บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 667 ทำเนียบดารา
ตอนที่ 667: ทำเนียบดารา
ตอนที่ 667: ทำเนียบดารา
บรรยากาศในภัตตาคารมีชีวิตชีวา คราคร่ำไปด้วยผู้ฝึกตนมากมาย
“เจ้าได้ยินหรือไม่ ว่าเจ็ดขุมกำลังยักษ์ใหญ่โบราณพากันพร้อมใจยื่นคำขาดต่อจักรพรรดิเซี่ยองค์ปัจจุบัน!”
“พวกเขาคิดจะบังคับให้จักรพรรดิต้าเซี่ยองค์ปัจจุบันสละราชสมบัติ และถอยออกจากภูเขาเทียนหมาง และนครหลวงจิ๋วติ่งอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่! ว่ากันว่าแสงสว่างแห่งโลกกว้างกำลังจะมาในเร็ว ๆ นี้และภูเขาเทียนหมางรวมทั้งนครหลวงจิ๋วติ่งต่างเป็นดินแดนที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุด ดังนั้นมันไม่แปลกเลยที่ขุมกำลังโบราณทั้งเจ็ดจึงต่างมุ่งมั่นที่จะครอบครองมัน”
ผู้คนต่างวิจารณ์กันอย่างเผ็ดร้อน
“พวกเจ้าคิดผิดแล้ว ขุมกำลังยักษ์ใหญ่โบราณทั้งเจ็ดเหล่านั้นมีหรือจะขัดแย้งกับราชวงศ์เซี่ยเพียงเพราะภูเขาเทียนหมางแค่อย่างเดียว?”
ในเวลานี้ ชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีดำก้าวออกมาด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
เขาได้รับความสนใจจากผู้ฝึกตนทั้งหลายในทันทีจากประโยคที่เพิ่งพูด
คนหนึ่งเอ่ยถามเสียงดัง “บังอาจถามสหาย หากไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์ในการครอบครองภูเขาเทียนหมาง เหตุใดขุมกำลังโบราณทั้งเจ็ดจึงต้องรวมหัวกันบีบบังคับให้จักรพรรดิต้าเซี่ยสละราชสมบัติ และสละนครหลวงจิ๋วติ่ง รวมถึงภูเขาเทียนหมางด้วยเล่า?”
ชายวัยกลางคนชุดดำคนดื่มสุราหนึ่งจอกก่อนจะพูดอย่างช้า ๆ “มีเหตุผลสองประการ!”
“ประการแรก ในอดีตราชวงศ์เซี่ยบงการดินแดนและฟ้าดินทั้งหมดในต้าเซี่ย พวกเขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในต้าเซี่ยอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ทว่าโลกในปัจจุบันนั้นเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งยวด ด้วยการฟื้นตัวของปราณวิญญาณ ขุมกำลังในอดีตต่างปรากฏกายขึ้นยกตัวอย่างเช่น ‘เจ็ดขุมกำลังโบราณ’ และ ‘สามขุมกำลังจากดินแดนอื่น”
“ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จักรพรรดิต้าเซี่ยและราชวงศ์เซี่ยจึงสูญเสียอำนาจไปอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่อย่างสงบเพียงใด ท้ายที่สุดพวกเขาก็ยังจะกลายเป็นเสี้ยนหนามในสายตาของขุมกำลังอื่นอยู่ดี!”
“สิ่งนี้เรียกว่าต้าเซี่ยสูญเสียกวาง และโลกหล้าต่างไล่ล่ามัน”
หยุดไปครู่หนึ่ง ชายวัยกลางคนชุดดำก็กล่าวต่อ “อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับสาเหตุนี้ เหตุผลอีกประการหนึ่งสำคัญกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย”
ใครบางคนรีบร้อนถามทันที “โปรดสหายเต๋าให้ความกระจ่างแก่พวกเราด้วย”
เมื่อเห็นว่าทุกคนตั้งใจฟัง ชายวัยกลางคนชุดดำก็ยิ้มเล็กน้อยอย่างพึงพอใจก่อนจะพูดว่า “อีกเหตุผลหนึ่งเกี่ยวข้องกับคนคนหนึ่ง!”
