บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 653 คัมภีร์พระพุทธฝังพสุธา
ตอนที่ 653: คัมภีร์พระพุทธฝังพสุธา
ตอนที่ 653: คัมภีร์พระพุทธฝังพสุธา
บ่อน้ำแห้งไม่ได้ใหญ่โต มันกว้างเพียงจั้งเดียวเท่านั้น
หมอกโลหิตพวยพุ่งจากบ่อ ย้อมอากาศรอบ ๆ จนแดงฉาน
อิงเชวียอยู่ไม่ไกลนัก ยามเมื่อเขาเห็นซูอี้ก็รีบเตือนว่า “คุณชายซูู บ่อน้ำแห้งนี่พิสดารนัก หมอกโลหิตเหล่านี้เต็มไปด้วยการกัดกร่อน ไม่อาจถูกปนเปื้อนได้เลย”
ซูอี้พยักหน้า ก่อนก้าวออกไปและเอื้อมมือคว้า
หมอกโลหิตกลุ่มหนึ่งหลั่งไหลสู่ฝ่ามือ
หลังจากมองมันอยู่สักพัก ซูอี้ก็กล่าวอย่างเนิบ ๆ “นี่คือปราณซากศพ จากที่เห็นนี้ ลึกเข้าไปในบ่อน้ำแห่งนี้คงมีจิตซากศพที่เทียบได้กับมหาปราชญ์สวรรค์ในวิถีวิญญาณเกิดขึ้นเป็นแน่”
อิงเชวียและหนิงซือฮวามองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างแสดงความแปลกใจ
จิตซากศพ!
นี่เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวมากอย่างหนึ่ง
กล่าวโดยง่าย เมื่อผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งถูกสังหาร ศพของเขาจะยังมีเศษซากวิญญาณแค้นเจือปน และจากการสั่งสมของปราณวิญญาณ เป็นไปได้ที่มันจะเปลี่ยนไปเป็นจิตซากศพได้
นี่คล้ายคลึงกับภูตผีในโลก แต่มันคือสิ่งมีชีวิตที่แปรเปลี่ยนมาจากซากศพ
“พวกเจ้าอยู่นี่นะ ข้าจะไปดู”
ซูอี้กล่าว
นี่คือซากของหอเซียนดาบ ทว่าใต้บ่อน้ำแห้งนี้กลับมีบรรยากาศดั่งซากศพ
ไม่ต้องสงสัยเลย นี่หมายความว่าในอดีต มีผู้ฝึกตนบางคนตายอยู่ในนี้!
กล่าวจบ ซูอี้ก็มายังบ่อน้ำแห้ง
“สหายเต๋า เจ้าพาข้าไปดูด้วยได้หรือไม่?”
หนิงซือฮวาอดกล่าวไม่ได้
ซูอี้ผงะ “เจ้าไม่กลัวอันตรายหรือ?”
หนิงซือฮวายิ้มหวาน “มีสหายเต๋าอยู่ ฟ้าถล่มข้าก็ไม่กลัวหรอก”
กล่าวถึงเพียงนี้ ซูอี้จะปฏิเสธได้เช่นไร?
ทั้งสองทะยานสู่ก้นบ่อน้ำแห้งด้วยกันทันที
ในบ่อน้ำแห้งมีบันไดทอดยาว พวกมันล้วนสร้างจากเหล็กดำหนาหนัก
บันไดแต่ละขั้นถูกสลักลวดลายอักขระไว้แตกต่างกัน แต่ดูเหมือนว่าจากการกัดกร่อนของกาลเวลานานแสนนาน อักขระเหล่านั้นจึงพลอยเลือนรางลงไปด้วย
ทว่ามองปราดแรก ซูอี้ก็ยังเห็นได้ว่ามันเป็นค่ายกลป้องกันอันแข็งแกร่งยิ่ง!
“เหตุใดหอเซียนดาบจึงตั้งค่ายกลป้องกันไว้ที่นี่เล่า?”
