโพดเลี้ยง
ตอนที่ 651: ต่อวางไข่ให้หนอนเจาะฝักข้าวโพดเลี้ยง
ไม่นานนัก หลังจากชิ่งหยวนใช้กระดูกสัตว์สีดำ วังวนสีเลือดก็ปรากฏขึ้น
ครานี้ ไม่รอให้ซูอี้เอ่ยวาจา เสียงของท่านเทพแห่งความกรุณาก็ดังขึ้นก่อน “ขอบังอาจถาม สหายเต๋าซูเชิญข้ามาเพราะเหตุใดหรือ?”
วาจานั้นเจือความเคารพ
การเปลี่ยนแปลงอันเห็นได้ชัดนี้ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอีกฝ่ายไปปรับสภาพอารมณ์มาแล้ว จึงสามารถแสดงท่าทีเคารพนบนอบยามเผชิญหน้าซูอี้โดยไม่กระดากอาย
ชิ่งหยวนรีบกล่าว “เรียนอาจารย์ ผู้อาวุโสซูต้องการพบท่าน”
“กลับไปเถิด ข้าขอคุยกับสหายเต๋าซูตามลำพัง”
“ขอรับ!”
ชิ่งหยวนและคนอื่น ๆ ออกจากตรงนั้นไปทันที
ซูอี้ยังคงนอนอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างเกียจคร้าน ก่อนกล่าวว่า “ข้าเข้าใจว่าเจ้าเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว”
เสียงหัวเราะของท่านเทพแห่งความกรุณาดังลั่นออกมาจากในวังวนสีเลือดอย่างเปี่ยมอารมณ์ “กล่าวตามตรง นับแต่เริ่มอ่านบทแรกของเคล็ดวิชากลั่นไอชั่วร้ายที่สหายเต๋าให้มาไม่กี่เดือน มหาวิถีอันเสียหายหนักของข้าก็ฟื้นตัวกลับมาส่วนหนึ่งแล้ว”
“แม้ว่ามันจะยังอ่อนแอยิ่งนัก แต่เทียบกับกาลก่อน มันย่อมดีกว่ากันอย่างไม่ต้องสงสัย ข้าพบความหวังในการฟื้นตัวกลับสู่จุดสูงสุดในอดีต และโอกาสออกจากถ้ำโลหิตหมิงหลิงนี้เสียที!”
เสียงของเขาไม่อาจกลั้นความตื่นเต้นไว้ได้
ซูอี้จิบสุรากล่าวว่า “เช่นนั้นยามนี้ เจ้าอยากบอกที่มาที่ไปของเจ้า และเรื่องที่ถ้ำโลหิตหมิงหลิงแล้วหรือไม่?”
“แน่นอน”
ท่านเทพแห่งความกรุณากล่าวโดยไม่ลังเล “ทว่าข้าเองก็ยังมีคำขอร้องอันเห็นแก่ตัวอยู่”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “เจ้าอยากได้เคล็ดวิชากลั่นไอชั่วร้ายส่วนที่เหลือสินะ?”
เสียงของท่านเทพแห่งความกรุณากล่าวอย่างจริงจัง “หากเป็นไปได้ สหายเต๋าโปรดสงเคราะห์ข้าด้วย ข้าจะขอบคุณยิ่ง!”
ซูอี้ไม่ได้เห็นหน้าของท่านเทพแห่งความกรุณา แต่แน่ใจได้ว่าสีหน้าของอีกฝ่ายในยามนี้ต้องเปี่ยมด้วยความปรารถนาเป็นแน่
“เคล็ดวิชาพรรค์นี้เล็กน้อยสำหรับข้า ข้าให้เจ้าได้”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย
“ขอบคุณสหายเต๋าที่เอื้อเฟื้อ!”
