บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 652 ลดสิ่งที่เกิน ซ่อมสิ่งที่ขาด
ตอนที่ 652: ลดสิ่งที่เกิน ซ่อมสิ่งที่ขาด
ตอนที่ 652: ลดสิ่งที่เกิน ซ่อมสิ่งที่ขาด
เป็นไปตามคาด วาจาถัดมาของท่านเทพแห่งความกรุณายืนยันการคาดเดาของซูอี้
“ถ้ำโลหิตหมิงหลิงเหมือนเป็นคุกที่เต็มไปด้วยเลือดและวิญญาณร้าย สูบเลือดกลืนการฝึกฝนและพลังชีวิตของผู้ฝึกตน”
“ผู้ใดที่อยู่ต่ำกว่าวิถีจักรพรรดิจะกลายเป็นศพแห้งกรอบภายในวันเดียว”
“และผู้ที่อยู่ในวิถีจักรพรรดิเช่นข้า แม้จะสามารถต้านทานบรรยากาศนองเลือดได้ ทว่าเมื่อกาลเวลาผันเปลี่ยน พลังชีวิตและการฝึกฝนของข้าก็ยังถูกกัดกร่อนอยู่ดี…”
ท่านเทพแห่งความกรุณากล่าวด้วยเสียงต่ำขมขื่น “มันให้ความรู้สึกเหมือนข้ากลายเป็นพืชผักในไร่ การฝึกฝนและพลังชีวิตของข้าถูกเก็บเกี่ยว และข้าจะตายในไม่ช้าก็เร็ว”
ซูอี้ขมวดคิ้ว “พัศดีมองบุคคลในวิถีจักรพรรดิเป็นหนอนเจาะฝักข้าวโพด สูบพลังชีวิตและผลการฝึกฝนของพวกเขา… ทำเช่นนี้เพื่ออันใดกัน?”
ท่านเทพแห่งความกรุณาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตอบว่า “หลอมโอสถ! ใช้ผู้ฝึกตนเป็นวัตถุดิบ เด็ดมหาวิถีขูดพลังชีวิต และใช้พวกมันหลอมเป็นเม็ดโอสถ!”
ซูอี้หรี่ตาเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ไฉนจึงเห็นเช่นนั้น?”
“ทุก ๆ พันปี พัศดีผู้หนึ่งจะเข้ามาเก็บพลังโลหิตมารที่สะสมอยู่ในถ้ำโลหิตหมิงหลิงก่อนจะจากไป”
เสียงของท่านเทพแห่งความกรุณาครุ่นแค้นยิ่งยวด “ในขณะเดียวกัน พัศดีก็จะนำนักโทษที่จับมาได้ใหม่ ๆ มาขังไว้ในถ้ำโลหิตหมิงหลิง และรอการเก็บเกี่ยวในพันปีให้หลัง”
ดวงตาของซูอี้ดูพิกล เขากล่าวกับตนเอง “วิธีพรรค์นี้คล้ายกับพรรคมารอย่างไรอย่างนั้น…”
ไม่นานมานี้ เขาเคยส่งอิงเชวียไปติดตั้ง ‘ค่ายกลโลหิตแปรสวรรค์’ ที่หุบเขามารบุปผาโลหิต
เมื่อค่ายกลนี้เสร็จสมบูรณ์ ผู้ฝึกตนจากต่างโลกทั้งหมดซึ่งเดินทางมายังโลกใต้พิภพในหุบเขามารบุปผาโลหิตจะถูกมหาค่ายกลนี้สังหาร
เลือดเนื้อและพลังชีวิตของผู้ฝึกตนเหล่านี้จะแปรเปลี่ยนเป็นสารอาหาร ซึ่งจะทำให้ค่ายกลโลหิตแปรสวรรค์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ…
นี่คล้ายคลึงกับสิ่งที่พัศดีทำ
ถ้ำโลหิตหมิงหลิงนั้นราวกับเป็นค่ายกลโลหิตแปรสวรรค์ และผู้ที่ถูกจองจำในถ้ำโลหิตหมิงหลิงเยี่ยงท่านเทพแห่งความกรุณาก็จะถูกเปลี่ยนเป็นสารอาหารให้เก็บเกี่ยว
และแต่เดิม ‘ค่ายกลโลหิตแปรสวรรค์’ ก็เป็นค่ายกลที่สืบทอดกันในสำนัก ‘แดนอสูรปรีดี’ แห่งเก้ามหาแดนดิน!