ซูอี้สังเกตเห็นความผิดปกติ
หากในบ่อน้ำแห้งนี้มีอันตราย ตั้งค่ายกลผนึกไว้ปราบมันเสียก็จบ
ทว่าค่ายกลที่นี่ เห็นได้ชัดว่าตั้งเพื่อไม่ให้คนนอกบุกเข้าไป!
“ระวังด้วย”
ไม่นานนัก ซูอี้ก็เลิกคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าวเตือน
บันไดนี้ดูจะไร้จุดสิ้นสุด ยิ่งเดินลงไป บรรยากาศก็ยิ่งเปี่ยมด้วยกลิ่นอายซากศพอันชั่วร้ายหนาแน่น
ท้ายที่สุด กระทั่งซูอี้ยังต้องใช้พลังของเขาเพื่อสลายปราณซากศพสีแดงสดที่ปกคลุมอยู่ทั่วทีละน้อย
ฟิ้ว!
จู่ ๆ เสียงแหวกอากาศแหลมสูงก็ดังลึกจากในหมอกปราณสีเลือดเบื้องล่างบันได
ซูอี้คลำมือหยิบตะเกียงทองเหลืองออกมาดวงหนึ่ง มันมีลักษณะคล้ายดอกบัว ก้านเทียนเหมือนดั่งอสรพิษ แผ่แสงสีเขียวลี้ลับออกมา
ประทีปปีศาจงู!
มันเป็นสมบัติวิญญาณอันแข็งแกร่งมาก ซึ่งสร้างมาเพื่อกดข่มภูตผีโดยเฉพาะ และหากใช้ต่อสู้กับศัตรู มันจะสามารถกัดกร่อน ส่งอิทธิพลสู่วิญญาณของอีกฝ่ายได้
สมบัติชิ้นนี้คือสินสงครามที่ซูอี้ได้มาจากจิงหลิงเจิน ผู้แข็งแกร่งจากยุคโบราณจากสำนักผลาญตะวันยามเมื่ออยู่ในเกาะเซียนพระสุเมรุ
ฟู่!
เมื่อแสงสว่างจากประทีปปีศาจงูสยายออก ปราณซากศพที่ปกคลุมอยู่บนบันไดก็สลายดั่งคลื่นน้ำ
ในขณะเดียวกัน เสียงกรีดร้องแหลมสูงก็ดังขึ้น
เมื่อมองดี ๆ จะเห็นได้ว่าไกลออกไปหลายจั้ง ร่างหนึ่งถูกแสงสว่างเจิดจ้าของประทีปปีศาจงูดีดกระเด็น ร่างถูกแผดเผาด้วยเพลิงจ้า กรีดร้องอย่างเจ็บปวด
“นี่คือ?”
เมื่อเข้าไปใกล้ หนิงซือฮวาก็ตกใจเมื่อเห็นว่าร่างนั้นเน่าเฟะทั่วตัว ดูเหมือนสัตว์ประหลาดยาวสิบจั้ง อันเนื่องจากหัวที่ปริแตก ร่างเต็มไปด้วยรอยกัดกินและการพังทลาย …จนเป็นเหตุใดยากจะบ่งชี้ว่านี่คือสัตว์ร้ายชนิดใด
“ผู้ฝึกตนปีศาจในวิถีต้นกำเนิดน่าจะเป็นสัตว์ร้าย ทว่ายามนี้มันเปลี่ยนสภาพเป็นจิตซากศพไปแล้ว จะเรียกว่าปีศาจซากศพคงไม่เลวนัก”
ซูอี้มองมัน และพลันเอื้อมมือไปหักคอซากศพบนอากาศ
“ดูที่ระหว่างหัวและคิ้วของมัน ถึงจะถูกกร่อนไปมาก แต่ไม่ยากจะเห็นร่องรอยดาบที่นี่”
ซูอี้กล่าว “หรือก็คือ ผู้ฝึกตนปีศาจในวิถีต้นกำเนิดผู้นี้ตายด้วยคมดาบจากโทสะ”
หนิงซือฮวาอ้าปากค้าง “ที่แห่งนี้คืออาณาเขตของหอเซียนดาบ และสามหมื่นปีก่อน หอเซียนดาบก็เป็นหนึ่งในสามสำนักผู้ฝึกปีศาจขนาดใหญ่ ไม่ใช่ว่าศพตรงหน้าเจ้าไม่ควรเป็นศิษย์ผู้หนึ่งของหอเซียนดาบหรือ?”
