บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 669 สายฟ้าน้ำค้างแข็ง
ตอนที่ 669: สายฟ้าน้ำค้างแข็ง
ตอนที่ 669: สายฟ้าน้ำค้างแข็ง
“หือ!”
เย่ซุ่นตกใจยามเมื่อเห็นอาวุธวิเศษชิ้นนี้
ในขณะเดียวกัน…
เสียงกัมปนาทหนึ่งก็ดังมาจากไกล ๆ
“เร็วเข้า หยุดมันไว้ ต้องเป็นสมบัติชั้นยอดเป็นแน่!”
“ตามไป!”
ลำแสงจากการทะยานของผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งพุ่งมาจากไกล ๆ แหวกอากาศจนเกิดเสียงดังหวีดหวิว
ทว่าเศษอาวุธวิเศษชิ้นนี้รวดเร็วนัก มันพุ่งมาหาพวกซูอี้ในพริบตา
หากกล่าวให้ถูกก็คือ มันพุ่งมาหาเย่ซุ่น!
ในยามนี้ เหมือนในที่สุดเย่ซุ่นจะเข้าใจแล้ว และยื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว
ฟิ้ว!
เศษอาวุธวิเศษร่วงลงสู่มือเย่ซุ่นราวนางแอ่นคืนรัง
เมื่อมองใกล้ ๆ เศษอาวุธวิเศษชิ้นนี้เป็นสีเงินขาวราวหิมะ เปี่ยมด้วยจิตวิญญาณ ทว่าผิวนอกของมันกระดำกระด่าง มีร่องรอยสนิมกัดกิน
มันหมุนคว้างบนฝ่ามือของเย่ซุ่น เปล่งประกายน้อย ๆ เยี่ยงดวงดารา ดูตื่นเต้นยิ่งนัก
เมื่อหันมองเย่ซุ่นอีกครั้ง ใบหน้าของเขาก็ปรากฏความตื่นเต้น เหม่อลอย และความโล่งใจให้เห็นจาง ๆ
“นี่คือเศษสมบัติที่เจ้าทิ้งไว้หรือ?”
ซูอี้ถามอย่างครุ่นคิด
เย่ซุ่นพยักหน้าอย่างรวดเร็ว สีหน้าหวนคิดถึง กล่าวราวกับกำลังหวนรำลึก “ขอรับ เดิมทีนี่คือดาบของข้า ‘สายฟ้าน้ำค้างแข็ง’ น่าเสียดายที่มันถูกทำลายในการต่อสู้กับพวกพัศดี ไม่คิดเลยว่าหลังจากผ่านไปนานนับหมื่นปี เศษของสายฟ้าน้ำค้างแข็งจะยังจำข้าได้…”
ซูอี้เข้าใจแล้ว
สายฟ้าน้ำค้างแข็งเล่มนี้เป็น ‘สมบัติวิญญาณ’ ชิ้นหนึ่ง
หมายความว่า ในสายตาโลกหล้า สมบัติชิ้นนี้อยู่ในระดับจักรพรรดิ
กล่าวโดยภาครวม สมบัติวิญญาณที่แข็งแกร่งจะมีจิตวิญญาณอันอัศจรรย์เกินเทียบได้ และสมบัติบางชิ้นอาจมีกระทั่งวิญญาณเป็นของมันเอง
สมบัติในลักษณะนี้มักจะมีพลังเพียงพอจะแผดเผานภาทลายปฐพี
แม้จะไร้พลังจากผู้เป็นนาย แต่พลังของจิตวิญญาณในตัวสมบัติเหล่านั้นก็พอจะเป็นภัยต่อผู้ใดก็ตามในขอบเขตต่ำกว่าจักรพรรดิแล้ว!