“ผู้ใด?”
ชายวัยกลางคนชุดดำเอ่ยออกสองคำ “ซูอี้!”
เสียงในภัตตาคารเงียบกริบลงทันใด
แม้แต่เย่ซุ่นก็ยังแสดงความประหลาดใจ
ชายวัยกลางคนชุดดำยังคงพูดต่อ “เมื่อสามเดือนที่แล้วในเกาะเซียนพระสุเมรุ ซูอี้ได้สังหารผู้ร้ายกาจยุคโบราณสิบสามคนซึ่งมาจากขุมกำลังโบราณด้วยตัวคนเดียวจนไม่เหลือ โดยเฉพาะนายน้อยของตระกูลหวนเผ่ามารนาม หวนเฉ่าโหยว จิงหลิงเจินผู้สืบทอดหลักของสำนักผลาญตะวัน เยี่ยนจิงอวิ๋นผู้ร้ายกาจยุคโบราณของสำนักวิถีสุญญะ และอื่น ๆ จนกลายเป็นที่โจษจันไปทั่ว”
“ผู้ร้ายกาจยุคโบราณเหล่านี้ต่างมีพรสวรรค์ล้ำเลิศอนาคตยาวไกลสดใส และพวกเขาคือเมล็ดพันธุ์ที่สำคัญที่สุดของขุมกำลังโบราณทั้งหลาย แต่ท้ายที่สุดกลับถูกสังหารสิ้นด้วยมือของซูอี้”
“ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเกาะเซียนพระสุเมรุแพร่สะพัดออกไป ตัวตนยิ่งใหญ่ของขุมกำลังโบราณเหล่านั้นได้ไปที่ภูเขาเทียนหมางเพื่อแสวงหาความยุติธรรมพยายามทำให้ราชวงศ์เซี่ยเลิกปกป้องซูอี้”
“แต่ทว่าท้ายที่สุดตัวตนยิ่งใหญ่จากขุมกำลังโบราณเหล่านั้นกลับตกตายไม่เหลือในวังเทียนหยาง!”
ชายวัยกลางคนชุดดำคนกล่าวก่อนถอนหายใจ “เมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ เหล่าขุมกำลังโบราณเหล่านั้นจะไม่อาฆาตแค้นได้อย่างไร?! พวกเขาจะไม่คิดบัญชีทวงแค้นได้อย่างไร?!!”
ทุกคนที่รับฟังต่างมีอารมณ์ร่วม
บางคนอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “แต่เรื่องราวทั้งหมดเกิดจากซูอี้แต่เพียงผู้เดียว หากขุมกำลังโบราณเหล่านั้นต้องการจะแก้แค้นพวกเขาก็ควรไปตามหาซูอี้ไม่ใช่หรือ?”
ชายวัยกลางคนชุดดำยิ้มเยาะ “ซูอี้เป็นผู้เริ่มเรื่องก็จริง แต่การที่ราชวงศ์เซี่ยยังคงยืนหยัดปกป้องซูอี้นั้นเท่ากับเป็นผู้ให้ท้าย ดังนั้นมันจะแปลกอย่างไรหากพวกเขากลายเป็นเป้าไปด้วย สิ่งนี้คล้ายกับคำที่ว่ายามเจริญย่อมรุ่งเรืองไปด้วยกันยามดำดิ่งย่อมต้องสูญเสียไปพร้อมกัน เนื่องจากราชวงศ์เซี่ยเลือกที่จะยืนเคียงข้างซูอี้ พวกเขาจึงถูกกำหนดให้ต้องทนทุกข์กับผลที่ขมขื่นเช่นวันนี้!”