ซูอี้พยักหน้ากล่าว “น่าจะเป็นเช่นนั้น”
“ฆาตกรกล้าบุกเข้ามาฆ่าคนในหอเซียนดาบ ช่างกล้านัก”
หนิงซือฮวาประหลาดใจ
ดวงตาของซูอี้พิกลเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “เจ้าสงสัยว่ามีคนภายนอกแทรกซึมที่แห่งนี้หรือ?”
“ไม่ใช่หรือ?” หนิงซือฮวาผงะ
“บ่อน้ำแห้งนี้ตั้งอยู่หลังตำหนักเซียนดาบ ทางเข้าถูกปกคลุมด้วยค่ายกลป้องกัน หากเป็นเช่นนั้น เขาต้องจ่ายทรัพยากรมากมายเพื่อลอบเข้ามา”
ซูอี้กล่าว “ในทางเดียวกัน หากมีผู้ใดในขอบเขตจักรพรรดิลงมือ ปราณดาบจะสามารถทำให้ปีศาจในวิถีต้นกำเนิดผู้นี้กระเด็นไป แตกดับไร้กระดูกให้ฝัง ไร้โอกาสกลายเป็นจิตซากศพ”
หนิงซือฮวาพอจะเข้าใจแล้ว นางกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “สหายเต๋า หมายความว่าผู้ที่ฆ่าเขาคือยอดฝีมือในหอเซียนดาบหรือ?”
“เป็นไปได้เช่นนั้น”
ยามกล่าววาจา ซูอี้ก็เดินลงต่อไป
ประทีปปีศาจงูลอยค้างอยู่ตรงหน้า เปล่งแสงสีเขียวมรกต กำจัดปราณซากศพไปตลอดทาง
ระหว่างการเดิน มีซากศพพุ่งออกมาศพแล้วศพเล่า พยายามโจมตีซูอี้และหนิงซือฮวา
ทว่าพวกมันกลับถูกพลังของประทีปปีศาจงูปราบลงอย่างแสนง่าย ไร้ข้อยกเว้น
“จิตซากศพเหล่านี้มีการฝึกฝนอยู่เพียงในวิถีต้นกำเนิดยามมีชีวิต ซ้ำยังเสียสติปัญญาและจิตใจ ดังนั้นจึงไม่ใช่ภัยร้ายแรง”
ซูอี้กล่าวลอยชาย “สิ่งที่น่าสนใจก็คือ พวกมันทั้งหมดตายโดยดาบแบบเดียวกัน และแผลจากดาบกับแรงที่ออกเหมือนกันทุกประการ”
ซูอี้กล่าว
หนิงซือฮวาทอดถอนใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ในใจมีเพียงความชื่นชม
นางก้าวสู่วิถีต้นกำเนิดไปแล้ว ณ ตอนนี้อยู่ในขั้นสมบูรณ์แบบของขอบเขตไร้เบญจธัญ
ทว่าเมื่อเทียบกับซูอี้ นางและเขาต่างกันราวคนละโลก
หากมีเพียงนาง แค่การรับมือจิตซากศพสองข้างทางก็คงทำให้นางตกอยู่ในอันตราย และอาจจะกระทั่งต้องล่าถอย
ทว่าภายใต้น้ำมือซูอี้ ด้วยสมบัติเพียงชิ้นเดียว ซากศพเหล่านั้นก็ถูกปราบลงอย่างง่ายดาย!
