บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 655 ตะเกียงฟ้า ผมขาว ดุจเซียนเยี่ยงมาร
ตอนที่ 655: ตะเกียงฟ้า ผมขาว ดุจเซียนเยี่ยงมาร
ตอนที่ 655: ตะเกียงฟ้า ผมขาว ดุจเซียนเยี่ยงมาร
“ไม่สิ”
ทันใดนั้น ซูอี้ก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ
หนิงซือฮวาซึ่งตัวสั่นงันงกด้วยความกลัวไปแล้ว ตัวแข็งทื่อเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามว่า “สหายเต๋าสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติหรือ?”
ซูอี้ถาม “หากเจ้าเป็นไป๋จ่างเฮิ่น ซึ่งรู้แก่ใจอยู่แล้วว่าการ ‘ใช้ร่างตนเลี้ยงดาบ’ นั้นแสนยากเย็น และง่ายต่อการถูกดาบกลืนกิน เจ้าจะไม่เตรียมการป้องกันใด ๆ ไว้เลยหรือ?”
หนิงซือฮวากล่าวโดยไม่ลังเล “ไม่มีทาง”
เขาจะไม่รู้เชียวหรือว่าใช้ร่างเลี้ยงดาบอันตรายเพียงไร?
ซูอี้กล่าว “นี่ยังหมายความว่า ไป๋จ่างเฮิ่นไม่ได้ถูกฆ่าโดยดาบปีศาจเทวทัณฑ์ในทันที แต่เกิดเหตุอื่นขึ้น จึงสร้างโอกาสให้ดาบปีศาจเทวทัณฑ์ฉกฉวย”
หนิงซือฮวาตะลึงตื่นกลัว
ฆาตกรที่สังหารไป๋จ่างเฮิ่นและสร้างหายนะวิปโยคแก่หอเซียนดาบ ไม่ได้มีเพียงดาบปีศาจเทวทัณฑ์?
ความจริงเช่นนี้รบกวนจิตใจเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย!
ยามนี้ ซูอี้มองขึ้นไปยังเพดานโถง
โถงแห่งนี้โอ่อ่าสูงใหญ่ยิ่ง ส่วนบนสุดของมันเป็นราวร่มทรงกลมยักษ์โอบล้อม ใจกลางร่มมีตะเกียงทองแดงสีฟ้าขนาดราวฝ่ามืออยู่ดวงหนึ่ง
ตะเกียงทองแดงไม่ได้ถูกจุดไฟ และอยู่แสนไกลจากพื้นดิน ทำให้ง่ายต่อการเมินการคงอยู่ของมัน
ทว่าเมื่อเห็นตะเกียงทองแดงอันไร้ความโดดเด่นนี้ ซูอี้ก็หรี่ตาลงน้อย ๆ
เขาเบือนสายตาไปมองแท่นเต๋าทั้งเจ็ดสิบสองในโถงอีกครั้ง
ยามนี้เอง…
น้ำมันตะเกียงสีเลือดในตะเกียงทองแดงสีฟ้าซึ่งแขวนอยู่เหนือโถงพลันสั่นไหวเล็กน้อยอย่างเงียบ ๆ และไส้เทียนที่มีรูปร่างคล้ายนกก็ยื่นออกมาโดยพลัน
ไส้เทียนถูกจุดไฟขึ้นกะทันหัน และเงาของตะเกียงก็ยื่นออกมาเป็นภาพสตรีในชุดสีแดงผู้หนึ่ง ซึ่งดูเลือนรางยิ่ง
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
แทบจะเป็นในยามเดียวกัน เสียงระเบิดหนาหูก็ดังขึ้น
รังไหมหลิงหลงบนแท่นเต๋าทั้งเจ็ดสิบสองต่างปริร้าวราวเปลือกไข่ที่ถูกกะเทาะ
ปราณซากศพอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากรังไหมแต่ละแห่ง
สีหน้าของหนิงซือฮวาเปลี่ยนไปทันที นางตกใจกับภาพที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้
“อย่าแตกตื่น”
ซูอี้เอื้อมมือไปตบบ่าของนาง สีหน้านิ่งสงบเช่นเคย
มีเพียงดวงตาลึกล้ำมองกลับไปยังตะเกียงทองแดงสีฟ้าที่ห้อยอยู่เหนือห้องโถงเท่านั้น
เงาของตะเกียงดูราวกับเลือด มีเงาร่างเลือนรางของสตรีผู้หนึ่งวูบไหว แผ่บรรยากาศพิลึกชวนกระสับกระส่าย
เมื่อซูอี้มองมา สตรีในเงาตะเกียงดูจะจับสายตานั้นได้ นางยกมือขึ้นดีดนิ้ว
เป๊าะ!
