บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 66 เทพเจ้าถือมหาดวงตะวัน สาดส่องแก่มวลมนุษย์
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 66 เทพเจ้าถือมหาดวงตะวัน สาดส่องแก่มวลมนุษย์
ตอนที่ 66 เทพเจ้าถือมหาดวงตะวัน สาดส่องแก่มวลมนุษย์
ลูกดอกหน้าไม้แหวกอากาศผ่านความมืดยามฝนกระหน่ำ ข้ามผ่านความว่างเปล่า ส่งเสียงหวีดแหลมชวนสะพรึง
ลูกดอกหน้าไม้จำนวนมากยิงไปยังเป้าหมายหนึ่งเดียว ราวกับห่าฝนที่กระหน่ำซัด ยากจะหลีกเลี่ยงหลบพ้น!
แต่เป็นที่น่าประหลาดใจ บุรุษหนุ่มกลับไม่หลบเลี่ยง!
บุรุษหนุ่มสะบัดโบกพัดในมือรัวเร็วส่งคลื่นพลังลึกลับเข้าปะทะห่าลูกดอกหน้าไม้อย่างกลัวเกรง
กร็อบ! กร็อบ! กร็อบ!
ลูกดอกหน้าไม้ที่รุนแรงเพียงพอจะทะลวงกำแพงกลับหักกลางอากาศ เศษซากของมันกระจัดกระจาย
ชั่วพริบตา ลูกดอกกลุ่มแรกซึ่งเคลื่อนที่เร็วรุกเข้าหาบุรุษหนุ่ม ทั้งหมดกลับถูกทำลายกลายเป็นเศษซาก
ทั้งหมดถูกทำลายสิ้น!
ภาพฉากอันชวนตื่นตะลึงนี้ เป็นเหตุให้ท่าทีสตรีในชุดทหารแปรเปลี่ยน
เพราะมันนับเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็น บุคคลผู้หนึ่งสามารถทำลายห่าลูกดอกหน้าไม้เงาเทวะที่อานุภาพร้ายแรงสำเร็จได้!
แต่กระนั้นแล้ว คณะผู้คุ้มกันเหล่านี้ได้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีเยี่ยม แม้จะประหลาดใจ ทว่าการเคลื่อนไหวกลับไม่รีรอ ห่าฝนลูกดอกหน้าไม้ถูกยิงออกไปอีกระลอก
บุรุษหนุ่มยังคงย่างก้าวไม่หยุด ท่วงท่าราวกับสายรุ้งเคลื่อนไหว หลบเลี่ยงอุปสรรคทั้งหลายโดยง่ายดาย
ทว่าเขาขมวดคิ้ว
เนื่องจากลูกดอกหน้าไม้ที่ยิงใส่ มันส่งผลกระทบต่อความเร็วตัวเขาอย่างเด่นชัด
ก่อนเขาจะทันเข้าใกล้ยิ่งขึ้น ห่าฝนลูกดอกหน้าไม้ระลอกที่สามก็ถึงตัวแล้ว
“ฮึ่ม!”
บุรุษหนุ่มพ่นลมหายใจเย็นชา ใบหน้าอันงดงามทอประกายจิตสังหาร ดวงตาสีแดงประหนึ่งจันทราสีเลือดจู่ ๆ ก็สุกสว่างยิ่งขึ้นพร้อมแผ่ประกายโลหิตอันชั่วร้าย
เสียงผิวปากเบาค่อยดังจากริมฝีปากนั้น ก่อนจะกระจายไปทั่วราตรีพราวสายฝน
สายลมหยินพัดแรง ฟ้าดินปั่นป่วน
หลังเสียงผิวปาก ฝูงแมลงร้องตอบรับท่ามกลางราตรี พร้อมพุ่งทะยานเข้าหาสตรีในชุดทหาร
“แย่แล้ว!” สีหน้ากลุ่มคนแปรเปลี่ยน
เผชิญหน้ากับแมลงปีศาจน้อยใหญ่ขนาดราวนิ้วโป้ง พวกเขาเหลือหนทางเพียงหนึ่ง
นั่นคือทิ้งหน้าไม้เงาเทวะ ใช้อาวุธประชิดตอบโต้
แต่ถ้าหากพวกเขาทำเช่นนั้น มันจะเป็นการเปิดโอกาสให้บุรุษหนุ่มได้รุกคืบง่ายดาย
กลืนไม่เข้าคายไม่ออก!
“พวกเจ้าคุ้มกันคุณหนู! ข้าจะจัดการมันเอง!”
