บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 663 คืนนี้อยู่ต่อเถิด
ตอนที่ 663: คืนนี้อยู่ต่อเถิด
ตอนที่ 663: คืนนี้อยู่ต่อเถิด
เงาแสงเจิดจ้ารอบตัวซูอี้ค่อย ๆ เจือจางลง พลังทั้งตัวของเขาราวกับถูกชะล้างความฟุ้งเฟ้อออก กลายเป็นความเรียบง่ายสมถะอย่างเหลือแสน
“ยินดีด้วยสหายเต๋า”
นักพรตเฒ่าเนื้อตัวสกปรกมอมแมมรีบกระเถิบเข้ามา ใบหน้าชรานั้นเต็มไปด้วยความทึ่งและความนับถือ
“เจ้าตั้งใจมาหาข้าหรือ?” ซูอี้ถาม
เมื่อโดนสายตาเรียบนิ่งของซูอี้จับจ้อง ร่างของนักพรตเฒ่าเนื้อตัวสกปรกมอมแมมก็ตึงเครียดขึ้นมา ความกดดันประหม่าก่อตัวขึ้นในใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เขาไม่กล้าลังเล และรีบตอบไป “ใช่แล้ว!”
ซูอี้กล่าว “เป็นเรื่องด่วนหรือไม่”
นักพรตเฒ่าเนื้อตัวสกปรกมอมแมมชะงักไปแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไม่นับว่าด่วนเท่าใด”
เขากำลังจะกล่าวต่อ ทว่าซูอี้กลับโบกมือขัดขึ้นเสียก่อน “ในเมื่อไม่ด่วน ไว้ค่อยพูดก็ได้”
หนนี้นักพรตเฒ่าเนื้อตัวสกปรกมอมแมมมีเรื่องขอร้อง มีหรือจะกล้าคัดค้าน?
เขาพยักหน้าทันที “สหายเต๋าเพิ่งผ่านพ้นมหาภัยพิบัติใหญ่มา เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องทำให้ขอบเขตมั่นคง ขัดเกลารากฐาน ข้าเข้าใจ”
ซูอี้หัวเราะ “ผิดแล้ว วันนี้เป็นวันเกิดข้า ข้าอารมณ์เบิกบาน ย่อมต้องดื่มให้หนำใจ หากเจ้าไม่รังเกียจ มาดื่มเหล้าด้วยกันเถิด”
พูดไป เขาก้าวยาว ๆ ไปทางหอเซียนดาบ
หนิงซือฮวาเห็นดังนั้น ก็อมยิ้มพลางกล่าว “วันนี้ควรค่าแก่การฉลองจริง ๆ แม้จะดึกแล้ว ก็ต้องเมามายให้สมใจอยาก ข้าจะไปเตรียมงานเดี๋ยวนี้”
พูดจบ นางพาคนอื่น ๆ ออกไปอย่างเร่งรีบ
นักพรตเฒ่าเนื้อตัวสกปรกมอมแมมยืนงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วรีบไล่ตามขึ้นไป “ขอบคุณสหายเต๋าที่มีน้ำใจเชื้อเชิญ เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจล่ะ”
ไม่นานนัก ทั้งหมดก็หายไปจากทางเข้าหอเซียนดาบ
…..
ที่งานเลี้ยง
เสียงหัวร่อต่อกระซิกดังอยู่เนือง ๆ เสียงพูดคุยเคล้าไปกับบรรยากาศชื่นมื่น
นาน ๆ ซูอี้จะอารมณ์ดีเช่นนี้ เขาดื่มกับทุกคนอย่างหนักหน่วง ผู้ใดขอชนเขาไม่มีปฏิเสธ
สามหมื่นหกพันวันที่ผ่านมาในร้อยปีนี้ แต่ละวันควรค่าแก่การดื่มสักสามร้อยจอก!
อย่างที่เขาว่ากัน ชีวิตคนเราควรเสพสุขให้พอ และก็เป็นตามนั้นจริง ๆ
“พี่ซูอี้ มหาภัยพิบัติแปรเปลี่ยนวิญญาณน่ากลัวอย่างที่ท่านพบเจอทุกครั้งเลยหรือ?”