แท่นจองจำทั้งเจ็ดสิบสองแท่นในห้องโถงส่งเสียงคำรามกะทันหัน ลวดลายอักขระที่สลักอยู่ดูราวมีชีวิต มันเกี่ยวพันสร้างขึ้นเป็นค่ายกลขนาดยักษ์
ซูอี้และหนิงซือฮวาซึ่งติดอยู่ในนั้นพลันตกสู่วิกฤต!
วูบ! วูบ!
แทบจะในยามเดียวกัน เงาร่างต่าง ๆ ก็ปรากฏขึ้นจากในปราณซากศพ มีทั้งหญิงชาย ล้วนแล้วแต่ดูเยาว์วัยนัก พวกเขาสวมชุดนักพรตเต๋าสีทองเข้ม ถือดาบวิญญาณกันทั้งสิ้น
แต่เดิม พวกเขาดูเหมือนนักดาบอนาคตไกล
ทว่าปราณซากศพสีเลือดและบรรยากาศบนร่างของพวกเขาดุร้ายน่ากลัวยิ่งนัก ดวงตาเปล่งประกายสีแดงฉานเย็นชา
จิตซากศพเจ็ดสิบสองตน!
ทว่าต่างจากจิตซากศพนอกโถงหลัก จิตซากศพทั้งเจ็ดสิบสองนี้สมบูรณ์อย่างยิ่ง และปราณของพวกเขาก็หนาแน่นเกินจินตนาการ
ไม่มีผู้ใดอ่อนแอไปกว่าวิถีวิญญาณเลย
ซ้ำยังมีจิตซากศพบางตนในหมู่พวกเขาที่เทียบได้กระทั่งกับขอบเขตสยายวิญญาณ!
หนิงซือฮวาตื่นกลัว หัวใจของนางร่วงลงสู่หุบเหว
นางอยู่เพียงในขอบเขตไร้เบญจธัญ แม้จะถูกบังคับให้รักษาความเยือกเย็น แต่นางก็ยังรู้สึกอึดอัดสิ้นหวังเมื่อเผชิญบรรยากาศจากซากศพเหล่านี้
เมื่อคิดดูแล้ว การที่มหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเจ็ดสิบสองคนลงมือพร้อมกันนั้นน่าหวาดหวั่นเพียงไร?
“สหายเต๋า เราจะรอดจากซากศพเหล่านี้ได้หรือไม่?”
หนิงซือฮวาถามอย่างติดขัด
“แน่นอน”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ทว่าเราต้องใช้วิธีอื่น”
ชิ้ง!
เสียงยังไม่ทันขาดหาย ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าก็ร่วงลงสู่มือของซูอี้
ด้วยการฝึกฝนของซูอี้ ใบดาบงดงามราวรัตติกาลของดาบนิลกาฬกลืนฟ้าเปล่งแสงทองแห่งพุทธะเจิดจ้า
สิ่งอันน่าอัศจรรย์นั้นคือรอบ ๆ ดาบนิลกาฬกลืนฟ้ามีคลื่นแสงสว่างแห่งพุทธะกระเพื่อมออกมา แต่ละคลื่นดูราวแท่นปทุม และบนแท่นปทุมก็มีเงาพระพุทธองค์ฉายอยู่
เสียงสวดภาวนา เสียงสวดของพระวิถีเซน เสียงเครื่องเคาะจังหวะและเสียงกราบกรานถักทอเป็นเสียงสันสกฤตอันกังวานเกินคณา สะท้อนในโถงอย่างไร้สิ้นสุด
ดาบมหาธรรมสว่างหล้า!