เสียงของท่านเทพแห่งความกรุณาสั่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าคุมอารมณ์ไม่อยู่
ต่อมา ท่านเทพแห่งความกรุณาก็เล่าที่มาที่ไปของตนทีละอย่าง
ปรากฏว่าท่านเทพแห่งความกรุณาสืบสายเลือดของวิหคอัปมงคลโบราณ ‘มารเผิงเก้าวิญญาณ’ มีจิตวิญญาณเก้าดวงมาแต่เกิด แต่ละดวงควบคุมพลังเหนือธรรมดาต่างกัน ท้าทายกฎสวรรค์ไร้ใดปาน
ในหมู่สัตว์อสูร มันกล่าวได้ว่าดุร้ายไร้เทียมทานเป็นที่สุด เพียงพอจะต่อกรกับสัตว์วิญญาณที่แท้จริงแห่งสวรรค์ได้
ตั้งแต่เมื่อสามหมื่นปีก่อน ท่านเทพแห่งความกรุณานั้นเป็นจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำอยู่นานแล้ว ยามนั้นเขาได้รับสมญาว่า ‘จักรพรรดิเผิงเก้าวิญญาณ’!
ยามนั้น ยังไม่มีลัทธิหมิงหลิงในมหาทวัปคังชิง
ด้วยการอุบัติของการจองจำแห่งยุคมืดในมหาทวีปคังชิง ท่านเทพแห่งความกรุณาก็เป็นหนึ่งในกลุ่มจักรพรรดิกลุ่มแรกที่ออกจากมหาทวีปคังชิง ทะยานลึกสู่จักรวาลพร่างดาวเพื่อท้าทาย
ทว่าท่านเทพแห่งความกรุณาก็แพ้พ่ายนับแต่ปีแรกที่ทำเช่นนั้น…
ได้ยินเช่นนี้ ในที่สุดซูอี้ก็ถูกกระตุ้นความสงสัย และฟังอย่างตั้งใจ
จากคำกล่าวของท่านเทพแห่งความกรุณา ลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาวนั้นกว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่ง เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงและหายนะอันเกินคะเน
แม้ผู้ที่เข้าท้าทายจะอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ แต่ในสิบคนคงตายสักเก้า
ทุกวันนี้ สถานที่ซึ่งเขาพ่ายแพ้นั้นตั้งอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามนาม ‘เวิ้งหกดารา’!
“เวิ้งหกดารา?”
ซูอี้อดกล่าวขัดจังหวะคำพูดของท่านเทพแห่งความกรุณาไม่ได้
“ใช่ เวิ้งหกดาราในจักรวาลพร่างดาว มันเป็นโลกดินแดนอันเสื่อมโทรมเหี่ยวเฉา เห็นได้ชัดว่าเสียต้นกำเนิดแห่งโลกไปนานแล้ว ทุกสิ่งสิ้นพลังดับสูญ”
ท่านเทพแห่งความกรุณากล่าว “ข้าเองก็เคยเข้าไปในโลกแห่งนั้น หลังจากนั้นก็พบเบาะแสจากซากปรักหักพังมากมายจนยืนยันได้ว่ามันคือเวิ้งหกดารา”
“มหาทวีปซึ่งเสียต้นกำเนิดแห่งโลกไป…” ดวงตาของซูอี้วูบไหว คาดเดาเรื่องอันน่าอัศจรรย์ได้เรื่องหนึ่ง
เขาเคยเข้าไปยังเวิ้งเก้าดาราซึ่งเชื่อมกับเกาะเซียนพระสุเมรุและเห็นมหาพฤกษาที่เต็มไปด้วยซากดวงดาวอันจำแลงมาจากที่มาแห่งคังชิง
ในอดีต ที่แห่งนั้นถูกขนานนามว่า ‘บ่อโบราณโกลาหล’ โดยเหล่าผู้ฝึกตนในมหาทวีปคังชิง
แต่จากปากของจิตวิญญาณน้ำแข็งอาคัง ที่แห่งนั้นมีนามว่า ‘เวิ้งเก้าดารา’!
กล่าวอีกนัยก็คือ ต้นกำเนิดแห่งคังชิงตั้งอยู่ในเวิ้งเก้าดารา
และยามนี้ จากสิ่งที่ท่านเทพแห่งความกรุณากล่าว ในพื้นที่ต้องห้ามลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาวมีมหาทวีปชื่อเวิ้งหกดาราอยู่!