ไม่ช้า อาหย่งก็ทะยานร่างไล่ตามมา
ปราณและโลหิตในกายเขาเดือดพล่าน สองมือถือดาบนภาเยือกแข็งไว้มั่น จิตสังหารปะทุรุนแรง บุกทะยานฝ่าราตรีฝนพราย
บุรุษหนุ่มรูปงามขมวดคิ้ว
สิบแปดผีร้ายที่เขาเรียกมาเมื่อครู่ บัดนี้เหลือเพียงหก เป็นความสูญเสียอันหนักหนา
กระนั้นแล้ว ยามพบเห็นอาการบาดเจ็บของอาหย่ง ดวงตาสีแดงเลือดของบุรุษหนุ่มพลันเผยความหยามเหยียด
มีหรือเขาไม่พบเห็น อาหย่งต่อสู้เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ศัตรูเสียหนึ่งพัน ตัวเขาเสียแปดร้อย!*[1]
“ก็ได้ ในเมื่อเจ้าอยากตาย ข้าจะสนองมอบให้ น่าเสียดายผืนหนังที่ดีเสียจริง…”
บุรุษหนุ่มรูปงามถอนหายใจเบา
ฟึ่บ!
ร่างบุรุษหนุ่มหันกลับในพริบตา พัดที่กางออกเผยพลังอันชั่วร้ายเปี่ยมล้น คลื่นพลังดำมืดจากพัดก่อตัวเป็นมีดอันแหลมคมนับร้อย
เห็นชัดว่าขณะนี้เขาไม่คิดออมมือ นี่เป็นการลงมือเต็มแรง
เพียงพริบตา มีดคมกริบนับร้อยที่ก่อเกิดจากพลังชั่วร้ายพุ่งเข้าหาอาหย่งอย่างดุดัน เสียงหวีดหวิวจากการโจมตีดังเสียดหูราวกับภูตผีนับพันกรีดร้อง
อาหย่งปัดป้องมันด้วยดาบ ราวกับไร้ความกลัวเกรง
กระนั้นมีเพียงตัวเขาที่ทราบ ว่าสถานการณ์ของตนเองกำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน!
อีกฝ่ายน่าสะพรึงจนเกินไป การโจมตีนี้รุนแรงเหนือล้ำยิ่งกว่าขอบเขตปรมาจารย์!
ทั้งยังมีผีร้ายอีกสี่ตนอยู่ใกล้เคียงพร้อมเข้ามาสังหาร หากไม่ใช่เพราะดาบนภาเยือกแข็งในมือ เขาคงไม่อาจอยู่รอดจนถึงตอนนี้
สิ่งหนึ่งที่ทำอาหย่งหวั่นใจ คือการที่สตรีในชุดทหารตกอยู่ในวงล้อมของแมลงปีศาจอันคลุ้มคลั่ง ต่อให้เขารั้งบุรุษหนุ่มตรงหน้าไว้ได้ ก็ไม่มีโอกาสให้ผู้อื่นหลบหนี
“หรือ… เราจะอับจนซึ่งหนทางเสียแล้ว?”
ในใจอาหย่งปรากฏความขื่นขมอันยากบรรยาย
ก่อนหน้านี้เขายังมั่นใจเปี่ยมล้น เขาทะนงตนคิดว่าขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสมบูรณ์แบบ มีดีมากพอจะกวาดล้างภูตผีในภูเขามารดาภูตผีได้
ผู้ใดจะทราบกัน ว่าเพียงเข้ามายังภูเขามารดาภูตผี กลับต้องมาเผชิญหน้าคู่ต่อสู้อันทรงพลังชวนสะพรึง!
ครืน!
ฟากฟ้ายามราตรียิ่งหมองหม่น ลมพายุโหมกระหน่ำ
บริเวณซากวัดร้างครึ่งทางสู่ยอดเขามารดาภูตผี กลับกลายเป็นดั่งแดนมรณะ ประหนึ่งคิดต่อต้านสวรรค์
เพราะอยู่กับคณะผู้คุ้มกัน สตรีในชุดทหารจึงคลายกังวลได้เล็กน้อยเป็นการชั่วคราว
กระนั้นใบหน้าของนางยังคงซีดเผือด คิ้วนั้นแสดงอาการตื่นตระหนกและหวาดกลัวเด่นชัด
หนทางที่ผ่านมานางเติบโตอย่างสุขสบาย อยู่ดีกินดี อิ่มเอมกับความมั่งคั่ง
แต่ไม่ว่าจะสูงส่งหรือต่ำต้อยเพียงใด หญิงสาวอายุเพียงสิบหกปี จะมีสักกี่ครั้งที่ได้ประสบพบเจอเหตุการณ์นองเลือดเช่นตอนนี้?