หนึ่งในสี่มรดกวิถีดาบหลักแห่งแดนบูรพาน้อย เช่นเดียวกับ ‘ดาบข้ามกังวลสู่สรวง’ ‘ดาบสลักเมตตาถามฤทัย’ และ ‘ดาบสะท้อนสว่างว่าง’ ซึ่งล้วนแต่เป็นคัมภีร์ดาบพุทธะขั้นสุดยอด
แม้ว่าซูอี้จะไม่ใช่ผู้ฝึกตนในวิถีพุทธ ทว่าในอดีตชาติ เขาเคยนั่งสนทนากับ ‘หลวงจีนเยี่ยนซิน’ ผู้อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิแห่งแดนบูรพาน้อยถึงความเข้าใจและมรดกวิถีพุทธ ซึ่งทำให้หลวงจีนเยี่ยนซินชมเขาไม่หยุดปาก
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากมีผู้ฝึกตนจากแดนบูรพาน้อยผู้ใดมาเห็น ‘ดาบมหาธรรมสว่างหล้า’ ที่ชายหนุ่มใช้ พวกเขาจะตกตะลึงเป็นแน่แท้
และเมื่อได้เห็นวิชาดาบอันงดงามตระการตานี้ หัวใจของหนิงซือฮวาก็อดสั่นสะเทือนไม่ได้ ประโยคหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในใจนาง ‘วิชาดุจเทพ คว้าทุกวาสนา’!
วงคลื่นแสงพุทธะเจิดจ้ากระเพื่อมไหว ชะความหดหู่ในใจของหนิงซือฮวาราวกระแสน้ำอุ่น ร่างของนางดูเหมือนได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการ
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
“ฆ่า!”
เสียงตะโกนสะเทือนเลือนลั่น
จิตซากศพทั้งเจ็ดสิบสองตนใช้ดาบวิญญาณเบื้องหลังพวกเขา พุ่งเข้าใส่ซูอี้และหนิงซือฮวาพร้อมด้วยปราณซากศพแข็งกล้า
อำนาจที่จิตซากศพแต่ละตนสำแดงออกมาต่างดุร้ายไร้ขอบเขต มากพอจะทำให้ผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณหวาดกลัวได้
และเมื่อพวกเขารวมตัวกันพุ่งทะยานเข้ามา ก็เหมือนดั่งกองทัพวิญญาณร้ายจากเบื้องลึกแห่งปรโลก!
กระทั่งผู้ที่อยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณยังต้องหลบคมดาบพวกเขา!
“ช่างน่าสงสารจริง ๆ ถูกควบคุมแม้หลังความตาย”
ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ
ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าในมือของเขาแทงสู่อากาศ
ลำแสงพุทธะและเงาดาบกวาดวูบ ดูนุ่มนวลเยี่ยงระลอกคลื่น ทว่ายามฟันออกไป มันกลับตามติดด้วยลำแสงพุทธะอันไร้ประมาณ และเสียงสวดสันสกฤตดังก้องสะเทือนหล้า!
ตู้ม!
ดาบวิญญาณที่จิตซากศพเหล่านั้นสำแดงออกมาแข็งแกร่งและน่ากลัวยิ่งนัก ทว่าพวกมันก็ถูกขวางกลางอากาศโดยเพลงดาบมหาธรรมสว่างหล้าอันแข็งแกร่ง
ไม่อาจเข้ามาได้!
