บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 664 คัมภีร์วิถีวิญญาณว่างเปล่า
ตอนที่ 664: คัมภีร์วิถีวิญญาณว่างเปล่า
ตอนที่ 664: คัมภีร์วิถีวิญญาณว่างเปล่า
ฉาจิ่นอยากจะถามเหลือเกิน เมื่อครู่ใครกันที่วาจาแข็งขันว่าตัวเองไม่ใช่พวกกระหายจนไม่เลือก
ใครกันที่บอกว่าชิงหว่านยังไม่บรรลุขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ประโยชน์ที่ได้จากการฝึกบำเพ็ญคู่จึงไม่มากพอ
เหตุใดเมื่อได้เห็นชิงหว่านก็เปลี่ยนใจกะทันหันเสียเล่า?
อย่างที่เขาว่ากัน คารมผู้ชายหลอกลวงทั้งนั้น!!
แม้ในใจฉาจิ่นจะคิดเช่นนี้ ทว่าปากนางกลับคลี่ยิ้มพลางเอ่ย “ชิงหว่าน เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว”
ไม่รอให้ชิงหว่านมีปฏิกิริยาใด ๆ นางก็จากไปราวกับต้องการหนีห่าง
ซ้ำยังปิดประตูห้องให้ด้วย
ทันใดนั้น บรรยากาศในห้องพลันอึดอัดชวนคิดขึ้นมา
ชิงหว่านประหม่าอย่างเห็นได้ชัด
นางก้มหน้าต่ำ สองมือกำชายเสื้อแน่น ยืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ราวกับกระต่ายน้อยหลงทาง ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร
ซูอี้กลับไม่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด เขานั่งอยู่บนเตียงในท่าที่สบาย เมื่อเห็นท่าทางประหม่าของชิงหว่านก็พูดอะไรไม่ออก
เขากวักมือ “เจ้ามานี่”
“อืม…”
ชิงหว่านสะดุ้ง ก่อนจะก้มหน้าเดินเข้าไป
หญิงสาวทั้งเขินและอาย น่าเอ็นดูยิ่ง
“ตั้งใจฟัง หลังจากนี้ข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาการฝึกบำเพ็ญคู่ เจ้าจงจำให้แม่น มิฉะนั้น หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาได้แย่แน่”
ซูอี้กล่าว
ชิงหว่านใจสะท้าน สูดหายใจเข้าลึกในทันใด “หว่านเอ๋อร์จะจำให้แม่น!”
ซูอี้ยิ้ม “ไม่ต้องตื่นเต้นไป การฝึกบำเพ็ญคู่เป็นการสมานทางความรู้สึก ตอบสนองกันทางวิถี นับว่าเร้นลับยิ่ง เคล็ดวิชาลับที่ข้าจะถ่ายทอดต่อไปนี้เรียกว่า ‘วิชาพินิจสู่หมาย’ เป็นวิชาฝึกบำเพ็ญคู่ในวิถีเต๋า…”
ชิงหว่านรับฟังเงียบ ๆ ความประหม่าเริ่มหายไป
หลังจากอธิบายเคล็ดวิชาฝึกตนควบคู่จนจบวิชา ซูอี้ก็ถามขึ้นมา “สงสัยจุดไหนหรือไม่?”
ชิงหว่านส่ายหัว
ซูอี้เอ่ย “เช่นนั้นก็นอนเถิด รอจนเจ้าก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้วเราค่อยฝึกด้วยกัน”
พูดจบ เขาเอนกายนอนลงบนเตียง
ชิงหว่าน “…”
หญิงสาวผงะไปอย่างเห็นได้ชัด ดวงหน้างดงามเต็มไปด้วยคำถาม
พักหนึ่ง นางก็ถามเสียงกระอึกกระอัก “คุณชาย ท่านให้หว่านเอ๋อร์อยู่ที่นี่ เพียงต้องการถ่ายทอดเคล็ดวิชาการฝึกบำเพ็ญคู่ให้อย่างนั้นหรือ”
ซูอี้หลับตา ตอบทั้งที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ฉาจิ่นบอกว่า หากคืนนี้ข้าไม่ไยดีเจ้า จะกลับกลายเป็นทำร้ายเจ้า ข้าลองคิดดูแล้วนับว่ามีเหตุผล จึงให้เจ้าอยู่ที่นี่ต่อ เจ้าเอง… ก็อย่าได้คิดมากไป”
ขณะที่ชิงหว่านตกอยู่ในภวังค์ หัวใจของนางหวั่นไหวขึ้นมา ดวงหน้างดงามราวภาพวาดของนางฉายรอยยิ้มจริงใจ
“เหตุใดจึงยิ้ม?”
