บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 654 รังไหมหลิงหลง
ตอนที่ 654: รังไหมหลิงหลง
ตอนที่ 654: รังไหมหลิงหลง
แสงสว่างไร้ขอบเขต เสียงสวดภาษาสันสกฤตทรงพลัง
โลกใต้พิภพอันเต็มไปด้วยสีเทาดำ หม่นหมองนองเลือด บรรยากาศเน่าเหม็นแปรเปลี่ยนเป็นสถานที่อันมีมนตร์ขลังและสงบสุข
จิตซากศพที่พุ่งมาราวคลื่นหยุดลงกับที่ตนแล้วตนเล่า ร่างเน่าเหม็นของพวกมันอาบแสงแห่งพุทธะเจิดจ้า
สีหน้าของซากศพแต่ละตนต่างสับสน
บรรยากาศดุร้ายและปราณซากศพบนร่างของพวกมันหายไปด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตา ภายใต้การชำระล้างของแสงแห่งพุทธะ…
เป็นภาพอันน่าเหลือเชื่อ
ซูอี้นั่งคุกเข่า เหมือนดั่งพระพุทธองค์เสด็จประทับยังยมโลก ทำให้เหล่าสัตว์นรกเข้ากราบกราน ฟังธรรมอันไร้ประมาณเพื่อล้างบาปของเขา
หนิงซือฮวามองภาพตรงหน้าอย่างเหม่อลอย หัวใจเปี่ยมด้วยความตะลึงอย่างไม่อาจอธิบาย
โลกนี้ยังมีสิ่งใดที่ซูอี้ทำไม่ได้อยู่หรือไม่?
“…ในสุรเสียงแห่งปัญญา ความมงคลในหมู่เมฆา สรรพสิ่งผู้ทุกข์ยาก พิสูจน์ธรรมะเป็นหลักยืนยันตน…” ซูอี้ร่ายบทสวดพลางลืมตาขึ้นเงียบ ๆ
เสียงสวดดังสนั่นสะท้อนก้องไม่รู้จบในโลกานี้ ไกลออกไป ร่างของจิตซากศพเหล่านั้นดูราวกับถูกล้างจนสะอาด เต็มไปด้วยบรรยากาศสงบสุข ไร้ร่องรอยสิ่งโสมมชั่วร้าย
ยามนี้ จิตซากศพเหล่านี้ดูจะจดจำทุกอย่างในชีวิตของตนได้ ดวงตาระเบิดประกายออกมา สีหน้าดูโล่งใจ
จากนั้น จิตซากศพที่ดูเหมือนนกปีกหักก็กล่าวขึ้นอย่างขอบคุณ “ขอบคุณสหายเต๋าที่แสดงอภินิหารอันน่าอัศจรรย์เพื่อปลดปล่อยข้า!”
จากนั้น จิตซากศพที่เหลือทั้งหมดต่างโค้งให้ซูอี้ ก่อนกล่าวว่า “ขอบคุณสหายเต๋าที่แสดงอภินิหารอันน่าอัศจรรย์เพื่อปลดปล่อยข้า!”
ในน้ำเสียงเปี่ยมความขอบคุณนี้เอง ร่างของจิตซากศพเหล่านี้ก็เปลี่ยนเป็นธุลีสลายไป
เมื่อเห็นเช่นนี้ หัวใจของหนิงซือฮวาก็สั่นไหว นางตะลึงค้างด้วยความรู้สึกอันไม่อาจบรรยาย
สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในโลกไม่ใช่การมีอยู่ แต่เป็นการไม่อาจตายจาก
ยามนี้ จิตซากศพซึ่งแต่เดิมเป็นศิษย์ของหอเซียนดาบดูจะสลายหายไปจากโลกแล้ว ทว่านี่ไม่ใช่การปลดปล่อยอย่างแท้จริงหรือ?