จิตซากศพที่พุ่งมาตรงหน้าสุดเป็นชายร่างสูง เขาถูกดาบมหาธรรมสว่างหล้ากวาดกระเด็น ร่างของเขามอดไหม้หายไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา
จากนั้น ซูอี้ก็ก้าวเข้ามาพลางกวัดแกว่งดาบอย่างต่อเนื่อง เงาดาบกระเพื่อมกวาดเป็นวงซ้อนกันวงแล้ววงเล่า เสียงบริกรรมสันสกฤตกึกก้องกังวาน ภาพฉายที่ดูประดุจพระพุทธองค์ปรากฏขึ้นบนแท่นปทุมสยบมารครั้งแล้วครั้งเล่า
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
จิตซากศพที่เทียบได้กับผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณในยามนี้ดูราวกับตกสู่ทะเลแสงพุทธะ
ปราณดาบกวาดผ่าน เสียงของมันดังราวเกลียวคลื่น แผดเผาร่างของพวกเขาเปลี่ยนเป็นธุลีละลิ่วล่อง
กระทั่งจิตซากศพในขอบเขตสยายวิญญาณยังถูกกดข่มอย่างหนักภายใต้อำนาจแห่งเพลงดาบธรรมะขั้นสูงสุด
ภาพเหล่านั้นทำให้หนิงซือฮวานิ่งอึ้งราวเสียวิญญาณ
ยามนี้ ซูอี้ดูราวกับเป็นพระพุทธองค์เดินดิน สังหารปีศาจปราบมาร ทำลายบรรยากาศชั่วร้าย ส่องแสงธรรมสว่างหล้า
ภายในเวลาไม่ถึงสิบอึดใจ
จิตซากศพทั้งเจ็ดสิบสองตนก็ถูกชำระล้างสิ้น!
และเรื่องยังไม่จบ
แขนเสื้อของซูอี้สะบัดไหว เขาพลันฟาดดาบนิลกาฬกลืนฟ้าสู่ความว่างเปล่า
ตู้ม!
ปราณดาบเจิดจ้าแผดเผาแผ่ไปรอบ ๆ และแท่นจองจำทั้งเจ็ดสิบสอง ซึ่งตั้งอยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ กันก็พังทลาย
พลังของค่ายกลจองจำซึ่งแต่เดิมปกคลุมบริเวณโดยรอบก็สลายหายสูญ
ในขณะเดียวกัน สายตาของซูอี้หันไปมองตะเกียงทองแดงสีฟ้าเหนือห้องโถงพลางกล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้ายังอยากเล่นอยู่อีกหรือไม่?”
หนิงซือฮวามองตามซูอี้อย่างไม่ตั้งใจ
และนางก็เห็นเงาสีแดงสดของตะเกียงทองแดงสีฟ้าสั่นไหว เงาร่างเลือนรางของสตรีผู้หนึ่งผลุบโผล่ท่ามกลางแสงเงา
สตรีผู้นี้คือผู้ใด?
หนิงซือฮวาแปลกใจ
ซ่า!
ตะเกียงทองแดงสีฟ้ามีขนาดเพียงฝ่ามือ ทว่ายามนี้กลับมีเสียงราวสมุทรกระเพื่อม
จากนั้น แสงสีเลือดก็สาดส่องออกมาสู่อากาศ และค่อย ๆ ก่อร่างเป็นสตรีผู้หนึ่ง
นางมีผมขาวดุจหิมะ สวมชุดกระโปรงยาวสีเลือด ร่างสะโอดสะองงดงาม และดวงตาคู่งามสีฟ้าอันเย็นชาพิลึก
เมื่อนางปรากฏกาย ภาวะดาบสีเลือดก็ปกคลุมร่างของนาง สร้างบรรยากาศเย็นเยือก
สตรีผมขาวในอาภรณ์สีเลือดแบมือออก แล้วตะเกียงทองแดงสีฟ้าก็ร่วงลงบนฝ่ามือของนาง
จากนั้นก็ก้าวเดินอย่างแช่มช้า ปรากฏขึ้นบนอากาศไม่ไกลจากซูอี้ กระโปรงปลิวพลิ้ว บรรยากาศดุร้าย ใบหน้างดงามของนางดูราวนางเซียน!