แน่นอน หนิงซือฮวาไม่ได้แปลกใจกับสิ่งนี้เลย
สิ่งที่นางเลื่อมใสคือ ซูอี้ดูจะเก่งกาจทุกด้าน
ยกตัวอย่างเช่น เขารู้กระทั่งว่าซากศพเหล่านี้ตายเช่นไร และอยู่ในวิถีใดก่อนตาย
ครึ่งชั่วยามผ่านไป
ในที่สุด ซูอี้และหนิงซือฮวาก็มาถึงปลายสุดของบันได และสิ่งที่พวกเขาได้เห็นก็คือโลกใต้พิภพอันกว้างใหญ่
ปราณซากศพที่นี่กระจายตัวเบาบาง และไกลสุดตามีวิหารโบราณขนาดมหึมาแห่งหนึ่งตั้งอยู่
ครานี้ ที่ใกล้ประตูวิหาร มีซากศพจำนวนมากรวมตัวกัน!
จิตซากศพเหล่านั้นแทบทั้งหมดอยู่ในลักษณะของสัตว์ร้าย ร่างกายเน่าเฟะ เต็มไปด้วยปราณซากศพแข็งกล้า
มองปราดแรกก็นับจำนวนได้หลายร้อย!
“นี่…”
ดวงตาคู่งามของหนิงซือฮวาหรี่ลง “หรือจิตซากศพเหล่านั้นทั้งหมดจะเกิดขึ้นจากศิษย์ของหอเซียนดาบ?”
“เป็นไปได้มาก” ดวงตาของซูอี้ฉายประกายวาบ “และที่แห่งนี้ก็น่าจะถูกฝังอยู่ที่นี่มานานแล้ว มันมีชีพจรจิตวิญญาณในตัว มีปราณวิญญาณที่บริสุทธิ์และแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หาไม่ คงเป็นไปไม่ได้เลยหากจะสร้างจิตซากศพมากมายเพียงนี้”
เขากล่าวพลางก้าวมาเบื้องหน้า “ไปเถอะ ไปตรวจสอบที่วิหารนั่นกัน”
เขาสังเกตเห็นว่าจิตซากศพแน่นขนัดเหล่านั้นต่างพยายามบุกเข้าไปในวิหาร แต่ก็ถูกขวางไว้โดยไร้ข้อยกเว้น
“ผู้ใดกัน!?”
จู่ ๆ เสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งก็คำรามลั่น
จากนั้น ในหมู่ซากศพไกลออกไป จิตซากศพตนหนึ่งที่มีปีกหักเน่าเฟะก็หันมามองทางซูอี้
ดวงตาของมันแดงก่ำ บรรยากาศป่าเถื่อนโหดร้าย และดูจะมีสติปัญญาอยู่บ้าง!
เมื่อจิตซากศพหันมา จิตซากศพตนอื่น ๆ ในละแวกต่างหันตามมาอย่างพร้อมเพรียง
ยามนั้น ร่างบอบบางของหนิงซือฮวาก็ชะงักค้าง หวาดกลัวจับใจ
ซากศพเหล่านั้นมีร่างกายพิกลและกลิ่นเน่าเหม็นคลุ้งไปทั่ว เหมือนดั่งสัมภเวสีที่คืบคลานออกมาจากนรก!
“ว่าแล้วเชียว มีจิตซากศพที่เทียบได้กับผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วย”
เมื่อเห็นจิตซากศพตนนั้น ซูอี้ก็อดแสดงสีหน้าแปลก ๆ ออกมาไม่ได้
จิตซากศพดังกล่าวนั้นหาได้ยากยิ่ง เมื่อพวกเขามีชีวิต พวกเขามีมหาวิถีซึ่งไม่ได้อ่อนแอไปกว่าวิถีวิญญาณ และจากนั้น พวกเขาก็มีโอกาสให้ซากศพได้รับสารอาหารจากปราณวิญญาณนานแสนนาน จนสามารถเปลี่ยนแปรได้ถึงระดับนี้ยามสิ้นใจ
“เจ้าสำนักออกคำสั่ง ผู้ที่กล้าบุกเข้ามายัง ‘แดนไร้วจี’ จะถูกสังหารอย่างไร้ปรานี! เร็วเข้า ฆ่าเจ้าคนนอกทั้งสองนั่นเสีย!”
