บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 656 เหตุผล
ตอนที่ 656: เหตุผล
ตอนที่ 656: เหตุผล
“เป็นไปไม่ได้?”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ “ราวสองเดือนก่อน ดาบปีศาจนั่นพยายามจะบุกเข้ามาในหอเซียนดาบ แต่แล้วก็บาดเจ็บจนหนีไป ในความคิดข้า ดาบนั่นคงไม่กล้ามาที่นี่อีกในเวลาอันสั้น”
ดวงตาสีฟ้าตรึงตาตรึงใจของสตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดหดตัวกะทันหัน นางเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างหยามเหยียด “ด้วยพลังของชิงลั่วในขอบเขตวงล้อวิญญาณ เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เขาจะ… บาดเจ็บได้เช่นไร?”
ในใจของหนิงซือฮวาเต็มไปด้วยความกลัว ทว่ายามนี้ นางอดกล่าวไม่ได้ว่า “เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตามแต่ แต่ดาบนั่นบาดเจ็บจนหนีไปจริง และชิงลั่วที่เจ้าว่าถูกฆ่าตายแล้ว!”
“ชิงลั่วถูกฆ่า?”
สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดยิ้มเยาะ “วาจาของเจ้าตาลปัตร แม้ว่าชิงลั่วจะบาดเจ็บจนหนีไปเช่นที่เจ้าว่า แต่เขาจะถูกฆ่าอีกครั้งได้เช่นไร?”
หนิงซือฮวาสะดุ้ง
ทว่า ดูเหมือนซูอี้จะมีปฏิกิริยา จากนั้นจึงกล่าวว่า “ที่แท้ นามของวิญญาณในดาบปีศาจก็คือชิงลั่ว”
เทวทัณฑ์คือชื่อของดาบ
ส่วนชิงลั่วคือนามของวิญญาณดาบ!
“มิน่าเล่า เหล่าทาสดาบที่ถูกลบความทรงจำจึงจำได้เพียงตนมีนามว่าชิงลั่ว เขาถูกอิทธิพลของวิญญาณปีศาจนั่นครอบงำอยู่นั่นเอง…”
ซูอี้ได้เข้าใจเสียที
เขามองไปที่ตะเกียงทองแดงสีฟ้าในมือสตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดและกล่าวว่า “หากข้าเดาถูก ยามที่เจ้าและชิงลั่วร่วมมือกันสังหารไป๋จ่างเฮิ่น เจ้าเองก็บาดเจ็บสาหัสและถูกผนึกในตะเกียงทองแดงนี่เช่นกัน และไม่อาจหลุดเป็นอิสระได้ใช่หรือไม่?”
สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าไม่ได้ฆ่าไป๋จ่างเฮิ่น!”
ซูอี้กล่าวพร้อมกับยิ้มว่า “ไป๋จ่างเฮิ่นถูกฆ่า แต่เจ้าถูกขังในตะเกียงทองแดง ชิงลั่ว วิญญาณปีศาจแห่งดาบปีศาจเทวทัณฑ์น่าจะสัญญากับเจ้าไว้ว่าเมื่อเขาหนีไปได้ เขาจะกลับมาช่วยปลดปล่อยเจ้า พาเจ้าไปจากสถานที่อันเดียวดายนี้ ถูกหรือไม่?”
สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดเงียบไป
ทว่าหนิงซือฮวาตระหนักชัดเจนว่ามือซ้ายของสตรีผู้นั้นสั่นไหวน้อย ๆ หลังได้ยินวาจาของซูอี้
การขยับตัวเล็กน้อยนี้พิสูจน์อย่างไม่ต้องสงสัยว่า หัวใจของนางไม่ได้เงียบสงบดั่งที่เห็นภายนอก!
“สหายเต๋า เจ้าไม่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้าหรือว่าด้วยอำนาจของนาง นางควรจะไปจากที่นี่ได้นานแล้ว?”
หนิงซือฮวาถาม
“การจากไป ไม่ได้หมายความว่าจะสิ้นอุปสรรค”
ซูอี้กล่าวสบาย ๆ “เจ้าเห็นตะเกียงสีฟ้าสีมือของนางหรือไม่? หากข้าเข้าใจถูกต้อง นี่คือ ‘ตะเกียงหลอมวิญญาณ’ สมบัติในขอบเขตจักรพรรดิ หากไม่ได้ผู้ใดช่วย นางจะไม่มีทางปลดพันธนาการของตะเกียงนี้ได้”
เมื่อได้ยินวาจานี้ ในที่สุดสีหน้าของสตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดก็แปรเปลี่ยน บรรยากาศรอบตัวนางดุร้ายขึ้นฉับพลัน ก่อนกล่าวว่า “ต่อให้ข้าจะถูกจองจำ แต่การฆ่าเจ้าทั้งสองนั้นเหลือเฟือ!”