“สหายเอ๋ย ข้าพบเศษสมบัติวิเศษนี้ก่อน โปรดคืนสมบัตินี้มาด้วย” กลุ่มผู้ฝึกตนที่พุ่งมาไกล ๆ มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
พวกเขามีกันราวสิบกว่าคน เห็นได้ชัดว่ามาจากฝ่ายเดียวกัน
ผู้เอ่ยปากคือชายวัยกลางคนในชุดหนังงู สูงใหญ่แข็งแรง เป็นมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ
ยามเมื่อเขาพูด กลุ่มของชายวัยกลางคนก็เริ่มตีวงโอบล้อมพวกเขาด้วยท่าทีพร้อมต่อสู้หากความเห็นไม่ลงรอย
“เฮ้อ เมื่อมังกรถูกกับดักก็ถูกกุ้งรังแก ยามพยัคฆ์ตกหล่มก็ถูกหมารังแก กาลก่อน ปลาซิวปลาสร้อยจะกล้าพูดกับข้าเช่นนี้หรือ?”
เย่ซุ่นถอนหายใจ
ชายในชุดสีเงินคนหนึ่งเบ้หน้าและกล่าวกระแทกกระทั้น “ขอทานเฒ่า เจ้าแสร้งทำทีใหญ่โตพล่ามไร้สาระอันใดอยู่!?” โนเวล-พีดีเอฟ
เย่ซุ่นชะงักค้าง เงื้อมือเล็กน้อยพลางดุด่าชายชุดสีเงินอย่างโกรธเคือง “ปากพล่อย คอยดูเถิด เจ้าจะคุกเข่ากราบข้าเป็นบรรพชนในภายหลัง! แต่ไม่ เจ้าไม่คู่ควรเป็นทายาทให้ข้ายอมรับหรอก!”
ชายในชุดสีเงินชักกระบี่ออกด้วยจิตสังหารรุนแรง “ไร้สาระ ส่งสมบัตินั่นมาเดี๋ยวนี้ หาไม่ พวกเจ้าอย่าหวังมีชีวิตรอด!”
คนอื่น ๆ เองก็ดูสีหน้าย่ำแย่
ไม่ใช่พวกเขาไร้ตาหรอก
ทว่าซูอี้ดูเยาว์วัย และกลิ่นอายของชายหนุ่มก็เบาบางนัก ดังนั้นในสายตาพวกเขา ซูอี้จึงดูจืดจางอย่างสมบูรณ์
ในขณะเดียวกัน ภาพลักษณ์ของเย่ซุ่นก็ดูซอมซ่อเกินไป สภาพร่างกายดูไม่ได้ และทุกการกระทำดูไร้ราศี
เหตุใดพวกผู้ฝึกตนเหล่านั้นจะต้องสนใจพวกเขาด้วย?
แน่นอน สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกเขามีชายวัยกลางคนในชุดหนังงูและผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณคนอื่น ๆ ล้อมอยู่!
แม้ว่าต้าเซี่ยในช่วงนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงมากมาย ทว่าโลกทุกวันนี้ บทบาทของผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณก็ยังเป็นตัวตนระดับสูงสุด!
“พี่เขย ท่านคิดเช่นไร?”
เย่ซุ่นหันมองซูอี้โดยไม่รู้ตัว
ด้วยความสามารถของเขาในยามนี้ เว้นเพียงใช้วิชาต้องห้ามออกมาอย่างไร้ปรานี ตัวเย่ซุ่นจะไม่ใช่คู่ต่อกรของผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณจริง ๆ…
และการใช้วิชาต้องห้ามรังแก่จะทำให้สถานการณ์ของเขาแย่ลง
เพราะถึงอย่างไร เขาในยามนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยววิญญาณที่หลงเหลืออยู่ กระทั่งร่างของเขายังเป็นซากศพที่เพิ่งยืมมาแบบสุ่ม ๆ ซึ่งพอจะถือได้ว่าเป็นการ ‘ยืมศพคืนชีพ’
“เมื่อเจ้าไร้คุณสมบัติให้หยิ่งผยอง จงนิ่งสงบเข้าไว้”
ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ
เย่ซุ่นกล่าวอย่างเขิน ๆ “เพราะพี่เขยข้าอยู่ที่นี่หรอก ดังนั้นต่อให้นภาถูกทะลวง ข้าก็ไม่กลัว”
ซูอี้ “…”
โชคดีที่เขารู้อุปนิสัยของเจ้าเด็กเย่ซุ่นตั้งแต่ในอดีต หาไม่แล้วเกรงว่าคงมีตบเจ้าบ้าที่ชอบใช้นามของเขาราวจิ้งจอกยืมหนังเสือให้ตายไปข้าง
เมื่อพวกเขาได้ยินคำสนทนาระหว่างทั้งสอง ชายวัยกลางคนในชุดหนังงูและพรรคพวกก็นิ่งไปในคราแรก และจากนั้นก็หัวเราะลั่น
เจ้าแก่ซอมซ่อเหมือนขอทานนี่ เรียกชายหนุ่มผู้หนึ่งว่าพี่เขย!?