ซูอี้ถาม
รอยยิ้มของชิงหว่านเจื่อนลงไป ก่อนจะตอบเสียงเบา “หว่านเอ๋อร์… หว่านเอ๋อร์เพียงแต่ดีใจอย่างบอกไม่ถูก และไม่เคยคิดเลยว่าคุณชายจะเห็นอกเห็นใจ และให้ความสำคัญหว่านเอ๋อร์ถึงเพียงนี้”
ซูอี้ยกมือชี้ไปที่เตียง “นั่งสิ”
ชิงหว่านลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเขยิบเข้าไป แต่ถึงแม้นางทอดตัวนั่งลงก็นั่งแค่ครึ่งก้นเท่านั้น หวั่นใจเหลือเกินว่าจะเป็นการเสียมารยาท
ท่าทางระมัดระวังว่าง่ายนั้นส่งผลให้ซูอี้ใจอ่อนขึ้นมาเช่นกัน
“นับดูแล้ว เจ้าอยู่ข้างกายข้ามานานกว่าผู้อื่นมาก ซ้ำเจ้ายังมีจิตใจบริสุทธิ์ดั่งหยก อาจถึงขั้นซื่อบื้อด้วยซ้ำ ในใจของข้า ย่อมให้ความสำคัญเจ้ามากกว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมเห็นแก่เส้นทางวิถีของเจ้า”
“ต่อให้ในภายภาคหน้าเจ้าจะไม่เต็มใจฝึกบำเพ็ญคู่ ข้าย่อมไม่ฝืน สัมพันธ์ชายหญิงควรต้องเต็มใจทั้งคู่ หาใช่การระบายกิเลสตัณหาในใจ”
“นอนเถิด”
ซูอี้พูดจบ เขาก็เข้าสู่ห้วงนิทราทันที
คืนนี้ เป็นวันเกิดของเขา เริ่มจากฝนแสงวิถีที่จุติลงจากฟ้า จากนั้น มหาภัยพิบัติแปรเปลี่ยนวิญญาณอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนอุบัติ
สำหรับซูอี้แล้ว คืนนี้น่ายินดียิ่ง
ทว่าเส้นทางการฝึกฝนนี้ ลงท้ายต้องกลับสู่ความสงบ
ชิงหว่านมองใบหน้าของซูอี้ค้าง นัยน์ตาลึกล้ำงดงามพลันพร่ามัวไปด้วยน้ำตา ตาแดงขึ้นมาเล็กน้อย
ครู่ต่อมา หญิงสาวขดตัวเข้าไปอยู่ด้านหนึ่งของซูอี้ด้วยท่าทีประหนึ่งลูกแมวอย่างระมัดระวัง รู้สึกเพียงปลอดภัยพอใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
……
เช้าวันรุ่งขึ้น
เมื่อซูอี้ตื่น เขาก็เดินออกจากห้อง ยืนตระหง่านอยู่กลางลาน เริ่มต้นฝึกฝนอย่างปกติ
เพียงแต่วิชาที่เขาฝึกฝนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
สองขาของเขาแยกออก สองมือเปรียบดั่งก้านหลิวลู่ลม นำทางพลังแห่งปฐพีนี้ แสดงความอัศจรรย์ของความนิ่งยามขยับ ความโล่งยามเติมเต็ม
พลังปราณทั้งตัวของเขาราวกับสายธารหลั่งไหล แล่นไปทั่วกาย ว่ายวนไปตามเส้นลมปราณ การหายใจเข้า การหายใจออกมีควันขาวประหนึ่งมังกรเวียนว่าย
คัมภีร์วิญญาณว่างเปล่า!