ต่างจากมหาทวีปคังชิง มหาทวีปนามเวิ้งหกดารานี้สูญเสียที่มาและดับสลายไปนานแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ยังทำให้ซูอี้ดึงข้อมูลจากมันได้หลายประการ
ต้นกำเนิดแห่งคังชิงถูกระดมโจมตีโดย ‘หายนะมหาวิถี’ จากลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาว
และ ‘หายนะมหาวิถี’ ก็คือที่มาของการจองจำแห่งยุคมืดที่ปกคลุมมหาทวีปคังชิงนานสามหมื่นปี!
ยิ่งกว่านั้น ต้นกำเนิดแห่งคังชิงจะพังทลายลงอย่างสมบูรณ์ในไม่ช้า ก่อนจะกลายเป็นพลังที่ป้อนกลับสู่มหาทวีปคังชิง จากนั้นก็เรียกแสงสว่างแห่งโลกกว้างเข้ามา
ทว่าซูอี้รู้ดีว่าแสงสว่างแห่งโลกกว้างนั้นจะฉายขึ้นและดับไปในภายหน้า
เพราะถึงอย่างไร นี่คือความรุ่งเรืองในการฝึกตนที่แลกมาด้วยพลังของที่มาแห่งโลก ในภายหน้า เมื่อพลังของที่มาแห่งโลกสลายไปจากมหาทวีปคังชิงโดยสมบูรณ์ โลกนี้จะเหี่ยวเฉาดับสูญเป็นแน่!
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง ๆ มันจะไม่ต่างอันใดกับโลกที่ตั้งอยู่ในเวิ้งหกดาราที่ท่านเทพแห่งความกรุณาได้พบ พลังชีวิตเหือดหาย ไร้การคงอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย!
กล่าวสั้น ๆ ก็คือ เวิ้งหกดาราน่าจะเป็นสิ่งที่เวิ้งเก้าดารากำลังจะเปลี่ยนไปเป็นในภายหน้า
“หากคิดย้อนกลับ หรือการเสื่อมสลายของเวิ้งหกดาราจะเกิดจากหายนะมหาวิถีอันมาจากลึก ๆ ในจักรวาลพร่างดาวด้วยหรือไม่?”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของซูอี้ก็หรี่ลง
หากเป็นเช่นนี้ เกรงว่าในจักรวาลพร่างดาวคงไม่ได้มีเพียงเวิ้งหกดาราและเวิ้งเก้าดารา แต่ยังมีเวิ้งหนึ่งดารา เวิ้งสองดารา เวิ้งสามดาราและอื่น ๆ อยู่!
“เวิ้งดารา เวิ้งดารา… ดูเหมือนความหมายของคำทั้งสองคงจะสื่อถึง ‘ซากดารา’ และยังอาจหมายความด้วยว่าที่ใดซึ่งมีนาม ‘เวิ้งดารา’ อาจต้องประสบเหตุมิคาดฝันจากหายนะมหาวิถี…”
ซูอี้ครุ่นคิด
ข่าวจากท่านเทพแห่งความกรุณาทำให้เขาคิดได้หลายอย่าง
ทว่าถึงอย่างไร เบาะแสก็มีน้อยเกินไป ดังนั้นซูอี้จึงทำได้เพียงคาดเดาเอง ไม่อาจตัดสินความจริงได้
“สิ่งเดียวที่แน่ใจได้นั้นคือ ดาบเก้าคุมขังของข้าสามารถต่อต้านและสลายหายนะอย่างการจองจำแห่งยุคมืดได้ เพราะเหตุนี้ อาคังจึงมอบเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงให้ข้าดูแล…”
เมื่อซูอี้คิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ทิ้งความคิดฟุ้งซ่านมากล่าวว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าพบปัญหาที่เวิ้งหกดารา แต่ยามนั้นเกิดอันใดขึ้นหรือ?”