อีกทั้ง อันตรายที่เผชิญหน้าเวลานี้ยังทั้งประหลาดและชวนสะพรึง ภูตผีรายล้อมอัดแน่น ห่างไกลเกินกว่าที่ผู้บ่มเพาะธรรมดาเคยเผชิญ!
ในหัวของสตรีชุดทหารว่างเปล่า ราวไม่ทราบแล้วว่าควรทำอย่างไร
แม้ขณะนี้คิดหลบหนี ก็ไร้ซึ่งโอกาสแล้ว!
“ทุกคนที่นี่กำลังจะตายงั้นหรือ…”
สตรีในชุดทหารเกิดสลดใจ ความรู้สึกผิดอันยากจะพูดกล่าวบังเกิดขึ้น
นางดื้อรั้นจะมายังภูเขามารดาภูตผีครั้งนี้ เพื่อคิดนำสมุนไพรวิญญาณกลับไปเป็นของขวัญวันเกิดบิดา ผู้ใดกันจะคาดคิดว่าจะกลับกลายเป็นเหตุหายนะ?
หากทราบแต่แรก…
ทันใดนี้เอง สตรีในชุดทหารพบเห็นร่างสูงเดินผ่านเข้ามาจากทางหางตา
“เจ้าคิดทำอะไร?”
สตรีในชุดทหารตื่นตกใจ ถ้อยคำถามออกราวไม่รู้ตัว
“ฆ่าศัตรู” ซูอี้กล่าวตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“หน้าโง่! คิดจะสร้างปัญหาควรดูเวล่ำเวลา เวลาเช่นนี้ยังกล้าอวดดี! สร้างปัญหาให้น้อยลงจะตายหรือยังไง!?”
เพราะสตรีในชุดทหาร อัดอั้นโทสะที่มีต่อซูอี้เอาไว้โดยตลอด รวมกับอาการตื่นตระหนกและสิ้นหวังขณะนี้ จึงกลายเป็นโพล่งเอาโทสะออกไปหมดสิ้น
กลุ่มผู้คุ้มกันกำลังปะทะแมลงปีศาจอันดุดันใกล้เคียงต่างเผยสีหน้าอัปลักษณ์เช่นกัน
หนึ่งในกลุ่มคนตะโกนดังออกมา “คุณหนู อย่าได้สนใจมัน ข้าทนมามากพอแล้ว หากมันอยากตาย ก็ปล่อยให้มันตาย!”
กัวปิ่งเกิดไม่สบายใจ ถ้อยคำกล่าวออกอย่างนึกกังวล “ท่านเขยกลับมาเถอะ! รีบกลับมา!”
“ที่ข้าเดินทางมายังภูเขามารดาภูตผี ก็เพื่อล่าเหยื่อเช่นมันตรงหน้า” ซูอี้กล่าวอย่างสงบ
สิ้นคำกล่าว ภายใต้สายตาขุ่นเคืองของสตรีในชุดทหารและคณะ พวกเขาเบิกตากว้างรับชมผู้ก้าวเดินออกไป
หาได้มีผู้ใดทันสังเกตไม่ ขณะที่ซูอี้ก้าวเดิน แมลงปีศาจทุกตัวใกล้เคียงถอยหลบ ราวไม่กล้าเข้าใกล้ ตลอดเส้นทางเดินของตัวเขาไร้ซึ่งอุปสรรคใดกีดขวาง!