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีพัศดีกี่คน และมาจากหนใด?”
ซูอี้ถาม
“มีพัศดีอยู่มากกว่าหนึ่ง พวกเขาน่าจะมาจากขุมอำนาจเดียวกัน ทว่าข้าไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นคนของกลุ่มเต๋าใด”
ท่านเทพแห่งความกรุณากล่าว “ทว่า ในที่ที่ข้าถูกกักขังมีแท่นเคลื่อนย้ายอยู่ และพัศดีเหล่านั้นก็เข้ามาในถ้ำโลหิตหมิงหลิงผ่านแท่นเคลื่อนย้ายนี้ โดยแท่นนั่นได้สลักข้อความเอาไว้บรรทัดหนึ่ง”
ซูอี้ดูสนใจ “ข้อความใดหรือ?”
“มรรคาแห่งสวรรค์ ลดสิ่งที่เกิน ซ่อมสิ่งที่ขาด”
ท่านเทพแห่งความกรุณาร่ายคำต่อคำ
ซูอี้อดสะดุ้งไม่ได้ และกล่าวว่า “น่าสนใจ พวกเขาพยายามสร้างความยุติธรรมเพื่อสวรรค์หรือไร?”
คำกล่าวที่ว่า ‘ลดสิ่งที่เกิน’ ย่อมหมายถึงในขุมอำนาจของพัศดี ‘นักโทษ’ ที่พวกเขาจับได้ก็นับว่าเป็น ‘สิ่งที่เกิน’
การกัดกร่อนพลังชีวิตและการฝึกฝนของ ‘นักโทษ’ เหล่านั้นก็คือ ‘ลดสิ่งที่เกิน’!
แล้วสิ่งใดเล่าคือ ‘ซ่อมสิ่งที่ขาด’?
ต่อล่าหนอนเจาะฝักข้าวโพดเพื่อเตรียมอาหารให้ทายาท
หรือการที่พัศดีจับกุมนักโทษ ลดพลังชีวิตทอนการฝึกฝน จะเป็นการทำเพื่อคนรุ่นหลังของพวกเขา?
“พวกเขาจะเป็นตัวแทนมรรคาแห่งสวรรค์ได้เช่นไร? เห็นได้ชัดว่าพวกเขาปฏิบัติต่อผู้ฝึกตนเช่นเราเป็นวัตถุดิบ เก็บเกี่ยวพวกเราตามใจภายใต้ข้ออ้าง ‘สร้างความยุติธรรมเพื่อสวรรค์’!”
ท่านเทพแห่งความกรุณากล่าวอย่างโมโห
ซูอี้พยักหน้า
ข้อความที่ว่า ‘มรรคาแห่งสวรรค์ ลดสิ่งที่เกิน ซ่อมสิ่งที่ขาด’ นั้นไม่ได้มีความหมายดูหมิ่นผู้ใดในตัว แต่เป็นการประกาศศักดาของการปฏิบัติงานภายใต้มรรคาแห่งสวรรค์
การสร้างความยุติธรรมเพื่อสวรรค์ที่ว่านั่นเหลวไหลทั้งเพ
ซูอี้เอ่ยถามต่อ “ข้อความเหล่านี้เขียนด้วยอักษรแบบใด?”
ท่านเทพแห่งความกรุณากล่าวอย่างไร้ลังเล “อักษรมนุษย์โบราณ”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย หรือขุมพลังของพวกพัศดีจะไม่ใช่ขุมอำนาจมารโบราณ แต่เป็นผู้ฝึกตนมนุษย์?
หากเป็นเช่นนี้ สิ่งที่พวกเขาทำจะเรียกได้ว่าลดสิ่งที่เกิน!