เหวินหลิงเสวี่ยถาม
หญิงสาวดื่มเหล้าเข้าไปเช่นกัน ดวงหน้าเพริศพริ้งเหนือผู้คนแดงระเรื่อ นัยน์ตาเป็นประกาย งดงามยิ่งนัก
คนมากมายมีท่าทีใคร่รู้
ซูอี้ส่ายหัวยิ้ม ๆ “มหาภัยพิบัติแปรเปลี่ยนวิญญาณแตกต่างออกไปตามผู้ผ่าน ทว่ามหาภัยพิบัติที่เป็นของข้านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่งผลให้อานุภาพน่ากลัวไปหน่อยก็เท่านั้น”
เมื่อเห็นหญิงสาวยังไม่ค่อยเข้าใจนัก ซูอี้จึงอธิบายเรื่องของการผ่านมหาภัยพิบัติแปรเปลี่ยนวิญญาณให้นางฟังอย่างละเอียด
สิ่งที่เขาได้บอกเล่า เป็นสิ่งที่ได้ตระหนักรู้ถึงกลไกของมหาภัยพิบัตินี้
อย่างเช่นอานุภาพและความลับสวรรค์ของมหาภัยพิบัติแปรเปลี่ยนวิญญาณ ภยันตรายต่าง ๆ ที่ต้องเผชิญขณะผ่านมหาภัยพิบัติ รวมถึงวิธีบรรลุถึงจุดสูงสุดขณะผ่านมหาภัยพิบัติ
ด้วยประสบการณ์ ณ เก้ามหาดินแดนมาตลอดหนึ่งแสนแปดพันปีในชาติก่อนของซูอี้ ความเข้าใจที่มีต่อมหาภัยพิบัติแปรเปลี่ยนวิญญาณย่อมเกินกว่าปุถุชนทั่วไป
ผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดอย่างพวกเหวินหลิงเสวี่ยล้วนฟังด้วยความทึ่ง รู้สึกเหมือนหมู่เมฆที่บดบังพระอาทิตย์ถูกปัดป้องออก
และสำหรับขอบเขตสยายวิญญาณอย่างอิงเชวีย เขาพลันเข้าใจว่าที่แท้มหาภัยพิบัติแปรเปลี่ยนวิญญาณยังมีความเร้นลับและมหัศจรรย์อยู่มากถึงเพียงนี้!
ยิ่งทำให้พวกเขาสะท้อนใจ
มหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณส่วนใหญ่ในโลกนี้ต่อให้ผ่านมหาภัยพิบัติแปรเปลี่ยนวิญญาณไปได้ แต่ความเข้าใจที่มีต่อมหาภัยพิบัตินี้ก็แค่ผิวเผินเท่านั้น!
ส่วนซูอี้เข้าใจทั้งผิวเผินและแก่นราก!
ไม่นานนัก คนอื่น ๆ ในที่นี้ทยอยกันตั้งคำถาม ขอคำแนะนำด้านปัญหาโจทย์หินที่ประสบขณะฝึกฝนจากซูอี้อย่างนอบน้อม
ซูอี้ดื่มเหล้าไปพลาง ช่วยไขคำตอบให้พวกเขาไปพลาง
ด้วยประสบการณ์ของเขา ชี้แนะการฝึกฝนให้คนในที่นี้ย่อมไม่เปลืองแรง
นักพรตเฒ่าเนื้อตัวสกปรกมอมแมมคอยฟังอยู่ข้าง ๆ มาตลอด คำชี้แนะเหล่านั้นฟังเหมือนไม่ใส่ใจ ทว่ากลับทำให้เขาสะท้านใจจนสงบไม่ลง
จวบจนได้เห็นซูอี้ไขความกระจ่างการฝึกฝนให้ปีศาจขอบเขตสยายวิญญาณอย่างอิงเชวียได้ด้วย นักพรตเฒ่าเนื้อตัวสกปรกมอมแมมก็อึ้งงันไป สติหลุดลอยไปอย่างสิ้นเชิง
จนกระทั่งงานเลี้ยงเลิกรา
ซูอี้ดื่มจนเริ่มกรึ่ม ๆ
การดื่มเหล้าหากใช้พลังฝึกคลายฤทธิ์สุรา นับว่าเสียของและทำลายบรรยากาศอย่างยิ่ง
นักพรตเฒ่าเนื้อตัวสกปรกมอมแมมไล่ตามเข้ามา เอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ “สหายเต๋า ที่ข้ามาหาคราวนี้ เป็นเพราะ…”