เมื่อพูดถึงประโยคช่วงนี้ สีหน้าของเขาหดหู่เล็กน้อย “มีการกล่าวกันว่าขุมกำลังโบราณทั้งเจ็ดต่างระดมกำลังกันอย่างเต็มที่เพื่อตามล่าหาซูอี้ แต่จนถึงบัดนี้ยังไม่มีผู้ใดทราบเบาะแสของซูอี้เลย”
ใครบางคนเอ่ยขึ้น “ซูอี้กำลังหลบซ่อนด้วยความกลัวเป็นแน่แท้!”
“ข้าได้ยินมาว่า ด้วยความกังวลว่าจะถูกชำระแค้นโดยขุมกำลังโบราณทั้งเจ็ด ซูอี้จึงหนีออกจากต้าเซี่ยไปเมื่อหลายเดือนก่อน”
“ข้ายังได้ยินมาว่า เหตุผลหนึ่งที่เจ็ดขุมกำลังโบราณโจมตีราชวงศ์ต้าเซี่ยในครั้งนี้ ประเด็กหลักคือการบังคับให้ซูอี้โผล่หัวออกมาจากที่ซ่อน”
…
ผู้คนต่างพูดคุยกันอย่างออกรส
เย่ซุ่นเมื่อได้ยินการสนทนาเหล่านี้ สีหน้าของเขาก็ดูชอบกล
เขามองไปที่ซูอี้และกล่าวว่า “พี่เขย ท่านเพิ่งจากไปแค่สามเดือนเท่านั้นเอง ไม่คิดเลยว่าในสายตาของผู้ฝึกตนเหล่านี้ท่านกลับถูกมองว่าเป็นคนขี้ขลาดเสียแล้ว”
ซูอี้พูดอย่างเฉยเมย “ความคิดของนกกาไม่ควรค่าให้ใส่ใจ”
ทว่าจากบทสนทนาเหล่านี้ซูอี้ได้เรียนรู้บางสิ่ง
สมดุลอำนาจในต้าเซี่ยปัจจุบันดูเหมือนจะกลายเป็นรูปแบบใหม่
ในหมู่ขุมอำนาจทั้งหมด ขุมกำลังยักษ์ใหญ่จากยุคโบราณทั้งเจ็ดนั้นทรงพลังที่สุด
พวกเขาคือตระกูลหวนเผ่ามาร สำนักวิถีสุญญะ สำนักผลาญตะวัน โถงวิญญาณหยินทมิฬ สำนักฌานกระจ่างจิต คีรีดาบเมฆาเร้น และสุดท้ายตระกูลตงกัวจากยุคโบราณ
อันที่จริงในต้าเซี่ยยังมีขุมกำลังโบราณอื่น ๆ อีก แต่ในแง่ของความแข็งแกร่งโดยรวม ขุมกำลังโบราณทั้งเจ็ดนี้แข็งแกร่งที่สุด!
แต่ถ้าจะพูดถึงกลุ่มที่แข็งแกร่งเกือบจะใกล้เคียงกับเจ็ดขุมกำลังโบราณยักษ์ใหญ่ที่สุด ก็คงจะไม่พ้นสามขุมกำลังจากต่างแดน
พวกเขาคือ หอดาบโคจรสวรรค์ สำนักวิญญาณมิติกว้าง และสำนักมารแปรดารา!
ขุมกำลังจากต่างแดนทั้งสามนี้ปรากฏกายขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วทวีปคังชิงเมื่อสองเดือนก่อน
จนถึงตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาคือขุมกำลังต่างแดนที่สะดุดตาที่สุดในต้าเซี่ย
สะดุดตาจนแม้แต่ขุมกำลังโบราณทั้งเจ็ดก็ยังยอมรับในการดำรงอยู่ของพวกเขา
เมื่อทราบถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ซูอี้ก็รู้สึกตื่นตัวเช่นกัน
ไม่ต้องสงสัยเลยในระหว่างที่เขาจากไป ขั้วอำนาจในต้าเซี่ยมีการสับเปลี่ยนหลายครั้ง และมันก็แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง!
ต้องรู้ว่าในอดีตดินแดนต้าเซี่ยมีสำนักยุทธที่น่าเกรงขามอยู่สี่สำนัก สำนักดาบเทียนชู วังเทพสวรรค์เมฆา วัดมหาจันทรา และสำนักเต๋าชิงอี่
ทว่าตอนนี้พวกเขาหายลับไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยถึง!