เพราะถึงอย่างไร ขุมพลังที่สามารถจับกุมผู้อยู่ในวิถีจักรพรรดิอย่างท่านเทพแห่งความกรุณาได้อย่างง่ายดายจะต้องมีความแข็งแกร่งในตัวมันเอง!
ยิ่งกว่านั้น ขุมอำนาจนี้ยังเป็นไปได้สูงที่จะควบคุมอำนาจการจองจำของการจองจำแห่งยุคมืดได้
นี่ทำให้ซูอี้สงสัย ว่าการจองจำแห่งยุคมืดซึ่งอุบัติสู่มหาทวีปคังชิงเมื่อสามหมื่นปีก่อนจะมาจากอักขระจารึกบนแท่นนี้!
“ในเวลาหลายหมื่นปีที่ข้าถูกกักขัง ข้าเองก็เคยเห็นผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ที่ถูกจับมาเช่นกัน พวกเขามาจากโลกต่างกันออกไป น่าเสียดายที่ผลการฝึกฝนของพวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งนัก พวกเขาจึงตายไปไม่นานหลังถูกจับตัว พลังชีวิตและการฝึกฝนถูกรีดไม่เหลือเลย”
ท่านเทพแห่งความกรุณากล่าวขึ้นอีกครั้ง “แต่ระหว่างสนทนากับพวกเขา ข้าก็เรียนรู้ว่าพวกเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าพัศดีเหล่านี้มาจากขุมอำนาจใด ได้ยินมาเพียงว่าอีกฝ่ายสร้างความยุติธรรมแทนสวรรค์ ดังนั้นจึงเรียกกันเองว่า ‘สำนักมรรคาสวรรค์’”
“สำนักมรรคาสวรรค์?”
ซูอี้ส่ายหน้า ในโลกนี้ ขุมอำนาจใดจะกล้าเรียกตนว่าสำนักมรรคาสวรรค์?
ขอเพียงอยู่เฉย ๆ ก็นับเป็นปรปักษ์ต่อขุมอำนาจกลุ่มเต๋าอื่นแล้ว!
เพราะถึงอย่างไร เส้นทางแห่งการฝึกฝนนั้นคือการฝืนกฎแห่งสวรรค์!
ในกาลต่อมา ซูอี้และท่านเทพแห่งความกรุณาก็พูดคุยกันหลายเรื่อง
ยามนั้นเอง เขาจึงรู้ว่าท่านเทพแห่งความกรุณา ยอดฝีมือผู้สืบสายเลือดมารเผิงเก้าวิญญาณมีอำนาจติดตัวเกี่ยวพันกับมิติ เรียกว่า ‘ตราประทับมิติเอื้อมมือ’
นับแต่กาลก่อน อีกฝ่ายเคยใช้อำนาจพิเศษนี้ในการสร้างประตูมิติมายังมหาทวีปคังชิง และด้วยเส้นทางนี้ เขาจึงได้รวบรวมสาวก และสร้างลัทธิหมิงหลิงขึ้นมา
และจากการเสียสละของสาวกเหล่านี้ ท่านเทพแห่งความกรุณาจึงได้รับวัตถุดิบและโอสถวิญญาณบางอย่างและยื้อชีวิตในถ้ำโลหิตหมิงหลิงได้ต่อจนยามนี้
ส่วนสมญา ‘ท่านเทพแห่งความกรุณา’ นั้น เขาก็ตั้งให้ตนเอง
การถูกคุมขังไม่อาจขยับไปไหนได้เป็นเวลานานย่อมเป็นมหาวิปโยคในชีวิต
จู่ ๆ วังวนโลหิตที่ลอยอยู่บนอากาศก็สั่นไหว ขัดจังหวะการสนทนาระหว่างซูอี้และท่านเทพแห่งความกรุณา
“สหายเต๋า ประตูมิติจะพังแล้ว คราหน้าหากคิดเปิดมัน ข้าเกรงว่าคงต้องเป็นสักสองสามเดือนจากนี้”
ท่านเทพแห่งความกรุณารีบกล่าว
แม้ว่าพลังของตราประทับมิติจะน่าอัศจรรย์ แต่มันก็กินพลังของท่านเทพแห่งความกรุณาไปอย่างมหาศาล
“นี่คือเคล็ดวิชากลั่นไอชั่วร้ายส่วนที่เหลือ ภายหน้าเมื่อมีเวลา เราจะคุยกันต่อ”
ซูอี้หยิบแผ่นหยกโบราณที่เตรียมไว้โยนเข้าไปในวังวนโลหิต
“ขอบคุณสหายเต๋าที่กรุณา!”