ท่านเทพแห่งความกรุณาถอนหายใจ และกล่าวว่า “ยามที่ข้าวางแผนจะออกจากเวิ้งหกดารา ข้าได้พบคนผู้หนึ่งซึ่งร้ายกาจยิ่งนัก สหายเต๋า อีกฝ่ายอ้างตนว่าเป็นพัศดีซึ่งเชี่ยวชาญการปราบปรามจับกุม และเขาเรียกข้าเป็น… ผู้หลบหนี”
พัศดี?
ซูอี้ตกใจ
ในเมื่อเป็นพัศดี หน้าที่ของเขาย่อมเป็นการอารักขาคุก
และควรจะมีพัศดีมากกว่าหนึ่ง!
แต่ ‘คุก’ นี้หมายถึงสิ่งใด?
หรือจะเป็นมหาทวีปคังชิง?
หาไม่ เหตุใดอีกฝ่ายจึงเรียกท่านเทพแห่งความกรุณาเป็นผู้หลบหนีเล่า?
หากเป็นเช่นนี้จริง มันจะเหลือเชื่อนัก
เมื่อมองมหาทวีปคังชิงเป็นห้องขัง มีพัศดีคุมมันอยู่นอกจักรวาลพร่างดาว ไม่ว่าผู้ใดได้ยินเช่นนี้คงไม่อาจสงบใจได้
จากประสบการณ์ในอดีตชาติของซูอี้ นี่คือครั้งแรกที่เขาได้ยินคำกล่าวเช่นนี้
“แล้วเป็นเช่นไรต่อ?”
ซูอี้ถูกกระตุ้นความสนใจ
ท่านเทพแห่งความกรุณายิ้มแห้ง ๆ ก่อนกล่าวว่า “ยามนั้น ข้าสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลและคิดจะจากไป ไม่คิดเลยว่าหนีอย่างไรก็ไม่พ้น สุดท้ายข้าก็ต้องเข้าต่อสู้กับชายผู้อ้างตนเป็นพัศดี…”
ซูอี้ถามอย่างประหลาดใจ “พัศดีนี่แข็งแกร่งเพียงไร?”
ท่านเทพแห่งความกรุณากล่าว “พื้นฐานฝึกฝนของเขาเทียบได้กับข้า เป็นจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ ทว่าเขาควบคุมอำนาจจองจำอันร้ายกาจ ข้าจึงไม่อาจต่อกรกับเขาได้เลย”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “อำนาจจองจำนี้ดูจะคล้ายคลึงกับการจองจำแห่งยุคมืด”
ในที่สุดซูอี้ก็เข้าใจ ก่อนกล่าวว่า “หากข้าเข้าใจไม่ผิด มันคือหายนะแบบหนึ่งจากส่วนลึกในจักรวาลพร่างดาว ซึ่งมีต้นตอเดียวกันกับการจองจำแห่งยุคมืด”
ท่านเทพแห่งความกรุณากล่าวอย่างตกใจ “สหายเต๋าเคยพบมันมาก่อนหรือ?”
“เปล่า เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น”
ซูอี้กล่าว
ยามนี้ เขาพลันจำบางเรื่องขึ้นได้
ยามเมื่อเขาจากถ้ำอุกกาบาต ซึ่งเกาะเซียนพระสุเมรุตั้งอยู่ เขาบังเอิญเหลือบไปเห็นนัยน์ตาดำมืดซึ่งปรากฏภายในถ้ำอุกกาบาตเข้า ซึ่งแปลกพิสดารยิ่งนัก
ยามนั้น พลังจากดวงตาแปลก ๆ คู่นั้นแทรกซึมวิญญาณของเขา แต่กลิ่นอายของดาบเก้าคุมขังบดขยี้มันไปทันที
และพลังของดวงตาพิลึกนั้นก็คือกลิ่นอายจองจำของการจองจำแห่งยุคมืด!
ด้วยเหตุนี้ ครั้งหนึ่งซูอี้จึงเคยคาดว่าลึกเข้าไปในถ้ำอุกกาบาตอาจมีบางสิ่งที่สามารถควบคุมพลังของการจองจำแห่งยุคมืดได้!