ซูอี้เหลือบมองเขา ก่อนจะแทรกขึ้น “ค่อยคุยกันพรุ่งนี้”
นักพรตเฒ่าเนื้อตัวสกปรกมอมแมม “…”
ซูอี้ไม่สนใจเขา เดินจากออกไป
คนที่มีกลิ่นอายขุ่นหมองจากทะเลทุกข์ตั้งใจมาหา เรื่องที่อีกฝ่ายขอร้องย่อมไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ
ตอนนี้ซูอี้อารมณ์ดี ไม่อยากให้เรื่องอื่นมาทำลาย
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็ได้”
นักพรตเฒ่าเนื้อตัวสกปรกมอมแมมลอบถอนหายใจ
……
ภายในห้อง
ซูอี้นั่งเซตัวอยู่อย่างนั้น ทั้งตัวฟุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้า แต่อารมณ์ผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
การก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณในครานี้ เปรียบเสมือนการทะลวงกำแพงขวางกั้นสำคัญที่ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางฝึกฝน นับแต่นี้ต่อไปอีกยาวนาน ไม่จำเป็นต้องปวดหัวกับเรื่องบรรลุขอบเขตอีกต่อไป
“ด้วยความเร็วการฝึกฝนของข้าในเวลานี้ บางทีอาจใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปีก็ไปถึงขอบเขตวงล้อวิญญาณได้!”
“ทว่า หาได้ต้องร้อนใจไม่ เส้นทางวิถีวิญญาณฝึกฝนหลักเต๋า ขัดเกลาต้นกำเนิดวิญญาณ รากฐานมหาวิถีที่สั่งสมนั้นยิ่งสมบูรณ์ เมื่อได้บรรลุขอบเขตจักรพรรดิก็ยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้น…”
“หลังจากนี้ หนึ่งต้องทำให้พลังวิถีมั่นคง สองต้องหลอมรวมหลักเต๋า สามต้อง…”
ซูอี้เพิ่งคิดมาถึงนี่ ประตูห้องก็โดนผลักออก
ฉาจิ่นยกข้าวต้มร้อนถ้วยหนึ่งเดินเข้ามา พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คุณชาย นี่คือแกงหน่อไม้วิญญาณไป๋เป่าที่พี่หนิงต้มให้ ท่านลองชิมดูนะเจ้าคะ”
นางสวมกระโปรงยาวสีเรียบปักลายดอกไม้ ผมดำสลวยประดุจสีหมึกเกล้าขึ้นหลวม ๆ คอเนียนระหง ผิวผ่องสกาว
อาจเพราะดื่มเหล้ามา ดวงหน้างดงามพราวเสน่ห์นั้นแดงระเรื่อใต้แสงเทียนชวนหลงใหล
ในบรรดาสตรีที่ซูอี้รู้จัก รูปโฉมของฉาจิ่นเรียกได้ว่าอันดับหนึ่ง เรือนร่างอรชรนวยนาด เย้ายวนรัญจวน
กอปรกับนางได้ฝึกตนบำเพ็ญคู่กับซูอี้อยู่บ่อยครั้ง คล้อยตามการเพิ่มพูนของผลการฝึก บุคลิกและท่าทางของนางก็ยิ่งงดงามมากขึ้น
ทุกรอยยิ้ม และทุกการกระทำล้วนแพรวพราวเสน่ห์ล้น นับเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง
คนงามเปรียบดั่งสุรา ยิ่งได้ดื่มกินยิ่งหอมหวาน
“ข้าวต้มอะไรกัน นอนเถิด”
ซูอี้ลุกขึ้น เดินไปที่เตียง
ฉาจิ่นชะงัก ก่อนจะเอ่ยอย่างอึกอัก “คุณชาย ท่านลืมไปเรื่องหนึ่งหรือไม่”
“เรื่องใด?”