แววตาของซูอี้ฉายความดูถูกจาง ๆ ก่อนกล่าวว่า “หากทำได้ ไฉนจึงรอจนยามนี้เล่า?”
“เจ้าอยากตายนักหรือ?”
จิตสังหารเข้มข้นปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงาม มือของนางเงื้อขึ้น
ชิ้ง!
ปราณกระบี่สีขาวหิมะที่ฉาบด้วยแสงสีแดงจาง ๆ ตวัดออกจากฝ่ามือราวกับหยกขาวของนาง
ร่างของหนิงซือฮวาแข็งค้าง ผิวของนางเจ็บแปลบ
ทว่าซูอี้กลับก้าวไปเบื้องหน้า เดินไปพูดกับสตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดว่า “ก่อนหน้านี้ ที่ข้าพูดมากก็เพื่อค้นหาความจริง แต่… ซูผู้นี้จะไม่อาจหยุดวิญญาณดาบน้อยเยี่ยงเจ้าได้จริง ๆ หรือ?”
ร่างสูงของเขาพลันระเบิดพลังแข็งกล้า แววตาลึกล้ำไร้อารมณ์เช่นเคย
แต่บรรยากาศรอบกายเขาแตกต่างจากเก่าก่อนลิบลับ
ม่านตาของสตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดหดตัวเฉียบพลัน
ในสายตาของนาง ชายหนุ่มชุดเขียวซึ่งเดินอยู่ไม่ห่างจากนางเบื้องหน้า จู่ ๆ ก็ขยายร่างสูงใหญ่ไร้ประมาณ ราวเทพเซียนดั้นฟ้า คว้าตะวันจันทราอมเข้าปาก อหังการเย้ยสวรรค์
วิชาดาบเกินพรรณนาสยบปราบจิตใจของนางอย่างหนักหน่วง
นางที่เหม่อลอยเหมือนจะเห็นวิชาดาบพลิ้วไหวจากสุญญะไร้ขอบเขต ฉีกจักรวาลทะลวงมิติเวลา ฟาดฟันเข้าใส่นางด้วยอำนาจสะเทือนทั่วทุกปีแสง
เมื่อเผชิญดาบอันร้ายกาจเพียงนี้ นางรู้สึกราวตนเป็นเพียงมดตัวเล็กน้อย หัวใจไม่อาจคิดหาทางต่อต้านดิ้นรน อยากจะยอมศิโรราบบูชาอย่างช่วยไม่ได้…
ในขณะเดียวกัน ปราณดาบสีขาวหิมะเจือแสงสีแดงที่ผุดจากฝ่ามือของสตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดก็โอดครวญและแตกสลายในทันใด
จากนั้น ร่างบอบบางของสตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดก็สั่นสะท้านรุนแรงราวอยู่บนตะแกรงร่อน สีหน้าซีดเซียวลงทุกขณะ ปรากฏแววตาตื่นกลัว ลนลาน สิ้นหวังและไร้หนทาง
“คุกเข่าลงเสีย”
น้ำเสียงเฉยเมยดังขึ้นในใจของสตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือด
กังวานก้องดั่งอัสนีบาตสะท้านพิภพ
สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดไม่อาจทนไหว นางคุกเข่าลงทั้งสองข้าง เส้นผมยาวสีขาวดุจหิมะพลิ้วลงราวน้ำตก
ยามนี้ ซูอี้ยืนอยู่ตรงหน้านางสามจั้ง มือไพล่ไว้เบื้องหลัง
หนิงซือฮวาตะลึง ดาวตาหงส์งามเบิกกว้าง มองภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ หัวใจสิ้นวาจา เหตุใดตัวตนอันร้ายกาจนี้จึง… คุกเข่าลงกะทันหันเล่า?
การคุกเข่าลงนั้นเป็นวิธีการแพ้อันน่าอับอายยิ่ง
และนับแต่ต้นจนจบ ซูอี้ไม่ได้ทำอันใดเลย เขาใช้เพียงพลังของตนบังคับสตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดให้คุกเข่าลงนั่งทื่อกับพื้น ซึ่งน่าอัศจรรย์โดยไม่ต้องสงสัย
“เจ้า… เป็นใครกัน?”
สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดเงยหน้าด้วยแววตาที่หวาดกลัวอย่างลึกล้ำ
ซูอี้เมินเฉยต่อนาง เอื้อมมือคว้า
แล้วตะเกียงทองแดงสีฟ้าก็ร่วงลงในมือเขา
ไส้ตะเกียงขนาดราวฝ่ามือทรงวิหคอาบอยู่ในน้ำมันสีแดงสด และเงาของตะเกียงอันแผดเผาก็สลัวมัว
ก้นตะเกียงจารึกอักษรปีศาจโบราณไว้สองตัวว่า ‘ฮุ่นเทียน’
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตะเกียงสีฟ้านี้มาจากจักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียน บรรพชนแห่งหอเซียนดาบ
และสายตาของซูอี้ก็ถูกดึงไปยังรอยแตกบนตะเกียงอย่างรวดเร็ว
รอยแตกนี้คือแผลจากดาบอย่างชัดเจน!
“มิน่าเล่า กลิ่นอายของสมบัตินี่จึงเบาบางนัก มันเสียหายอยู่นานแล้ว ซ้ำยังถูกกัดกร่อนด้วยกาลเวลานับพันหมื่นปี หากเป็นยามที่มันสมบูรณ์พร้อม เกรงว่ายามนี้เจ้าคงยังออกจากตะเกียงไม่ได้ อย่าว่าแต่จะออกมาก่อกรรมสักครึ่งก้าวอย่างยามนี้เลย”
ซูอี้เล่นกับตะเกียงทองแดงสีฟ้าในมือและกล่าวเนิบ ๆ “ทว่าวิญญาณของเจ้าถูกหลอมเข้ากับตะเกียงนี้แล้ว เจ้าไม่อาจหนีมันพ้น ชีวิตและความตายล้วนถูกสมบัติชิ้นนี้บงการ ตะเกียงอยู่คนอยู่ สิ้นตะเกียงสิ้นคน”
สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดสั่นเทา มองซูอี้ด้วยความหวาดกลัวอันไม่อาจอธิบายในแววตา
ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ เหตุใดชายในขอบเขตรวบรวมดาราจึงมีสายตาและความตระหนักรู้ที่เฉียบคมนัก
“ยามนี้ข้าคงพอเดาได้แล้ว กาลก่อน ไป๋จ่างเฮิ่นถือตะเกียงนี้และคิดว่าการใช้สมบัตินี้จะสามารถสยบดาบปีศาจเทวทัณฑ์ไม่ให้มันกล้าก่อเรื่องได้”
ซูอี้แสดงสีหน้าครุ่นคิด ขณะกล่าวว่า “แต่เขาไม่น่าคาดฝันว่าเจ้าจะโจมตีเขากะทันหัน ดังนั้นในท้ายที่สุด เขาจึงต้องใช้ตะเกียงนี้หยุดเจ้าก่อน แต่นั่นก็ทำให้ดาบปีศาจเทวทัณฑ์ได้โอกาสสังหารเจ้าหอเซียนดาบรุ่นที่สามและรังไหมหลิงหลงทั้งเจ็ดสิบสอง รวมไปถึงศิษย์หอเซียนดาบผู้อาศัยที่นี่ต่างประสบหายนะถ้วนทั่ว”
สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดกัดฟัน “ข้าบอกว่าข้าไม่ได้ฆ่าไป๋จ่างเฮิ่น ความโลภของเขาสังหารตนเอง!”
ซูอี้แค่นเสียงหึ กล่าวอย่างสนใจมาก “ไหนว่ามา หากเจ้าทำให้ข้าเชื่อได้ ข้าจะมอบหนทางรอดแก่เจ้า”
สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดเงียบไปครู่หนึ่งด้วยสีหน้าซับซ้อน ก่อนจะกล่าวว่า “ในคราแรก เมื่อการจองจำแห่งยุคมืดมาเยือน ท่านจักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนตัดสินใจไม่ให้มรดกของหอเซียนดาบสูญหาย…”
นางกล่าวอธิบายความหลังด้วยเสียงต่ำ
เรื่องราวไม่ได้ซับซ้อน
จักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนเชื่อว่ามีเพียงสองหนทางที่จะทำให้มรดกของสำนักไม่ถูกตัดตอน
เขาพากลุ่มยอดฝีมือจากมหาทวีปคังชิงไปกลุ่มหนึ่ง มุ่งหน้าลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาวอันแสนอันตรายไร้การคาดเดาเพื่อหาสถานที่ฝึกฝนตั้งรกรากใหม่
ในขณะเดียวกัน ยอดฝีมืออีกกลุ่มนำโดยไป๋จ่างเฮิ่นก็อยู่รั้งสำนักเพื่อสร้างรังไหมหลิงหลงทั้งเจ็ดสิบสองในวิหารอันเดียวดาย หาทางหลีกเลี่ยงการจองจำแห่งยุคมืดด้วยวิธีนี้