ซ้ำยังถือชายหนุ่มผู้นั้นเป็นผู้หนุนหลัง?
มองเช่นไรก็น่าขันนัก
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
จู่ ๆ ก็เกิดเสียงแหวกอากาศดังมาจากระยะไกล
ตามมาด้วยแสงทะยานอีกหลายสิบที่พุ่งมายังที่นี่
สีหน้าของพวกชายวัยกลางคนในชุดหนังงูเปลี่ยนแปร
“รีบส่งสมบัตินั่นมาซะ!”
ชายในชุดสีเงินกระวนกระวาย ข่มขู่เย่ซุ่นอย่างดุร้าย
ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้ขยับตัว เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ที่แท้ก็เป็นสหายจากสกุลฉี ช่างโชคดี พวกเจ้าพบเศษสมบัติชิ้นหนึ่ง!”
เสียงนั้นมาจากในหมู่แสงที่ทะยานมาหา
ผู้นำของพวกเขาเป็นชายชุดสีน้ำเงินผู้มีหนวดระย้าเยี่ยงต้นหลิว
“ซุนซ่างหลิ่ว? อันใดนี่ พวกเจ้าสำนักเมฆาวารีก็คิดเข้ามาลงปลักโคลนด้วยหรือ?”
ชายวัยกลางคนในชุดหนังงูหน้าเสีย เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายคือหนึ่งในเจ็ดสำนักใหญ่แห่งแคว้นซาเหอ ผู้ฝึกตนจากสำนักเมฆาวารี
ชายชุดสีน้ำเงินผู้นำหน้าพวกเขาคือซุนซ่างหลิ่ว รักษาการเจ้าสำนักเมฆาวารี
ตัวตนที่อยู่ในขั้นปลายของขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ!
ซุนซ่างหลิ่วถอนหายใจ “ในช่วงเวลานี้ ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนแทบจะปล้นโอกาสน้อยใหญ่ในเมืองผีหลิงหลงไปหมดแล้ว ยามนี้เมื่อในที่สุดก็ได้พบสุดยอดโอกาสสัมพันธ์เช่นนี้ เราสำนักเมฆาวารี… จะยอมพลาดได้เช่นไร?”
กล่าวจบ เขาก็เมินชายวัยกลางคนในชุดหนังงูไปมองเย่ซุ่นและกล่าวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “สหาย ขอเพียงเจ้ายอมส่งเศษสมบัตินั่นมา เม็ดโอสถจิตวารีระดับหกมูลค่าแปดร้อยศิลาวิญญาณนี้จะเป็นของเจ้า”
เขาหยิบขวดหยกออกมาส่ายเบา ๆ
เย่ซุ่นกลอกตามองชายวัยกลางคนในชุดหนังงู เติมเชื้อไฟใส่กองเพลิง “สหาย เจ้าทนการกระทำเยี่ยงนี้ได้หรือ?!”
ไม่ว่าใครก็เห็นได้ว่าเขาไม่ยินยอม
ซุนซ่างหลิ่วขมวดคิ้ว ก่อนจะเก็บขวดหยกในมือพลางแค่นเสียงเย็นชา “ไม่คิดดื่มเหล้าฉลอง จะดื่มเหล้าลงทัณฑ์!”