ท่านเทพแห่งความกรุณาอุทานอย่างตื่นเต้น
ไม่นานจากนั้น วังวนโลหิตก็หายไป
ซูอี้นั่งเดียวดายบนเก้าอี้หวาย ตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด
บทสนทนานี้มอบเบาะแสอันมีค่าให้เขามากมาย
ยกตัวอย่าง ภายในจักรวาลพร่างดาวไม่ได้มีเพียงเวิ้งเก้าดารา แต่มีเวิ้งดาราอื่น ๆ อยู่ด้วย
เช่น ภายใต้ข้ออ้างการสร้างความยุติธรรมแทนสวรรค์ พัศดีจาก ‘สำนักมรรคาสวรรค์’ ปฏิบัติต่อผู้อยู่ในวิถีจักรพรรดิเยี่ยงท่านเทพแห่งความกรุณาเป็นนักโทษ
เช่น เหนือจักรวาลพร่างดาวมีสถานที่หนึ่งชื่อถ้ำโลหิตหมิงหลิง ซึ่งสงสัยว่าจะเป็นคุกขนาดยักษ์ที่สำนักมรรคาสวรรค์สร้างขึ้น
เบาะแสเหล่านี้ สุดท้ายแล้วก็ล้วนเกี่ยวพันกับการจองจำแห่งยุคมืด!
และการจองจำแห่งยุคมืดก็ถูกควบคุมโดยพวก ‘สำนักมรรคาสวรรค์’!
แน่นอน ยังยากจะกล่าวว่าขุมอำนาจกลุ่มเต๋านี้มีนามว่า ‘สำนักมรรคาสวรรค์’ จริงหรือไม่
“ดูเหมือนว่า มีเพียงการจับพัศดีสักคนที่คุ้มกันเวิ้งดาราอยู่เท่านั้น เราจึงจะได้ค้นพบทุกความจริง”
ซูอี้ลอบคิด
เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็อดคิดถึงสิ่งที่อยู่ในถ้ำอุกกาบาตซึ่งคาดว่าจะมาจากส่วนลึกในจักรวาลพร่างดาวขึ้นมา
“เจ้านี่ใช้พลังของการจองจำแห่งยุคมืดได้ มันต้องมีความเกี่ยวพันอันไม่อาจแยกกับสำนักมรรคาสวรรค์ ข้ามีเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงในมือ เมื่อเจ้าพวกนั้นเกิดปัญหา ต้องพยายามหาข้าก่อนเป็นแน่…”
“ยามเมื่อถึงเวลา จับเขามาเสียก็พอจะได้เรียนรู้เรื่องมากมายแล้ว!”
ซูอี้สนใจในเรื่องราวนอกจักรวาลอย่างยิ่ง
ยามเมื่อเขาอยู่บนจุดสูงสุดเมื่ออดีตชาติ เขามีโอกาสได้ข้ามจักรวาลพร่างดาว ทว่าสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไม่ไป แต่เลือกจะหาวิถีแห่งดาบที่สูงกว่าโดยการเวียนวัฏสงสาร
ทว่ายามนี้ ในเมื่อเขามีโอกาสได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาว ชายหนุ่มย่อมไม่ยอมพลาด!