อย่างไรก็ตาม แม้แต่ขุมกำลังที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปคังชิงอย่างราชวงศ์เซี่ยก็ยังตกต่ำลงเช่นนี้ สถานการณ์ของพวกเขาจึงยิ่งน่าเป็นห่วงยิ่งกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย!
อนิจจาสิ่งต่าง ๆ ย่อมไม่เที่ยง
“พูดถึงเรื่องนี้ ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจที่สุดในเรื่องราวของบรรดาขุมกำลังชั้นนำปัจจุบันของต้าเซี่ย คงไม่พ้นจะเป็น ‘ทำเนียบดารา’ มีสักกี่คนที่ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ซูอี้เคยเป็นตำนานที่สะดุดตาที่สุดในหมู่คนรุ่นเยาว์?”
จู่ ๆ ใครบางคนถอนหายใจ
ทำเนียบดาราเป็นการจัดอันดับผู้คนโดยขุมกำลังโบราณอย่าง ‘หอเมฆาเขียว’
การจัดอันดับนี้แสดงรายชื่อร้อยบุคคลรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดในโลก แต่ละคนล้วนแล้วแต่มีพรสวรรค์และภูมิหลังอันยิ่งใหญ่
หนึ่งเดือนก่อนหลังจากที่หอเมฆาเขียวเปิดเผยการจัดอันดับนี้ มันก่อให้เกิดประเด็นมากมายไปทั่วโลกและได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
ตอนนี้การจัดอันดับนี้ได้กลายเป็นเกณฑ์ในการตัดสินความแข็งแกร่งของคนรุ่นเยาว์ชั้นนำทั้งหลาย
“ทำเนียบดารานั้นหมายถึง ‘เหล่าดวงดาวส่องสกาว’ ตามข้อมูลของหอเมฆาเขียว ผู้ที่ถูกจัดอันดับทั้งหมดมีโอกาสได้เจิดจรัสยามเมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง”
ใครบางเอ่ยเสียงต่ำ “ทุก ๆ เดือนอันดับรายชื่อจะถูกแก้ไขใหม่โดยหอเมฆาเขียว แต่ไม่ว่าอันดับจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ผู้ที่ยังไม่สำเร็จขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณจะไม่สามารถติดอยู่ในทำเนียบดาราได้! ดังนั้นแล้วไม่ว่าซูอี้จะแข็งแกร่งสักเพียงไรในอดีต หรือไม่ว่าเขาจะได้รับความสนใจมากแค่ไหน เขาย่อมไม่มีคุณสมบัติพอที่จะอยู่ในทำเนียบดารา”
คำพูดนี้ทำให้หลายคนถอนหายใจออกมา
ตำนานของซูอี้ได้กลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว
แน่นอนความคิดเห็นเหล่านี้ทำให้เย่ซุ่นไม่พอใจอย่างมาก เขากล่าวกับซูอี้ “พี่เขย ข้ารู้จักหอเมฆาเขียวตั้งแต่เมื่อสามหมื่นปีที่แล้ว ไอ้พวกคนเหล่านั้นมันชอบนักกับการหาข้อมูลสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้คน สมบัติสิ่งของ อาวุธศาสตรา สมุนไพร มาจัดอันดับ ไม่คิดเลยว่าเวลาผ่านพ้นไปนานแล้วพวกมันก็ยังคงชอบจัดอันดับบ้า ๆ บอ ๆ เช่นนั้นอยู่เหมือนเดิม”
หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็กล่าวต่อ
“ทว่าความน่าเชื่อถือของการจัดอันดับของพวกมันเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธ เพราะข้อมูลที่พวกมันค้นหามาไม่ใช่การรวบรวมแบบเดาสุ่ม แต่คราวนี้ไอ้พวกหอเมฆาเขียวคิดผิด!”