ดวงตาของหนิงซือฮวาเจ็บแปลบ จิตใจราวถูกมีดกรีด นางก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว ไม่กล้ามองไปยังสตรีผมขาวในอาภรณ์สีเลือด
บรรยากาศของอีกฝ่ายดุร้ายน่าหวาดหวั่นเกินไป!
“สหายเต๋ามีวิชาล้ำเลิศ ต้องเป็นผู้เก่งกาจไม่ธรรมดาแห่งยุคเป็นแน่แท้”
สตรีผมขาวในอาภรณ์สีเลือดกล่าวด้วยเสียงที่เย็นชาดั่งคมดาบ “ทว่า ที่แห่งนี้คือแดนไร้วจีแห่งหอเซียนดาบ พวกเจ้ารุกล้ำเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต หากไม่อยากตาย เจ้าควรพาเพื่อนสตรีผู้นั้นจากไปทันที”
ซูอี้ยิ้ม ไม่สนใจคำข่มขู่ในวาจาของอีกฝ่าย ดวงตาของเขามองไปที่ศพของไป๋จ่างเฮิ่นด้านในโถง ก่อนกล่าววาจาออก
“กาลก่อน ผู้ที่ร่วมมือกับดาบปีศาจเทวทัณฑ์สังหารไป๋จ่างเฮิ่นคือเจ้าหรือไม่?”
นี่คือฆาตกรอีกคนหรือ?
สตรีผมขาวในอาภรณ์สีเลือดขมวดคิ้วกล่าว “สหายเต๋า เจ้าตัดสินใจไม่จากไปแล้วหรือ?”
นางไม่ตอบ แต่บรรยากาศรอบตัวนางน่าหวาดหวั่นขึ้นเรื่อย ๆ
“เจ้าเล่า เหตุใดจึงยังไม่จากไป?”
ซูอี้ถามอย่างเฉยเมย ท่าทางผ่อนคลาย “ยามนี้ อำนาจจองจำที่ปกคลุมโลกภายนอกสลายไปแสนนาน ด้วยวิถีเต๋าของเจ้า ไม่ยากเลยหากจะไปจากที่นี่”
สตรีผมขาวในอาภรณ์สีเลือดขมวดคิ้วมากขึ้นเรื่อย ๆ นางจะไม่เห็นได้เช่นไรว่าซูอี้ไม่สนใจคำขู่ของนางแม้แต่น้อย?
หลังเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาสีฟ้าของนางก็มองตะเกียงทองแดงสีฟ้าในมือ ก่อนกล่าวว่า “ข้ารอคนผู้หนึ่งอยู่”
ซูอี้ส่ายหน้าพูด “เปล่าหรอก ในความเห็นข้า เจ้ากำลังรอดาบปีศาจเทวทัณฑ์อยู่ต่างหาก”
ม่านตาของสตรีผมขาวในอาภรณ์สีเลือดหดตัวเล็กน้อยราวประหลาดใจ
เห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็พูดต่อ “ทว่าดาบนี้ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว”
สตรีผมขาวในอาภรณ์สีเลือดกล่าวอย่างเฉียบขาด “ไม่มีทาง!”
ประโยคนี้พิสูจน์ได้อย่างไม่ต้องสงสัย ว่านางรอดาบปีศาจเทวทัณฑ์อยู่จริง ๆ!
ประโยคนี้ทำให้เกิดพายุขึ้นในใจของหนิงซือฮวา และในที่สุดนางก็เข้าใจว่าก่อนหน้านี้ เหตุใดชิงลั่วจึงปรากฏตัวนอกซากหอเซียนดาบ
ปรากฏว่าดาบปีศาจเทวทัณฑ์ซึ่งอาศัยอยู่ในสันหลังของชิงลั่วต้องการมาพบสตรีผมขาวในอาภรณ์สีเลือดตรงหน้านางผู้นี้!!