“การกระทำของสหายเต๋ากล่าวได้ว่าเป็นบุญอนันต์”
หนิงซือฮวามองซูอี้ด้วยตาคู่งามของนาง กล่าวออกมาเบา ๆ
ซูอี้ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย พลางกล่าวว่า “เรื่องบาปบุญคือสิ่งที่ไร้ค่าที่สุด ข้าช่วยพวกเขาจริง ทว่านั่นเป็นเพียงการตอบแทนบุญคุณของพวกเขา”
เขากล่าวพลางเดินไปยังวิหารไกลออกไป
วิหารนั้นใหญ่โตโอ่อ่า สร้างจากโขดหินที่ปรับแต่งอย่างประณีต ดูโบราณและงดงามนัก
ประตูวิหารปิดแน่น มีลวดลายผนึกสลักไว้หนาแน่น แม้จะถูกกาลเวลากัดกร่อน ทว่ามันก็ยังให้ความรู้สึกกดดันแก่คนมอง
“เป็นค่ายกลป้องกันอีกแห่งแล้ว”
ซูอี้ยืนบนบันได พลางมองเข้าไปใกล้ ๆ และนึกถึงสิ่งที่จิตซากศพวิหคอัปมงคลพูดก่อนหน้านี้ไม่ได้
“เจ้าสำนักออกคำสั่ง ผู้ที่กล้าบุกเข้ามายัง ‘แดนไร้วจี’ จะถูกสังหารอย่างไร้ปรานี!”
แดนไร้วจี!
หรือที่แห่งนี้จะถูกตระเตรียมไว้โดยหอเซียนดาบเพื่อ… เป็นที่พำนักสุดท้ายของยอดฝีมือในสำนัก?
ยามเมื่อถึงอายุขัย นั่งลงทำสมาธิ ปล่อยแก่นชีวิตให้ดับสูญไป
สำหรับผู้ฝึกตน ขอเพียงพวกเขาไม่อาจเลื่อนถึงวิถีจักรพรรดิ ไม่ว่าอายุขัยของพวกเขาจะยาวนานเพียงไร พวกเขาก็หาใช่ผู้เป็นอมตะที่แท้จริงไม่!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชีวิตยืนนานเทียบตะวันจันทรา
ในขณะที่ครุ่นคิดเรื่องนี้ ซูอี้ก็โบกแขนเสื้อ
พรึ่บ!
แสงไร้สีพุ่งออกไปกระทบที่ต่าง ๆ บนประตูที่ปิดแน่น จากนั้นเสียงคำรามทึบ ๆ หนัก ๆ ก็ดังออกมา
ประตูโบราณซึ่งจมฝุ่นมาไม่รู้กี่ปีค่อย ๆ เผยออ้าตรงหน้าซูอี้และหนิงซือฮวา
มองไปรอบ ๆ แล้ว พบว่าไร้ซึ่งสิ่งตกแต่งใด ๆ ในห้องโถง แต่มีแท่นเต๋าอยู่ทั้งหมดเจ็ดสิบสองแท่น
แท่นเต๋าแต่ละที่สูงเก้าจั้ง กว้างสามจั้ง เป็นสีดำสนิทและปกคลุมด้วยอักขระลึกลับของค่ายกลจองจำ
บนแท่นเต๋ามีวัตถุคล้ายรังไหมอยู่
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง และเข้าใจอย่างถ่องแท้ในทันใด
ในคราแรก ที่นี่อาจเป็นสถานที่ซึ่งหอเซียนดาบเตรียมไว้สำหรับศิษย์สำนักที่ใกล้ดับสิ้น
ทว่าในภายหลัง มันกลายเป็น ‘แดนไร้วจี’ สำหรับโอกาส!
“หรือสหายเต๋าจะเห็นบางอย่าง?”