สุดยอดคัมภีร์ที่เรียกได้ว่าเคล็ดวิชาวิถีวิญญาณอันดับหนึ่งแห่งเก้ามหาดินแดน
เมื่อชาติก่อน ซูอี้เคยเชื้อเชิญจักรพรรดิมหายุทธ์ จักรพรรดิผีซีหมิง หลวงจีนเยี่ยนซิน และสหายสนิทคนอื่น ๆ มาเพื่อสร้างเคล็ดวิชาอันดับหนึ่งแห่งวิถีวิญญาณ พวกเขารวมตัวกันที่ยอดเขา ‘ภูเขาเทวะไท่อี’ เก็บตัวหารือวิถีกันนานกว่าร้อยปี
ท้ายที่สุด ซูอี้รวบรวมผลปัญญาและผลตระหนักทางเต๋าที่ได้จากบรรดาขอบเขตจักรพรรดิ ผสานกับความรู้แจ้งของตัวเองที่มีต่อวิถีวิญญาณ สร้างเคล็ดวิชาที่เพียงพอจะสะท้านต่อไปทุกช่วงสมัย
ครานั้น เมื่อครั้งคัมภีร์ถูกคิดค้นขึ้น อักษรต้นฉบับที่ซูอี้จารึกฉายจังหวะเทวะแห่งมหาวิถี ประหนึ่งพลอยล้ำค่า ฉายแสงเจิดจ้า วจีวิถีและลำแสงสะท้านผืนนภา ทั้งสวรรค์ต้องสั่นสะเทือน
สหายสนิทอย่างพวกจักรพรรดิมหายุทธ์ล้วนชื่นชมคัมภีร์นี้อย่างมาก เรียกได้ว่าไม่เคยมีผู้ทำได้มาก่อน และคงไม่มีผู้ใดทำได้เช่นนี้อีก นับเป็นที่สุดของวิถีวิญญาณในโลกหล้า!
อนิจจา
เงื่อนไขการฝึกฝนคัมภีร์นี้เข้มงวดเกินไป รับลูกศิษย์ยากยิ่งกว่าเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพเสียอีก
สาเหตุก็เพราะการฝึกฝนคัมภีร์นี้จำต้องทำครบเงื่อนไขสามข้อก่อนก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ
จิตวิญญาณเทียบเท่าขอบเขตสยายวิญญาณ
กายหยาบเทียบเท่าร่างอมตะแห่งวิถีพุทธ
ครอบครองดาราปฐมญาณหกหมื่นดวงขึ้นไปในขอบเขตรวบรวมดารา!
ไม่ว่ามีข้อใดที่ทำไม่ได้ ก็ไม่อาจฝึกฝน ‘คัมภีร์วิถีวิญญาณว่างเปล่า’ ได้!
มิฉะนั้น จะโดนความเร้นลับแห่งคัมภีร์นี้สะท้อนกลับ ได้ไม่คุ้มเสีย
ควรรู้ไว้ การครอบครองพลังจิตวิญญาณที่เทียบเท่าขอบเขตสยายวิญญาณในขอบเขตรวบรวมดารา หากเป็นในผู้ฝึกจิตวิญญาณสุดแกร่งในเก้ามหาดินแดน จะถือเป็น ‘บุตรแห่งเต๋า’ ที่พันหมื่นปีจะเกิดขึ้นสักคน
ไหนจะร่างอมตะแห่งวิถีพุทธ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ระดับสูงสุดในสายฝึกกาย ต่อให้เป็นในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งอย่างแดนบูรพาน้อย ก็มีเพียงหลวงจีนเยี่ยนซินที่ฝึกฝนพลังกายระดับนี้ออกมาได้เมื่อครั้งเยาว์วัย
มิหนำซ้ำผู้ที่ครอบครองดาราปฐมญาณหกหมื่นดวง ต่อให้เป็นทั้งเก้ามหาดินแดนก็เป็นการดำรงอยู่ที่จับตัวได้ยากยิ่ง
อย่างเช่นชิงถัง ลูกศิษย์ของซูอี้เมื่อชาติก่อนที่หลอมรวมดาราปฐมญาณในขอบเขตรวบรวมดาราได้ถึงเจ็ดหมื่นสองพันดวง และถูกขนานนามว่าเป็นขอบเขตรวบรวมดาราอันดับหนึ่งแห่งเก้ามหาดินแดน!
เงื่อนไขสามข้อนี้ หากบังคับทำเพียงหนึ่งข้อ พอจะหาตัวผู้ฝึกฝนคัมภีร์วิถีวิญญาณว่างเปล่าได้อยู่บ้าง
แต่หากต้องทำเงื่อนไขให้ครบทั้งสามข้อ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายากเหลือแสน
เมื่อครานั้น จักรพรรดิมหายุทธ์และสหายสนิทอื่น ๆ ยังเคยหยอกเย้าว่าเขาซูเสวียนจวินทุ่มเทกำลังนานหลายปี กลับสร้างคัมภีร์วิญญาณอันดับหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดฝึกฝนได้ แล้วมันจะต่างสิ่งใดกับของกากเดน?