และอีกฝ่ายก็น่าจะมาจากลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาว
ส่วนเหตุผลที่อีกฝ่ายจ้องในยามนั้น ก็คงเป็นเพราะเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงอยู่ที่เขา!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ซูอี้ก็อดมีความคิดหนึ่งในใจไม่ได้ หรือผู้ที่อยู่ในถ้ำอุกกาบาตในยามนั้นจะเป็น… พัศดีด้วยหรือไม่?
ถึงอย่างไร ท่านเทพแห่งความกรุณาก็เคยกล่าวไว้ว่าพัศดีทุกคนสามารถควบคุมพลังของการจองจำแห่งยุคมืดได้
ซูอี้ถาม “ยามเมื่อเจ้าถูกพัศดีนั่นจับได้ เกิดอะไรขึ้นจากนั้น?”
ท่านเทพแห่งความกรุณากล่าวเบา ๆ “เป็นดั่งที่สหายเต๋าได้เห็นทุกวันนี้ ข้าถูกจองจำอยู่ในถ้ำโลหิตหมิงหลิง ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวัน ดิ้นหลุดไม่ได้จวบยามนี้…”
“เหตุใดอีกฝ่ายจึงไม่ฆ่าเจ้าเสีย?”
ซูอี้งุนงง
ท่านเทพแห่งความกรุณากล่าวอย่างขมขื่น “เจ้ารู้หรือไม่สหายเต๋า สิ่งใดคือถ้ำโลหิตหมิงหลิง?”
ก่อนซูอี้จะทันได้ตอบ ท่านเทพแห่งความกรุณาก็กล่าวเสียงลุ่มลึก “เจ้าคงเคยได้ยินคำว่า ‘ต่อวางไข่ให้หนอนเจาะฝักข้าวโพดเลี้ยง*[1]’ มาบ้างแล้ว เราคุยกันเถิด”
ซูอี้พยักหน้า การแอบทิ้งลูกให้สิ่งอื่นเลี้ยงหาได้ทั่วไปในโลกของแมลงขนาดเล็ก ต่อเองก็เป็นแมลงปรสิตจำพวกหนึ่งในวงศ์ต่อแตน บ่อยครั้งที่มันจะจับหนอนเจาะฝักข้าวโพดกลับรัง วางไข่ในตัวพวกมัน และหลังจากไข่ฟักก็จะกัดกินตัวหนอนเป็นอาหาร
ผู้คนทั่วไปมักเข้าใจผิด คิดว่าต่อไม่ยอมเลี้ยงลูก แต่ส่งลูกไปให้หนอนเจาะฝักข้าวโพดเลี้ยงแทน ดังนั้นคำว่า ‘หนอนเจาะฝักข้าวโพด’ จึงถูกใช้เป็นคำแสลงสำหรับการรับเลี้ยงบุตร และจึงมีคำกล่าวว่า ‘ต่อวางไข่ให้หนอนเจาะฝักข้าวโพดเลี้ยง’
ทว่านี่คือความเข้าใจที่ผิด
ความจริงแล้ว หนอนที่ถูกต่อพากลับรังจะถูกต่อยจนตายด้วยเหล็กในที่ก้น จากนั้นก็วางไข่ในรังโคลน ใช้ร่างของหนอนเจาะฝักข้าวโพดและลูกหลานเป็นอาหารเลี้ยงทายาท!
นี่ไม่ใช่การเลี้ยงลูกบุญธรรม
เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็ตะลึง ม่านตาหดตัวเล็กน้อย และกล่าวว่า “หรือพัศดีจะเห็นเจ้าเป็นหนอนเจาะฝักข้าวโพด และใช้เจ้า… เป็นอาหารเลี้ยงทายาท?”
[1] ต่อวางไข่ให้หนอนเจาะฝักข้าวโพดเลี้ยง เป็นสำนวนที่มีความหมายเดียวกับ ‘กาเหว่าไข่ให้แม่กาฟัก’