ซูอี้ถาม
ฉาจิ่นกระอึกระอัก ก้มหน้างุด เอ่ยด้วยท่าทีเขินอาย “เมื่อก่อนท่านพูดอยู่บ่อยครั้งไม่ใช่หรือ รอให้ก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเมื่อใด ท่านจะ… กับน้องชิงหว่าน… เรื่องนั้น… เอิ่ม เพื่อให้พลังฝึกมั่นคงขึ้นไม่ใช่หรือ?”
พูดจบ ดวงหน้างดงามของนางร้อนผ่าว อายนิดหน่อย
ให้พูดเรื่องฝึกตนบำเพ็ญคู่ อย่างไรก็ต้องกระดากอยู่บ้าง มิหนำซ้ำ เรื่องที่กล่าวถึงยังเป็นการฝึกบำเพ็ญคู่ของผู้อื่น จึงย่อมรู้สึกแปร่ง ๆ ชอบกล
ซูอี้อึ้ง “เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
ฉาจิ่นเอ่ยเจื่อน ๆ “คืนนี้ชิงหว่านดื่มเหล้าไปมากเช่นกัน ตอนที่ข้าสนทนาสัพเพเหระกับนาง นาง… นางบอกข้าเอง ซ้ำยังไถ่ถามประสบการณ์จากข้า…”
สายตาของซูอี้ดูประหลาดไปวูบหนึ่ง
เขาลองไตร่ตรองดี ๆ งานเลี้ยงคืนนี้ชิงหว่านดื่มเหล้าไปไม่น้อยจริง ๆ ใบหน้าเรียวเล็กสดใสของนางแดงก่ำ
และด้วยความซื่อของชิงหว่าน ย่อมจำได้แม่นว่าตัวเองเคยกล่าวถึงการฝึกบำเพ็ญคู่ กอปรกับฤทธิ์สุราคอยกระตุ้น จึงเล่าทุกอย่างให้ฉาจิ่นฟังหมดเลย
“นางขอประสบการณ์จากเจ้าด้วยหรือ”
ซูอี้อดขำไม่ได้
ฉาจิ่นมีสีหน้าอึดอัด อายยิ่งขึ้น นางขบริมฝีปากแดงเบา ๆ พลางกล่าว “ชิงหว่านบอกว่า เมื่อก่อนตอนที่ข้าฝึกบำเพ็ญคู่กับคุณชาย นางได้ยินหมดเลย…”
เมื่อพูดมาถึงนี่ นางก็กระทืบเท้าอย่างหงุดหงิด “ยายนี่ก็จริง ๆ เลย ไม่เคยบอกเรื่องนี้กับข้า หากข้ารู้ให้เร็วกว่านี้ ย่อมไม่ปล่อยให้นางแอบฟังอยู่เช่นนี้แน่”
ซูอี้ “…”
จากนั้นเขาก็หัวเราะดังลั่นอย่างอดไม่ไหว
เรื่องเช่นนี้ เขาไม่เคยเก็บมาใส่ใจ และเมื่อนึกถึงในช่วงเวลาที่ผ่านมา ชิงหว่านต้องมาได้ยินเสียงละไมแห่งความสุขสมเช่นนี้ก็อดขำไม่ได้
“คุณชาย ท่านยังหัวเราะออกอีกหรือ!?”