ไม่นานนัก ชายหนุ่มในชุดสีเงินนามชิ่งหยวน ผู้เฒ่าเครายาว เตียวอวิ๋นเหอและซั่วเหมิงก็กลับมา พวกเขาไตร่ตรองรอบคอบและไม่ถามซูอี้ว่าพูดคุยอันใดกับท่านเทพแห่งความกรุณา
ซูอี้ย่อมไม่กล่าวอันใดนัก
“ได้เวลาที่ข้าต้องไปแล้ว”
ซูอี้ลุกขึ้น เก็บเก้าอี้หวาย และตัดสินใจกลับสู่หอเซียนดาบเพื่อเก็บตัวฝึกฝน รอโอกาสเลื่อนขอบเขตต่อ
ชิ่งหยวนและคนอื่น ๆ จึงรีบลุกขึ้นส่งพวกเขา
“ใต้เท้า ให้ข้าน้อยส่งท่านเถิด”
อสูรสิงโตทองคำกล่าวอย่างนอบน้อม
ซูอี้พยักหน้า ก่อนก้าวขึ้นไปนั่งบนหลังอสูรสิงโตทองคำตามใจชอบ
“อสูรสิงโตทองคำ ภายหน้าจงติดตามผู้อาวุโสซู วาสนาของเจ้าจะสูงส่งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ฝึกฝนอย่างตั้งใจ อย่าทำให้ผู้อาวุโสซูผิดหวังนะ”
ชิ่งหยวนเร่ง
“ขอรับ!”
อสูรสิงโตทองคำตอบรับอย่างจริงจัง
มันแบกร่างซูอี้ทะยานสู่ฟ้า และไม่นานก็หายลับท้องนภาราตรีไป
เมื่อเห็นเช่นนั้น ชิ่งหยวนและคนอื่น ๆ ก็ถอนหายใจโล่งอก
ราวร่วมเดินทางกับเสือ!
เมื่อคราวที่พวกเขาเดินทางกับซูอี้ พวกเขาต่างรู้สึกกดดันหนักหนาว่าจะทำสิ่งใดผิดพลาดจนปลุกเร้าความรังเกียจจากซูอี้
และยามนี้ ในที่สุดพวกเขาก็ได้ผ่อนคลาย
“ยามที่เขาไม่ได้ลงมือ ใต้เท้าซูก็ยังพูดเก่งมากเลยนะ”
ซั่วเหมิงกล่าวอย่างเปี่ยมอารมณ์
“เจ้ายังอยากพบเขาอีกหรือ?”
เตียวอวิ๋นเหอ ผู้เฒ่าเครายาวถาม
ซั่วเหมิงรีบส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่เห็นคงดีกว่า”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
ชิ่งหยวนถอนหายใจด้วยสีหน้าซับซ้อน “แต่จากความสัมพันธ์ระหว่างผู้อาวุโสซูและอาจารย์ ข้าก็สงสัยว่าเราจะยังได้พบเขาในภายหน้าอยู่…”
ซั่วเหมิงและเตียวอวิ๋นเหอเงียบไปครู่หนึ่ง
วันถัดมา
ซูอี้ หยวนเหิง หลานซัว และอาจารย์อวิ๋นหลางรวมพลในเมืองตงฝู จากนั้นพวกเขาก็ทะยานสู่ลึกในทะเลวิญญาณโกลาหล
สองวันต่อมา
วันที่ยี่สิบสองเดือนหนึ่ง
ซูอี้และคณะของเขากลับมายังหอเซียนดาบ
หลังจากหลานซัวและอาจารย์อวิ๋นหลางได้รับการจัดการที่อยู่ หนิงซือฮวาก็มาหาซูอี้และกล่าวอย่างกังวล
“สหายเต๋า เย็นวานซืนนี้ บ่อน้ำแห้งแปลก ๆ ก็ปรากฏขึ้นในหอเซียนดาบ มีเสียงสะอื้นจากบ่อและกลิ่นอายคาวเลือดพวยพุ่งออกมา ข้ากังวลว่าที่แห่งนั้นจะอันตราย ข้าจึงขอให้อิงเชวียคุมที่นั่นไว้”
ซูอี้อดแปลกใจไม่ได้ ก่อนกล่าวว่า “พาข้าไปที”
หนิงซือฮวานำทางทันที
ไม่นานนัก ที่ลานอันรกร้างว่างเปล่าเบื้องหลังตำหนักเซียนดาบ ซูอี้ก็ได้เห็นบ่อน้ำแห้ง