หนิงซือฮวาอดถามไม่ได้
“แท่นเต๋าเหล่านั้นเรียกได้ว่าเป็นแท่นจองจำ และสิ่งที่เหมือนรังไหมบนแท่นเต๋าเหล่านั้นก็น่าจะเป็น ‘รังไหมหลิงหลง’ ที่จักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนแห่งหอเซียนดาบสร้างขึ้น”
ซูอี้กล่าวสบาย ๆ “แท่นจองจำนับได้ว่าเป็นพลังผนึกอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถแยกการแทรกแซงและการทำลายจากภายนอกออกได้”
“และรังไหมหลิงหลงนี้สามารถทำให้ผู้ฝึกตนหยุดนิ่งในนั้น เพื่อให้การฝึกฝนและพลังชีวิตถูกจองจำไว้ พวกเขาจะได้เยาว์วัยไปตลอดกาล ไม่ต้องกลัวการกัดกร่อนของกาลเวลาอันยาวนาน เมื่อถึงกาลอันเหมาะสม ผู้ฝึกตนเหล่านี้ย่อมจะมีโอกาสได้ออกมาจากรังไหม”
หนิงซือฮวาตะลึง “มีวัตถุศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้อยู่บนโลกด้วยหรือ?”
“วัตถุศักดิ์สิทธิ์? อย่าใช้คำนั้นเลย”
ซูอี้ชี้ “เจ้าในยามนี้รู้แล้วว่าโลกมีผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณมากเพียงไร เจ้าคิดว่าพวกเขารอดจากการจองจำแห่งยุคมืดสามหมื่นปีได้เช่นไรเล่า?”
หนิงซือฮวาถาม “สหายเต๋าจะบอกว่า ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณในโลกนี้ต่างรอดจากการจองจำสามหมื่นปีแห่งยุคมืดโดยจำศีลในสมบัติเช่น ‘รังไหมหลิงหลง’ เช่นนี้ ก่อนที่ในที่สุดจะกลับมามีชีวิตบนโลกหรือ?”
“ถูกต้อง”
ซูอี้พยักหน้า “ทว่า เมื่อกาลเวลาผันผ่าน โลกเปลี่ยนผันขึ้นลง หากเจ้าอยู่ในรังไหมหลิงหลงและเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เจ้าก็อาจไม่ได้คืนชีพอีก”
พูดจบ เขาก็เดินเข้าไปในห้องโถง
หนิงซือฮวาตามไปโดยไม่รู้ตัว
ซูอี้เดินมาถึงแท่นจองจำที่ใกล้ที่สุด เปลือกตาของเขากระตุกเล็กน้อยเมื่อมองมายังรังไหมหลิงหลงซึ่งมีขนาดราว ๆ สิบจั้ง
บนรังไหมหลิงหลงมีรอยดาบรอยหนึ่งอยู่อย่างน่าตกใจ!
รอยดาบนี้เหมือนกับที่อยู่บนซากศพตลอดการเดินทางไม่มีผิด!
จิตสัมผัสของซูอี้แผ่ออก มองไปรอบ ๆ แท่นจองจำต่าง ๆ ทั่วห้องโถง
รังไหมหลิงหลงเหล่านั้นต่างถูกทำลายโดยรอยดาบฟันหนึ่งหนโดยไร้ข้อยกเว้น!
“มิน่าเล่า เราจึงไม่เคยได้เห็นผู้แข็งแกร่งจากยุคโบราณคนใดมาจากหอเซียนดาบ ที่แท้ใครสักคนก็ทำลายรังไหมหลิงหลงเหล่านี้นานแสนนานแล้ว”
ซูอี้อดสะเทือนใจยามได้เรียนรู้ความจริงไม่ได้
คาดเดาได้ว่าหลังจากการปรากฏของการจองจำแห่งยุคมืดเมื่อสามหมื่นปีก่อน หอเซียนดาบไม่เชิงไร้การเตรียมตัว
ในทางกลับกัน พวกเขาสร้างแท่นจองจำขึ้นบนสถานที่อันว้าเหว่นี้ ทิ้งรังไหมหลิงหลงไว้เจ็ดสิบสองรัง เพื่อให้ทายาทเจ็ดสิบสองคนที่ถูกคัดเลือกได้รับโอกาสเกิดใหม่ในกาลถัดมา
ทว่าการเตรียมการทั้งหมดนี้ต่างถูกทำลายโดยคนผู้หนึ่ง!