ดวงตาคู่สวยของฉาจิ่นเบิกกว้าง ทั้งโมโหและอาย
ซูอี้โบกมือพลางกล่าว “การฝึกบำเพ็ญคู่นับเป็นหนึ่งในประเภทการฝึกอยู่แล้ว ช่วยให้มนุษย์เราได้ตระหนักถึงความอัศจรรย์ในการผสานของหยินและหยาง การบรรจบของมังกรและพยัคฆ์ ระหว่างการเสพสุขของบุรุษและสตรี ซ้ำยังช่วยขัดเกลาวิถี เหตุใดต้องอายไม่กล้าพูดด้วยเล่า”
ฉาจิ่นชินแล้วกับความเปิดเผยของซูอี้ยามกล่าวถึงการฝึกบำเพ็ญคู่ จึงไม่ประหลาดใจเท่าใด “คุณชาย อย่างไรชิงหว่านยังเป็นร่างพรหมจรรย์อยู่ ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้ เพราะอย่างนั้นนางจึงใคร่ขอคำแนะนำเรื่องพวกนี้จากข้า”
เว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง นางก็กล่าวต่อ “ทว่า ข้าดูแล้วชิงหว่านคงเตรียมตัวไว้เรียบร้อยแล้ว มิฉะนั้นคืนนี้คงไม่เป็นฝ่ายเข้ามาคุยเรื่องนี้กับข้า”
ซูอี้เอ่ย “นางอยู่ที่ใด”
ฉาจิ่นตอบ “กำลังอาบน้ำอาบท่า”
ซูอี้คลึงขมับ “เจ้าไปบอกนาง รอให้นางก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเมื่อใด ค่อยมาคุยเรื่องการฝึกบำเพ็ญคู่”
ฉาจิ่น “…”
นางมีสีหน้าประหลาดใจ แล้วเอ่ยหยั่งเชิง “คุณชาย… ไม่ปรารถนาสักนิดเลยหรือ?”
ซูอี้เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าเป็นคนประเภทอดอยากจนไม่เลือกหรือ?”
ฉาจิ่นถอนหายใจเบา ๆ “คุณชาย ชิงหว่านเตรียมตัวพร้อมแล้ว ท่านปฏิเสธนางตอนนี้ นับเป็นการทำร้ายนางอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือ?”
ซูอี้กล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “การฝึกบำเพ็ญคู่ยามนางก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ จึงจะได้ประโยชน์ในการฝึกสำหรับทั้งนางและข้า หากฝึกบำเพ็ญคู่ในตอนนี้ กลับไม่เป็นผลดีเท่าไร”
ฉาจิ่น “…”
ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้ว ในสายตาคุณชายของตัวเอง การฝึกบำเพ็ญคู่ไม่ใช่การเสพสมเพียงอย่างเดียว แต่จุดประสงค์ของเขาเพื่อเสริมพลังฝึกด้วย!
“ท่านพี่ฉาจิ่น คุณชายซูพูดถูก”
เวลานั้น เสียงหวานใสทว่าเหนียมอายดังขึ้น
คล้อยตามเสียงที่ดังขึ้น ชิงหว่านเดินเข้ามา
ซูอี้อดผงะไม่ได้
และก็เห็นผมดำสลวยของชิงหว่านเกล้าขึ้นเป็นมวย สวมกระโปรงสีขาวตัวหลวมโคร่ง เห็นได้ชัดว่านางเพิ่งอาบน้ำมา ใบหน้าเรียวเล็กสะสวยแดงระเรื่อ นัยน์ตาลึกล้ำงดงามมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
ภายใต้ชายกระโปรง เผยให้เห็นเรียวขาขาวเนียนท่อนหนึ่ง รวมถึงเท้าเปล่านุ่มเนียนดั่งหยก
หญิงสาวต่างจากก่อนหน้านี้จริง ๆ แม้จะเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงเรียบง่าย ทว่าเมื่อยืนอยู่ตรงนั้น กลับสวยงามจนใจสั่น
“ข้าจะเชื่อฟังคุณชาย รอวันหลัง… วันหลัง… ก็ยังได้”
ชิงหว่านพูดไป ก้มหน้างุด เสียงแผ่วลงจนแทบไม่ได้ยิน ประหนึ่งเสียงแมลงวัน ผิวขาวดุจหิมะเปล่งประกายสีชมพูระเรื่อ
ฉาจิ่นถอนหายใจเบา ๆ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ชิงหว่าน คุณชายของเจ้าหวังดีกับเจ้ามากเลยนะ เจ้าอย่าได้เสียใจไป”
ชิงหว่านรีบส่ายหัวพลางกล่าว “ท่านพี่ คุณชายดีต่อข้ามากเสมอมา ไฉนเล่าข้าจะเสียใจ?”
ห่างออกไปไม่ไกล ซูอี้ได้เห็นภาพนี้แล้วเปลี่ยนใจทันที เขาเอ่ย “เอาเถิด คืนนี้เจ้าอยู่ที่นี่แล้วกัน”
ฉาจิ่น “???”