ตู้ม!
แขนเสื้อของเขาพองตัว ฟาดแขนขวา ห้านิ้วคว้าเข้าหาเย่ซุ่นทันที
ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนในชุดหนังงูก็ลงมือ ชกออกมาขวางฝ่ามือของซุนซ่างหลิ่วทันควัน
ท่ามกลางเสียงปะทะ ชายวัยกลางคนในชุดหนังงูกล่าวอย่างเย็นชา “ซุนซ่างหลิ่ว เจ้าไม่มองตระกูลฉีของข้าในสายตาแม้แต่น้อย! บอกไว้นะว่าตระกูลฉีของข้าจะนำเศษสมบัติชิ้นนี้ไปให้จงได้ ผู้ใดกล้าปล้นมัน ผ่านตระกูลฉีของข้าไปก่อน!”
เหล่าผู้ฝึกตนรอบกายเขาต่างสีหน้าย่ำแย่ มองคนจากสำนักเมฆาวารีอย่างเย็นชา
“จริงหรือ? งั้นข้าก็จะทิ้งข้อความไว้เช่นกัน เศษสมบัติชิ้นนั้นเป็นของสำนักเมฆาวารีของข้า!”
ซุนซ่างหลิ่วกล่าวอย่างเย็นชา
“หยุดเถียงกันได้แล้ว!”
เย่ซุ่นตะโกนลั่น “ฟังข้านะ สู้กันเถิด!”
ทุกคน “…”
ชายวัยกลางคนในชุดหนังงูมุมปากกระตุก เขาอยากตบเจ้าแก่นี่ให้ตายนัก
ไม่ไกลนัก สีหน้าของซุนซ่างหลิ่วเองก็ย่ำแย่ลง
เขากล่าวช้า ๆ “พี่ฉี ไยเราจึงไม่ฆ่าเจ้านี่ก่อน แล้วจึงมาคุยกันว่าผู้ใดจะถือครองสมบัตินั่นเล่า?”
ชายวัยกลางคนในชุดหนังงูเงียบไปครู่หนึ่ง จึงกัดฟันกล่าวว่า “ได้!”
สายตาของเขาจับจ้องเพียงเย่ซุ่น
สีหน้าของเย่ซุ่นแข็งค้าง ผรุสวาทกลับ “มองข้าเพื่ออันใด กัดกันเป็นหมาต่อไปสิ!”
ซูอี้ “…”
เขาอดเอามือก่ายหน้าผากไม่ได้
ทุกคน “…”
พวกเขาเห็นคนเย่อหยิ่งมามากมาย ทว่าไม่เคยพบพานผู้เย่อหยิ่งถึงเพียงนี้ ทำกระทั่งเรื่องชั่วร้ายอย่างยุแยงให้แตกกัน ทว่ากลับอ้างคุณธรรมอย่างไร้ปิดบัง!
“ฮ่า ๆๆ สหายผู้นี้น่าสนใจนัก!”
จู่ ๆ เสียงหัวเราะดังลั่นก็ดังขึ้น ชายในชุดสีทองผู้มีหนวดเคราหนา ถือง้าวสั้นสีดำก็ก้าวมาจากบนอากาศ
บรรยากาศรอบร่างของเขาสะท้านทั่วโลกา ร้ายกาจยิ่งนัก
เยว่สิงซาน!
เมื่อเห็นผู้มาใหม่ สีหน้าของชายวัยกลางคนในชุดหนังงู ซุนซ่างหลิ่วและยอดฝีมืออื่น ๆ จากสำนักเมฆาวารีก็เปลี่ยนผันเล็กน้อย แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา
เยว่สิงซานเป็นศิษย์สำนักในของสำนักอันดับหนึ่งของแคว้นซาเหออย่าง ‘สำนักมกรกุญชร’ และยังเป็นผู้ฝึกตนอาวุโสผู้หนึ่งด้วย
ไม่นานมานี้ สำนักมกรกุญชรได้ยอมสยบต่อหนึ่งในสามขุมอำนาจใหญ่จากต่างโลก ‘สำนักมารแปรดารา’!