แต่สิ่งที่สหายสนิทเหล่านี้ไม่รู้คือ ซูอี้ในเวลานี้ ฝึกฝนคัมภีร์วิญญาณอันดับหนึ่งที่เปรียบดั่งของกากเดนในสายตาพวกเขาได้แล้ว!
จิตวิญญาณของชายหนุ่มเทียบเท่ามหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตสยายวิญญาณตั้งแต่เมื่อครั้งยังอยู่ขอบเขตเปิดทวาร
กายเนื้อของเขาไม่ด้อยไปกว่าร่างอมตะตั้งแต่เมื่อครั้งก้าวสู่ขอบเขตรวบรวมดารา
ส่วนดาราปฐมญาณที่เขารวบรวมได้นั้น ตั้งแต่ก่อนบรรลุขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณก็มีมากถึงเก้าหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าดวง!
ไม่ว่าเงื่อนไขข้อใด เขาก็สำเร็จลุล่วงอย่างสบาย ๆ
“ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ขัดเกลาอารามวิญญาณมหาวิถี ยิ่งอารามวิญญาณมหาวิถีมั่นคงเท่าใด พลังมหาวิถีที่บรรจุอยู่จะยิ่งหนาแน่นเท่านั้น”
ขณะที่ฝึกไป ซูอี้ก็ขบคิดไปด้วย
“ด้วยรากฐานของข้าในตอนนี้ ทั้งปฐพีไม่มีผู้ใดทัดเทียม ทว่า การฝึกฝนคัมภีร์วิถีวิญญาณว่างเปล่าต้องใช้ปราณวิญญาณมหาศาลเกินไป…”
ก่อนก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ หินวิญญาณระดับห้าและระดับหกเพียงพอต่อการฝึกฝนประจำวันของซูอี้
ทว่าหลังจากก้าวสู่ขอบเขตนี้ ปราณวิญญาณที่สั่งสมอยู่ในหินวิญญาณระดับห้าและระดับหกไม่ต่างจากดับไฟด้วยน้ำหนึ่งแก้ว
หากฝึกฝนด้วยหินวิญญาณเหล่านี้ แต่ละวันเห็นทีต้องใช้หินเป็นพันก้อน!
สรุปคือ ขอบเขตต่างกัน ทรัพยาการที่ต้องใช้ในการฝึกฝนก็ต่างกัน
และซูอี้ก็มีพลังวิถีสูงส่ง ซ้ำยังต้องฝึกฝนคัมภีร์วิถีวิญญาณว่างเปล่า ทรัพยากรฝึกฝนที่จำเป็นต่อเขายิ่งมหาศาล ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนอื่น ๆ จะจินตนาการออก
“ยังดี บัดนี้ปราณวิญญาณในฟ้าดินค่อย ๆ ฟื้นคืนกลับมาแล้ว ซ้ำเมื่อคืนข้ายังเก็บรวบรวมพลังรากแก่นแห่งมหาวิถีมาได้มากพอ ในช่วงเวลาสั้น ๆ หลังจากนี้ยังไม่ต้องกังวลเรื่องการฝึกฝนแต่อย่างใด”
เวลานี้ มหาทวีปคังชิงกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย ไม่เกินสามเดือน แสงสว่างแห่งโลกกว้างก็จะมาถึง
สำหรับซูอี้ ขอเพียงตั้งใจค้นหา ย่อมต้องพบเจอทรัพยากรที่เหมาะสมเพียงพอต่อการฝึกฝนมหาวิถีของตน
“ช่วงเวลาหลังจากนี้ จำต้องรีบเร่งหลอมรวมแก่นแท้จุดกำเนิดออกมา หล่อหลอมดาบนิลกาฬกลืนฟ้าขึ้นมาใหม่ มิเช่นนั้น ลงท้ายได้กระทบต่อการสำแดงฤทธิ์เดชของตัวเองแน่นอน!”
เป้าหมายการฝึกฝนในชาตินี้ของซูอี้ชัดเจนมาก
ตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่ในเส้นทางวิถีต้นกำเนิด ก็ได้เตรียมตัวต่อการฝึกฝนในเส้นทางวิถีวิญญาณแล้ว
อย่างเช่น สามสุดยอดจังหวะวิถีที่เขาฝึกฝนในเส้นทางวิถีต้นกำเนิดอย่างจังหวะวิถีเบญจธาตุ จังหวะวิถีหยินหยาง จังหวะวิถีแห่งลมและสายฟ้า เป้าหมายปลายทางของเขาก็เพื่อหลอมรวมสามสุดยอดจังหวะวิถีนี้เป็นแก่นแท้แห่งวิถีวิญญาณที่ชื่อว่า ‘จุดกำเนิด’ เมื่อก้าวสู่เส้นทางวิถีวิญญาณ!