ก่อนจักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนจะจากไป เขาทิ้งสามสิ่งไว้เบื้องหลัง
หรือคือมรดกที่เขาสร้างขึ้นเอง ‘คัมภีร์ดาบหมื่นวิญญาณ’
หนึ่งคือ ‘ตะเกียงหลอมวิญญาณฮุ่นเทียน’
และอีกหนึ่งคือดาบ ‘สวรรค์พร่างพราย’ ดาบอันดับหนึ่งซึ่งจักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนหลอมยามเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิ
สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดคือวิญญาณดาบของดาบสวรรค์พร่างพราย
ก่อนจะสร้างรังไหมหลิงหลง ชิงลั่ว วิญญาณดาบของดาบปีศาจเทวทัณฑ์ลอบบอกดาบสวรรค์พร่างพราย ว่าไป๋จ่างเฮิ่นตัดสินใจหลอมดาบสวรรค์พร่างพรายอย่างสุดวิถีเพื่อปราบดาบปีศาจเทวทัณฑ์
ยามนั้น ไม่เพียงตัวชิงลั่วจะถูกปราบลงโดยสมบูรณ์เท่านั้น แต่สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดซึ่งเป็นวิญญาณในดาบสวรรค์พร่างพรายก็จะตายลงเช่นกัน
ชิงลั่วเองก็กล่าวว่าเขาช่วยนางออกจากวิกฤตนี้ได้ แต่นางต้องสัญญาว่าจะช่วยชิงลั่วรับมือไป๋จ่างเฮิ่นด้วยกัน
ข้อเสนอนี้ถูกสตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดปฏิเสธ
เพราะคราแรกนางไม่เชื่อว่าไป๋จ่างเฮิ่นจะกล้าหลอมดาบสวรรค์พร่างพราย เพราะถึงอย่างไรจักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนก็ทิ้งมันไว้ และแม้ว่านางจะเป็นวิญญาณดาบแต่งที่นี่ นางก็เหมือนเป็นศิษย์อาจารย์ผู้หนึ่งกับจักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียน
ทว่า สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดไม่คาดว่าหลังสร้างรังไหมทั้งเจ็ดสิบสองอัน ไป๋จ่างเฮิ่นจะลงมือจริง ๆ…
เนื่องด้วยถูกบังคับ นางจึงทำได้เพียงต่อต้าน
สุดท้าย แม้ว่าไป๋จ่างเฮิ่นจะใช้ตะเกียงหลอมวิญญาณปราบนางลงได้ แต่ชิงลั่วก็ฉวยโอกาสสังหารไป๋จ่างเฮิ่นในพริบตา
“ข้าไม่เคยเกลียดไป๋จ่างเฮิ่น เขาใช้ร่างของตนเป็นอาหารให้ดาบ เลี้ยงดูชิงลั่วให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ แต่การฝึกฝนของเขาเองคาอยู่ที่คอขวดไม่อาจเลื่อนขั้นได้แสนนาน ซึ่งหมายความว่าเป็นโอกาสที่เขาจะถูกชิงลั่วกลืนกินมากขึ้นทุกขณะ”
สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดกล่าว “นั่นคือสาเหตุที่เขาพยายามหลอมดาบสวรรค์พร่างพรายเพื่อปราบชิงลั่ว”
“ทว่า แม้ข้าจะเข้าใจ แต่การปล่อยให้ชีวิตของตนดับสูญที่นี่ก็ไม่อาจทำได้ ดังนั้น… ยามนั้นจึงเกิดโศกนาฏกรรม”
สุดท้าย นางก็เงียบเสียงด้วยสีหน้าผิดหวัง
และหลังจากได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้ หัวใจของซูอี้ไม่ได้หวั่นไหวแม้เพียงน้อย
เขามองสตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดและกล่าวอย่างเฉยเมย “ในเมื่อจักรพรรดิปีศาจฮุ่นเทียนทิ้งดาบสวรรค์พร่างพรายไว้ หมายความว่าเขาปล่อยให้ไป๋จ่างเฮิ่นใช้เจ้าได้ตามใจ แต่เจ้ากลับทำร้ายเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงสิ้นใจ กระทั่งเหล่าศิษย์หอเซียนดาบในบริเวณยังตายตกตามเขา เจ้าคิดว่า… เจ้าบริสุทธิ์หรือไร?”
สตรีผมขาวในชุดกระโปรงสีเลือดเงยหน้าขึ้นสบตากับซูอี้ ถามออกไปว่า
“ในฐานะวิญญาณดาบ เราไม่อาจช่วยตนเอง ได้แต่ฝากความเป็นตายให้ผู้อื่นตัดสินใจหรือ?”