จิตซากศพคำรามลั่น
ตู้ม!
ซากศพที่รวมตัวหนาแน่นขยับร่าง พุ่งเข้ามาหาราวคลื่นโลหิต
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
จิตซากศพทั้งหลายต่างคำรามอย่างดุร้าย ดวงตาแดงฉาน บรรยากาศบ้าคลั่งป่าเถื่อน เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่ค่อยมีสตินัก และทำเพียงเชื่อฟังตามสัญชาตญาณ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็อดถอนหายใจเบา ๆ ไม่ได้
ยามนี้เมื่อเขารู้ว่าจิตซากศพเหล่านี้เป็นศิษย์ของหอเซียนดาบ ซูอี้จะมีกะใจต่อสู้ได้เช่นไร
ไม่ว่าอย่างไร คนของเขาก็มาตั้งรกรากในซากของหอเซียนดาบ
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงยามที่ซูอี้แรกเยือนหอเซียนดาบ เขาก็ได้รับตราประทับกระดูกขาวที่จักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนทิ้งไว้ รวมไปถึง ‘คัมภีร์ดาบหมื่นวิญญาณ’ มรดกสูงสุดของหอเซียนดาบด้วย
“ช่างเถิด วันนี้ซูผู้นี้จะใช้ ‘คัมภีร์พระพุทธฝังพสุธา’ จากสำนักพุทธแดนบูรพาน้อยมาช่วยเหลือพวกเจ้า เพื่อให้พวกเจ้าคลายทุกข์โศกเสีย จะมองว่าเป็น… การตอบแทนความกรุณาของหอเซียนดาบของพวกเจ้าก็ได้”
ซูอี้กล่าวกับตนเอง
ร่างของเขาทะยานสู่เวหา นั่งคุกเข่าลงบนอากาศ สองมือประทับตราตรงหน้า แท่นจิตวิญญาณว่างเปล่า สีหน้าจริงจัง
ด้วยการเคลื่อนวิถีเต๋า ร่างของเขาพลันเปล่งแสงเจิดจ้า
หนิงซือฮวาสะดุ้ง
นางเห็นว่าบนร่างของซูอี้ แสงพุทธะอันไร้ประมาณส่องสว่างเจิดจ้า ปกคลุมโลกใต้พิภพอันมืดมิดนองโลหิตนี้ บรรยากาศจริงจังและสงบสุขแผ่ปกคลุมทั่วหล้า
ดวงตาของหนิงซือฮวาเหม่อลอย นางรู้สึกได้เพียงว่าซูอี้ยามนี้เป็นราวพระพุทธองค์เสด็จโปรดโลกา แสงของเขาสว่างเสียจนนางอดคิดบูชาเขาอย่างเลื่อมใสไม่ได้!
ในขณะเดียวกัน เสียงสวดสันสกฤตก็เปล่งออกจากริมฝีปากของซูอี้
ในยามแรกมันแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน กาลต่อมา มันก็ค่อย ๆ ดังขึ้นราวระฆังกังวาน จนท้ายที่สุดมันก็ดังลั่นเยี่ยงอสนีบาตสะท้านทั่วทิศ ยิ่งใหญ่ไร้ประมาณ
“…เนื่องด้วยความเมตตา ข้าสาบานจะช่วยเหลือสรรพชีวิต ด้วยทองคำและเหล็กในมือ ข้าจะเปิดประตูแห่งปรโลก ข้าจะถือไข่มุกในฝ่ามือ ส่องแสงสว่างแก่โลกหล้า…”