เมื่อพูดถึงจุดนี้เย่ซุ่นแสดงสีหน้าเหยียดหยาม “พวกมันคงไม่รู้ว่าพี่เขยได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้ว ไม่เช่นนั้นอันดับทำเนียบดาราอะไรนี่จะไม่มีชื่อพี่เขยอยู่ได้อย่างไร!”
ซูอี้ยิ้มและกล่าวว่า “สมควรแล้วที่ไม่มีชื่อของข้า”
ตัวตนเช่นเขามีหรือจะสนใจการจัดอันดับเล็กจ้อยนี้?
เขาสามารถสังหารตัวตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้ตั้งแต่อยู่ในวิถีต้นกำเนิด ขณะนี้เขาสามารถฆ่าผู้ใดก็ตามที่อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้อย่างง่ายดายไม่ต่างจากการฆ่าไก่สักตัว ดังนั้นแล้วทำเนียบดาราจะมีคุณสมบัติมาจัดอันดับเขาได้อย่างไร?
เย่ซุ่นอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแสดงสีหน้าอับอายกระอักกระอ่วน “พี่เขย ข้าพูดผิดไป ท่านพูดถูก ไม่มีการจัดอันดับใดในโลกนี้ที่คู่ควรกับการวัดความแข็งแกร่งของท่าน! ไอ้พวกคนของหอเมฆาเขียวไม่คู่ควรใช้ความรู้เท่าหางอึ่งของพวกมันมาประเมินความแข็งแกร่งของท่าน!”
ซูอี้ “…”
เหตุใดข้ารู้สึกเหมือนเจ้าประจบข้าอยู่?
“ไปกันเถิด รีบไปที่อาณาเขตผีหลิงหลง และหลังจากที่เรื่องของเจ้าได้รับการแก้ไข เราจะไปที่นครหลวงจิ๋วติ่งกันต่อ”
ซูอี้กระดกสุราจนหมดจอกก่อนจะลุกขึ้นยืน
เมื่อรู้ว่าจักรพรรดิเซี่ยคนปัจจุบันกำลังตกเป็นเป้าหมายและถูกกดขี่โดยขุมกำลังยักษ์โบราณทั้งเจ็ด ซูอี้มีหรือจะยืนดูนิ่งเฉย?
ขณะที่เขาอยู่ในนครหลวงจิ๋วติ่ง เขาได้รับการดูแลมากมายจากจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยองค์ปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้น เขาเคยสัญญาเอาไว้แล้วว่าจะช่วยจักรพรรดิซ่อมแซมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดน
สามวันต่อมา
ในดินแดนของต้าเซี่ย แคว้นซาเหอ สันเขาอวิ๋นซัง
ขณะนี้ยามอาทิตย์อัสดง ดวงตะวันยังคงฉายแสงอยู่ที่ขอบฟ้า ทว่าความมืดมิดแห่งยามราตรีกาลกลับคืบคลานมาอย่างไม่เร็วไม่ช้า
จากระยะไกล ซูอี้และเย่ซุ่นบินข้ามมา
“พี่เขย ทางเข้าของอาณาเขตผีหลิงหลงตั้งอยู่ในส่วนลึกของสันเขาอวิ๋นซัง”
เย่ซุ่นชี้ไปที่ระยะไกล
เมื่อซูอี้มองไปรอบ ๆ เขาเห็นสันเขาอวิ๋นซังทอดยาวราวกับวัวตัวผู้ มันงดงามและกว้างใหญ่ไพศาลยิ่ง
แต่ไม่นาน ดวงตาของเขาก็หรี่ลงเล็กน้อย
ขณะนี้บนสันเขาอวิ๋นซังมีผู้ฝึกตนมากมายรวมตัวกันอยู่!
ขณะเดียวกันนี้เย่ซุ่นสังเกตเห็นเหล่าผู้ฝึกตนเช่นกันและพูดด้วยความประหลาดใจว่า “เหตุใดจึงมีผู้ฝึกตนมากมายแบบนี้? พวกเขาทั้งหมดมาที่อาณาเขตผีหลิงหลงเพื่อสิ่งใดกัน?”