ใครกันที่ทำเช่นนี้?
เมื่อซูอี้คิดถึงเรื่องนี้ เขาก็ตะลึงและได้เห็นซากศพแห้งศพหนึ่งอยู่ลึก ๆ ในห้องโถง
เมื่อเข้าไปใกล้ ก็ได้เห็นว่าซากศพนั้นสวมอาภรณ์สีม่วง มีร่างผอมบาง และแม้กาลเวลาจะผ่านแสนนาน อีกฝ่ายก็ไร้สัญญาณเน่าเปื่อย
ซากศพร่วงลงสู่พื้น คอตกห้อย ปลายนิ้วมือขวาสัมผัสพื้น
เมื่อซูอี้มองตามมือ เขาก็เห็นอักษรปีศาจโบราณเขียนบนพื้นด้วยโลหิตซึ่งกลายเป็นสีเทาหมองมัวไปนานแล้ว
ทว่าข้อความนั้นยังพออ่านได้
‘เทวทัณฑ์กัดกินนาย ทำลายรากฐานโบราณแห่งหอเซียนดาบเรา ไป๋จ่างเฮิ่นละอายต่อบรรพชนนัก!’
เมื่อเขาเห็นเช่นนี้ หัวใจของซูอี้ก็ตกตะลึง แสดงสีหน้าไม่คาดฝัน
ซากศพนี้คือไป๋จ่างเฮิ่น เจ้าสำนักรุ่นที่สามแห่งหอเซียนดาบ!
หลังจากซูอี้เข้ามาในซากของหอเซียนดาบ เขาก็ได้เห็นภาพที่ถูกบันทึกทิ้งไว้เมื่อสามหมื่นปีก่อนจากแผ่นหยกโบราณชิ้นหนึ่ง
ในภาพนั้นมีร่างของไป๋จ่างเฮิ่นและจักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนอยู่!
‘เทวทัณฑ์กัดกินนาย… ดูเหมือนว่าดาบปีศาจนามเทวทัณฑ์แต่เดิมจะเป็นดาบคู่กายของไป๋จ่างเฮิ่น…’
ซูอี้ลอบคิด
เมื่อสองเดือนก่อน เขาบั่นหัวชิงลั่วที่หน้าซากหอเซียนดาบ และจากสิ่งนี้ เขาก็ได้รับรู้ว่าชิงลั่วเป็นเพียงทาสดาบผู้ถูกดาบใช้ร่างเป็นอาหาร
และสิ่งที่กุมชะตากรรมของชิงลั่วไว้ก็คือดาบปีศาจนาม ‘เทวทัณฑ์’ ที่ซ่อนในสันหลังของเขา!
ยามนี้ ซูอี้คาดเดาไว้ว่าเหตุที่ชิงลั่วปรากฏที่ซากหอเซียนดาบ เป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นอิทธิพลของดาบปีศาจ
เพราะถึงอย่างไร หอเซียนดาบก็คือสำนักผู้ฝึกปีศาจ ที่มีคำว่า ‘ดาบ’ อยู่ในชื่อ
และดาบปีศาจเทวทัณฑ์ก็เป็นสมบัติชั่วร้ายชิ้นหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด มีวิญญาณปีศาจอันสมบูรณ์ และปรากฏขึ้นหน้าซากหอเซียนดาบ ณ ยามนั้น
ไม่ต้องสงสัยเลย ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าดาบปีศาจเทวทัณฑ์และหอเซียนดาบมีความเกี่ยวพันกันอยู่
และยามนี้ เมื่อเขาได้เห็นศพของไป๋จ่างเฮิ่นและอักษรเลือดที่ทิ้งไว้ก่อนตาย ซูอี้จะยังไม่กระจ่างแจ้งได้เช่นไร?
“สหายเต๋า เจ้ารู้ตัวตนของศพนี้หรือ?”