นี่คือสิ่งที่ผู้คนกลัวที่สุด
การมีร่มไม้ใหญ่ให้พึ่งพิงนั้นเป็นเรื่องดี ทว่าในยุทธจักร เมื่อได้รับการหนุนหลังโดยพรรคระดับสูงสุด แม้จะมีการฝึกฝนย่ำแย่ ใครเล่าจะกล้าพิพาทด้วย?
อย่าว่าถึงเรื่องที่เยว่สิงซานก็เป็นมหาปราชญ์สวรรค์ในวิถีวิญญาณด้วยเลย!
การมาของเขาก็ยังทำให้บรรยากาศรอบข้างหดหู่ลงในฉับพลันด้วย
มีเพียงซูอี้ที่ดูเยือกเย็น มองไปรอบ ๆ อย่างครุ่นคิด
เขาเห็นได้ว่า ไม่ว่าผู้ฝึกตนเหล่านี้จะมาจากขุมอำนาจใด แต่พวกเขาดูจะใส่ใจเศษดาบวิถีสายฟ้าน้ำค้างแข็งในมือเย่ซุ่นมากนัก
ยามนี้ เย่ซุ่นถามขึ้นว่า “เจ้าก็มาที่นี่เพื่อเศษอาวุธนี้หรือ?”
เยว่สิงซานพยักหน้าพลางยิ้ม ก่อนกล่าวว่า “ถูกต้อง เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นชิ้นส่วนสมบัติระดับจักรพรรดิ กล่าวได้ว่าประเมินค่าไม่ได้ และในช่วงนี้ เหตุผลที่ผู้ฝึกตนมากมายรีบเร่งเข้ามายังเมืองผีหลิงหลงนี้ ก็เพื่อตามหาเศษสมบัติเหล่านี้อย่างไรเล่า”
แววตาของเย่ซุ่นซับซ้อน เขาไม่เคยคิดว่าเศษดาบที่ตนทิ้งไว้จะกลายเป็นอาหารอันโอชะในสายตาของเหล่าผู้ฝึกตนทุกวันนี้…
“ก็แค่เศษอาวุธวิเศษสองสามชิ้น ไม่ว่าจะมูลค่าสูงเพียงไรก็ไม่เห็นต้องใส่ใจมันนักเลยนี่ มีเหตุผลอื่นหรือไม่?”
ซูอี้ผู้เฝ้ามองอยู่แต่ต้นถามขึ้น
เยว่สิงซานกล่าวอย่างประหลาดใจ “เจ้าไม่รู้หรือว่า โถงวิญญาณหยินทมิฬให้สัญญาเมื่อไม่นานนี้ ว่าหากผู้ใดเก็บเศษสมบัติเช่นนี้ไปให้พวกเขาได้ จะได้รับรางวัลอย่างงามหาใดเทียบ”
“ในช่วงเวลานี้ มีผู้ฝึกตนมากมายที่ได้รับรางวัลมากพอให้ผู้อื่นอิจฉาจากการส่งเศษสมบัติที่ตนเจอให้พวกเขาแล้ว”
ซูอี้พลันตระหนักว่านี่คือเหตุผล
โถงวิญญาณหยินทมิฬถูกสร้างขึ้นโดยเย่ซุ่น
ผู้ฝึกตนในโถงวิญญาณหยินทมิฬย่อมรู้ดีที่สุดว่าเศษดาบวิถีสายฟ้าน้ำค้างแข็ง อันเป็นดาบของบรรพชนของพวกเขามีค่าเพียงไร
เย่ซุ่นตะลึง ดูโล่งใจเล็กน้อยและพึมพำ “พี่เขย ดูเหมือนศิษย์ของข้าจะยังไม่ลืมข้านะ”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ “พวกเขาก็แค่พยายามเก็บสมบัติที่เจ้าทิ้งไว้เท่านั้นต่างหาก”
เย่ซุ่น “…”