อีกทางหนึ่ง สถานการณ์ของอาหย่งก็ตกอยู่ในอันตรายรุนแรง
แม้ว่าจะสังหารผีร้ายอีกสี่ตัวที่เหลือแล้ว ตัวเขากลับต้องจ่ายด้วยราคาอันสูงล้ำ ร่างถูกกัดกร่อนด้วยปราณชั่วร้าย จนผิวหนังแปรเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ
และยิ่งเมื่อรับมือกับบุรุษหนุ่มตรงหน้า ตัวเขายิ่งชอกช้ำและกระอักเลือด พลังในกายแทบจะแห้งเหือดหมดสิ้น
บุรุษหนุ่มลงมือหนักหน่วง ใบหน้างดงามมีเสน่ห์กลับเผยความเย็นชาและโหดเหี้ยม ยามเมื่อโบกพัด มันเกิดเป็นรัศมีประหนึ่งคมมีดตัดผ่านอากาศ สร้างความสะพรึงแก่ผู้พบเห็น
ขณะนี้บุรุษหนุ่มเลิกทุ่มสุดตัว แต่เป็นประหนึ่งแมวหยอกหนู นัยน์ตาสีเลือดทอประกายเย็นเยือก ประหนึ่งกำลังสนุกสนานที่ได้หยามเหยียด
หากไม่ใช่เพราะหวาดเกรงดาบนภาเยือกแข็ง ด้วยพละกำลังตัวเขา คงจัดการอีกฝ่ายสำเร็จในอึดใจเดียวแล้ว
อาหย่งหอบหายใจอย่างชวนเวทนา
ตัวเขาเดินทางท่องเขตปกครองอวิ๋นเหอนับสิบปี หาได้เคยคาดคิด ว่าจะต้องมาประสบเคราะห์กรรมที่ภูเขามารดาภูตผีแห่งนี้
เรื่องชวนขบขันยิ่งกว่า คือเวลานี้ ตัวเขายังไม่อาจตระหนักได้ถึงก้นบึ้งพลังของอีกฝ่าย…
“ช่างมันแล้ว ชีวิตเฒ่าชรานี้ข้ายอมแลก สร้างโอกาสอันน้อยนิดให้คุณหนู!”
ชั่วขณะนี้เอง ที่แววตาอาหย่งกลายเป็นแน่วแน่
ร่างนั้นคำรามเสียงปะทุราวเตาไฟอันร้อนระอุ ปราณในกายพวยพุ่ง พละกำลังกลับกลายเป็นแข็งกล้าขึ้นมาในฉับพลัน
แต่แล้วก่อนที่เขาจะทุ่มเทชีวิต บุรุษหนุ่มตรงหน้ากลับหยามเหยียด “คิดว่าแค่นั้นพองั้นหรือ?”
ตู้ม!
หลังจากเอ่ยคำจบ บุรุษหนุ่มสะบัดพัดในมือรุนแรงส่งปราณชั่วร้ายสีเลือดพุ่งทะยานออก ทันทีที่ปราณชั่วร้ายสีเลือดนี้ปรากฏราวกับทั้งโลกตกอยู่ในช่วงเหมันตฤดูอันหนาวเหน็บ กระแสไอเย็นเสียดแทงกระดูกฟุ้งกระจาย แช่แข็งเม็ดฝนใกล้เคียง กระทั่งโคลนดินยังถูกแช่แข็ง
หากผู้ใดเข้าใกล้ คงไม่พ้นกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง แม้ชีวิตก็ไม่หลงเหลือ!
อาหย่งที่อ่อนล้าถึงที่สุดแล้ว เขาพยายามกวัดแกว่งดาบต่อสู้อย่างสิ้นหวัง แต่น่าเสียดายที่การต่อต้านนั้นไร้ผล ร่างของเขาแปดเปื้อนปราณชั่วร้ายสีเลือดอย่างช่วยไม่ได้
ความรู้สึกของเขาขณะนี้ราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง ทั้งร่างขยับเคลื่อนไหวช้าลง ราวกับปลาที่ใกล้ถูกเยือกแข็ง จนสุดท้ายไม่อาจขยับ
“อาหย่ง!”
สตรีในชุดทหารร้องออกด้วยอาการตื่นตระหนกเมื่อเห็นอาหย่งกำลังถูกแช่แข็งโดยมารหยินหกสมบูรณ์
กลุ่มผู้คุ้มกันพบเห็นสภาพของอาหย่ง พวกเขาราวกับถูกฟ้าผ่าเข้าใส่ อาหย่งที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเขา ยังตกสู่สภาวะเช่นตอนนี้ เช่นนั้นแล้วผู้ใดในกลุ่มจะสามารถต่อกรอีกฝ่ายได้?
“จบแล้ว…”
อาหย่งขณะนี้ยังไม่สิ้นชีวิต ทว่าตระหนักได้ถึงกลิ่นอายของความตายที่คืบคลาน
ใจเขาแทบสลาย แต่ในขณะที่กำลังคิดยอมจำนน ชั่วขณะนี้เอง เขากลับได้เห็นถึงร่างหนึ่งที่เดินเข้ามาใกล้
เดี๋ยวนะ!
เจ้าหนุ่มซูอี้ปรากฏตัวตรงนี้ได้เช่นไร?