เช่นนี้แล้ว ค่อยทำความเข้าใจในแก่นแท้สองชนิดที่ชื่อว่า ‘มหาลึกล้ำ’ หรือละเอียดอ่อน และ ‘นิมิตเลือนราง’ หรือว่างเปล่า จากนั้นรวมพลังมหาวิถีเข้ากับแก่นแท้ ซึ่งจะเกิดใหม่กลายเป็นแก่นแท้ที่ทรงพลังยิ่ง!!
แก่นแท้สิ่งนี้คือหนึ่งเดียวตลอดกาล ต่อให้เป็นในประวัติกาลของเก้ามหาดินแดน ก็ไม่เคยมีผู้ใดหลอมรวมขึ้นมาได้!
เพราะแก่นแท้ชนิดนี้ เป็นความรู้แจ้งและเบาะแสที่ซูอี้ได้จากโซ่ตรวนเก้าชั้นที่ผนึก ‘ดาบเก้าคุมขัง’
แก่นแท้นี้เรียกว่า ‘เอกกะ’!
หนึ่งคือทุกสิ่ง ทุกสิ่งคือหนึ่ง! เมื่อ ‘เอกกะ’ ถือกำเนิด มหาวิถีกลับคืนสู่ต้นกำเนิด!
เช่นเดียวกัน ซูอี้ตัดสินใจแล้วตั้งแต่ครั้งอดีต หลังจากบรรลุขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ จะหลอมดาบนิลกาฬกลืนฟ้าขึ้นมาอีกครา หลอมรวมกับดาบขจีบริสุทธิ์ หล่อดาบวิถีคู่ชีพที่เป็นของตัวเอง
ดาบขจีบริสุทธิ์เป็นสิ่งที่หยวนหมอเทียน ราชันย์ปีศาจพระสุเมรุทิ้งไว้ให้ แม้จะเสียหายรุนแรง ทว่าพลังแก่นรากของมันยังคงอยู่ จึงนับเป็นโครงดาบ เมื่อหลอมรวมเป็นหนึ่งกับดาบนิลกาฬกลืนฟ้า ดาบวิถีคู่ชีพที่หล่อขึ้นมานั้นย่อมไม่ธรรมดา
พูดง่าย ๆ คือ สำหรับซูอี้ ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณเป็นการเริ่มต้นใหม่อย่างสิ้นเชิง
เคล็ดวิชาที่เขาฝึกฝน เคล็ดพลังมหาวิถีที่ต้องขัดเกลา ดาบวิถีคู่ชีพที่ต้องหล่อหลอม ล้วนไม่ใช่สิ่งที่เขาในอดีตสามารถเทียบได้
หลังจากการฝึกฝนจบสิ้น ขณะที่ซูอี้กำลังทานอาหารเช้า นักพรตเฒ่าเนื้อตัวสกปรกมอมแมมก็มาหาอีกครั้ง
ท่าทางไม่ยอมแพ้หากไม่บรรลุเป้าหมาย
“ว่ามาสิ เจ้ามาเพื่อการใด?” ซูอี้ถาม
นักพรตเฒ่าเนื้อตัวสกปรกมอมแมมกวาดสายตามองฉาจิ่นที่ปรนนิบัติซูอี้ขณะทานอาหารเช้า แล้วเอ่ย “ช่วยให้แม่นางผู้นี้ออกไปก่อนได้หรือไม่”
ซูอี้โบกมือ ฉาจิ่นจึงเดินออกไปอย่างรู้หน้าที่
เวลานั้น นักพรตเฒ่าเนื้อตัวสกปรกมอมแมมสูดหายใจเข้าลึก กล่าวขึ้น “ขอเรียนสหายเต๋าตามตรง ตั้งแต่ได้พบสหายเต๋าที่นครหลวงจิ๋วติ่งในอาณาจักรต้าเซี่ย ข้าคิดมาเสมอว่าเจ้าเหมือนใครคนหนึ่ง”
ซูอี้ตอบโดยไม่จดจ่อ “เหมือนผู้ใด”
นักพรตเฒ่าเนื้อตัวสกปรกมอมแมมสายตาเป็นประกาย “พี่เขยของข้า!”
“พรวด!”
ข้าวต้มวิญญาณที่ซูอี้เพิ่งเอาเข้าปากถูกพ่นออกมา