หนิงซือฮวาถาม
ซูอี้พยักหน้า และเล่าสิ่งที่เขาคาดเดาไว้ให้หนิงซือฮวาฟัง
สามหมื่นปีก่อน การจองจำแห่งยุคมืดอุบัติขึ้น ทุกผู้ในหอเซียนดาบตกอยู่ในอันตราย เจ้าสำนักของพวกเขา ไป๋จ่างเฮิ่นนำยอดฝีมือในสำนักสร้างแท่นจองจำทั้งเจ็ดสิบสองขึ้นในวิหารอันว้าเหว่นี้
พวกเขาวางแผนอย่างลับ ๆ หวังว่าทายาทผู้จำศีลในรังไหมหลิงหลงจะตื่นขึ้นได้ในสักวัน
ทว่า ไป๋จ่างเฮิ่นคงไม่เคยคาดว่ายามเขาวางแผนเคลื่อนไหว สมบัติคู่ชีพของเขา ดาบปีศาจเทวทัณฑ์จะกลืนกินนายของมันกะทันหัน!
และรังไหมหลิงหลงทั้งเจ็ดสิบสอง รวมไปถึงซากศพนับร้อย ๆ นอกโถงหลักต่างก็ถูกฆ่าโดยดาบปีศาจเทวทัณฑ์!
คำกล่าวของซูอี้เรียบง่ายอย่างยิ่ง ทว่าหลังเรียนรู้ความจริงเช่นนี้ หนิงซือฮวาก็ตกใจเสียจนใบหน้างดงามเปลี่ยนสี
นางพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ก็แค่ดาบเล่มเดียว เหตุใด… ถึงร้ายกาจน่ากลัวนัก?”
“นี่คือความเสี่ยงที่เกิดจากการใช้วิชา ‘ใช้ร่างตนเลี้ยงดาบ’ นั่นเอง”
ซูอี้กล่าว “วิชาลับเช่นนี้ใช้พลังชีวิตและการฝึกฝนของตนเองเป็นอาหารให้ดาบเพื่อพัฒนาพลังของดาบตน”
“หากทำเช่นนี้ ดาบคู่กายจะสามารถระเบิดพลังอันน่าหวาดหวั่นเกินจินตนาการออกมาได้อย่างจริงแท้”
“ทว่ามันมีผลข้างเคียง นั่นคือ หากไม่อาจสยบร่างวิญญาณภูตในดาบนี้ ผู้ใช้จะต้องเผชิญความเสี่ยงที่มันจะกลืนกินนาย และยามนั้น ความทรงจำ วิถีเต๋า และชีวิตของผู้ฝึกตนจะถูกสูบกินโดยวิญญาณดาบ”
กล่าวถึงยามนี้ ซูอี้ก็มองไปยังซากศพของไป๋จ่างเฮิ่นและกล่าวต่อ “หากข้าเดาถูก คนผู้นี้ต้องใช้พลังและวิถีเต๋าไปมากมายในการจัดแท่นจองจำและรังไหมหลิงหลง ดังนั้นดาบปีศาจเทวทัณฑ์จึงฉวยโอกาสนั้น ผลก็คือมหาหายนะบังเกิด”
หนิงซือฮวาตกใจกลัวเสียจนมือเท้าเย็นเฉียบ
กาลก่อน หนึ่งดาบสังหารเจ้าสำนักและทำลายทุกการจัดเตรียมรับมือการจองจำแห่งยุคมืดของหอเซียนดาบ!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าช่างไม่น่าเชื่อ
และสิ่งที่ทำให้หัวใจของหนิงซือฮวาสั่นไหวยิ่งกว่าก็คือ ดาบปีศาจเทวทัณฑ์ยังมีชีวิตอยู่!
และไม่นานนี้เอง หากซูอี้มาไม่ทันเวลา นางก็เกือบปล่อยให้ดาบปีศาจชั่วร้ายนี่บุกเข้ามาในหอเซียนดาบแล้ว!