อาหย่งหาได้มีความประทับใจใดต่อซูอี้ เพราะมองว่าอีกฝ่ายเย่อหยิ่ง และถือตัวล้นพ้น
แต่โดยไม่คาดคิด ว่าช่วงเวลานี้ อีกฝ่ายจะพร้อมเสี่ยงชีวิตมาช่วยเขา ประหนึ่งผีเสื้อกลางคืนบินเข้ากองไฟ ภาพนี้มันทำเอาอาหย่งเกิดตระหนักได้
เจ้าหนุ่มผู้นี้… หาญกล้าชาญชัย!
กระนั้นแล้ว กับสถานการณ์เช่นตอนนี้ เพียงความกล้าไม่อาจกระทำสิ่งใดได้…
ชั่วขณะนี้ ซูอี้เข้ามาใกล้ สายตามองยังบุรุษหนุ่มที่อยู่ไม่ไกล ถ้อยคำกล่าวเฉยเมย
“ไม่นึกคิดว่าซากศพหยินหกสมบูรณ์ตัวน้อยอย่างเจ้า จะบรรลุถึงขั้นมีสติปัญญานึกคิด แถมยังรู้จักใช้ร่างศพเพื่อฝึกฝน แต่โชคร้ายที่ความดุร้ายในส่วนลึกเป็นอุปสรรคจนไม่อาจขัดเกลาปราณในร่างได้อย่างสมบูรณ์”
บุรุษหนุ่มนิ่งงันไปครู่ นัยน์ตาสีแดงชาดนั้นประหลาดใจมองยังซูอี้ “เจ้าทราบได้อย่างไร?”
ซูอี้เพียงส่ายศีรษะ “ข้าคร้านจะอธิบายให้เศษเดนเช่นเจ้าได้ทราบ ข้าให้โอกาสเจ้าครั้งหนึ่ง คุกเข่าตรงนี้อ้อนวอนขอเมตตา ข้าจะให้เจ้าได้ตายสบายกว่าที่ควร”
“เจ้า…เจ้าบอกให้ข้าคุกเข่าขอความเมตตางั้นหรือ?”
บุรุษหนุ่มบังเกิดท่าทีแปลกประหลาด เขายากจินตนาการได้ว่าถ้อยคำเหล่านี้จะปรากฏออกจากปากเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง
ซูอี้เพียงส่ายศีรษะและถอนหายใจ
อย่างที่รู้กัน สัตว์ป่าหรือวิญญาณอันชั่วร้าย ย่อมไม่ต่างอะไรกับผู้มีดวงตามืดบอด
เขาไม่นึกลังเลใดอีก ก่อนจะสะบัดชายเสื้อ
จู่ ๆ แสงสิบแปดดวงปรากฏขึ้นหมุนวนโคจรรอบตัวซูอี้ ยามมองให้ใกล้ จะพบว่าเป็นซีกไม้ไผ่ ที่สว่างราวหยกเขียวต้องแสงไฟ แต่ละอันนั้นแกะสลักไว้ด้วยอักขระลวดลายตระการตา
ถัดมา แต่ละซีกไม้ไผ่ ทอประกายส่องสว่างเปลี่ยนเป็นเงาดาบหนึ่งเล่มต่อหนึ่งซีก หมุนคว้างกลางอากาศ ก่อนจะลอยเข้าควบรวมกันก่อแน่นขึ้นเป็นดาบประกายแสงหนึ่งเดียว
ดาบประกายมรกตเจิดจ้าประหนึ่งมหาดวงตะวัน ลอยล่องอยู่กลางอากาศ ยาวประมาณสามฉื่อ ลวดลายอักขระบิดม้วนพันรอบราวโซ่สวรรค์คล้อง เปล่งรัศมีพลังอันลึกล้ำยากหยั่งได้ถึงก็ปรากฏ
ยามเมื่อมันปรากฏ แสงสว่างเจิดจ้าทอประกายท่ามกลางฝนพร่างพรายยามราตรี ทิศทั้งสิบสว่างไสว ประหนึ่งมหาดวงตะวันบังเกิดขึ้นจากห้วงความมืดมิด
มือซูอี้ขยับเคลื่อนไหว ดาบประกายมรกตร่วงหล่นยังฝ่ามือ
ชั่วขณะนี้ ตัวเขาเปรียบดังเทพเจ้าผู้ถือซึ่งมหาดวงตะวันในฝ่ามือ
สาดส่องแสงเจิดจ้า ส่องสว่างแก่มวลมนุษย์!!
[1] ศัตรูเสียพัน ตัวเขาเสียแปดร้อย มีความหมายว่า แม้อีกฝ่ายเสียหายหนัก แต่ตัวเองก็เสียไปไม่ยิ่งหย่อน