บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 67 หนึ่งดาบแยกพสุธามหาสมุทร ดับสิ้นความวุ่นวาย
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 67 หนึ่งดาบแยกพสุธามหาสมุทร ดับสิ้นความวุ่นวาย
ท่ามกลางความมืดมิดเนื่องจากฝนกระหน่ำหนัก ทันใดนั้นจู่ ๆ ปรากฏมหาดวงตะวัน เหตุการณ์เช่นนี้มันคือเรื่องราวใด?
ชั่วขณะนี้ สตรีในชุดทหารพร้อมคณะคนที่สิ้นหวังกลับเกิดแสบตาขึ้นมา กระนั้นความหนาวเย็นทั้งร่างกลับเลือนหายในคราเดียว มันถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นที่เลือนหายไปนาน
ไม่ช้า ทั้งกลุ่มคนจึงได้เห็นซูอี้ถือดาบประกายมรกต ดวงตาพวกเขาเบิกกว้างแตกตื่น ประหนึ่งพบเจอเทพเจ้าเยือนยังแดนมนุษย์!
ชี่ ชี่ ชี่~
ขณะเดียวกัน แมลงปีศาจที่ปิดล้อมสตรีในชุดทหารและกลุ่มผู้คุ้มกัน เมื่อต้องแสงประกายจ้านี้ พวกมันก็ละลายประหนึ่งหิมะกลายเป็นน้ำ ก่อนจะแตกสลายเป็นควันสีดำ
“นี่…”
อาหย่งที่ใกล้จะตายอยู่รอมร่อ ขณะนี้สัมผัสได้ว่าม่านพลังสีเลือดอันชั่วร้ายที่กำลังแช่แข็งตนกลับกำลังเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว อารมณ์ของเขาในตอนนี้คล้ายเหมือนคนที่กำลังจมน้ำเพิ่งถูกช่วยนำพาขึ้นฝั่ง ในใจทั้งประหลาดใจและยินดี
ยามมองไปยังกายของซูอี้ เขาก็อดตื่นตระหนกไม่ได้
ในสายตาของเขาขณะนี้ ซูอี้ดูเปลี่ยนเป็นคนละคน คล้ายเทพเซียนนำพาดาบอันทรงเกียรติสู่ผืนโลก ท่าทีเปรียบได้ดังกับพระโพธิสัตว์มาโปรด!
ในทางกลับกัน
สีหน้าบุรุษหนุ่มงดงามได้แปรเปลี่ยน เพราะตระหนักได้ถึงอันตราย
โดยเฉพาะยามเผชิญหน้าดาบประกายแสงในมือของซูอี้ ทั้งกายเขารู้สึกแสบร้อนเกินใดเทียบเปรียบ
“ไม่นึกเลย วันนี้กลับต้องพบเจอตอที่ขุดยาก!”
บุรุษหนุ่มแผดเสียงอันดัง แววตาทอประกายดุร้าย พัดในมือโบกสะบัดรุนแรง
ตู้ม!
กระแสไอเย็นเยือกกว้างใหญ่กว่าครั้งใดพวยพุ่ง มันไหลบ่าท่วมท้น ปกคลุมทั้งฟากฟ้าประหนึ่งอุทกภัย
“จงรู้เอาไว้ ดาบเล่มนี้ ข้าเตรียมมาใช้กับเจ้าโดยเฉพาะ!”
ซูอี้เอ่ยขึ้นก่อนจะกำด้ามจับดาบประกายมรกต เสียงดาบสั่นร้องกังวานทั่วฟ้าดิน
ชั่วพริบตา ปราณดาบแผ่สยายออกดั่งแสงดวงตะวัน เจตจำนงแห่งดาบพวยพุ่งแหวกผ่านผืนฟ้ายามราตรี ราวกับพร้อมที่จะผ่าแยกแม้พสุธาหรือมหาสมุทร
หนึ่งดาบแยกพสุธามหาสมุทร ดับสิ้นความวุ่นวายในฉับพลัน!
นี่คือกระบวนท่า ‘ตัดพสุธามหาสมุทร’ หนึ่งในกระบวนท่าดาบของชุดเพลงดาบสุดปรีดี!
ไม่มีสิ่งใดที่อาจสาธยายถึงพลังของดาบนี้ได้
ยามฟาดฟันออก ประหนึ่งผ่าพสุธานับแสนลี้ แยกท้องสมุทรสีครามอันไร้สิ้นสุดให้ขาดสะบั้น!
ทางด้านของผู้คนอื่นที่กำลังจับจ้อง เป็นเพราะความเข้าใจที่ตื้นเขิน พวกเขาจึงไม่อาจทราบว่าดาบนี้ลึกล้ำเพียงไหน พวกเขาต่างเข้าใจเพียงว่าอำนาจของมันนั้นจะต้องไร้เทียบเทียม โดยเฉพาะเมื่อเห็นดาบแสงยักษ์สูงเสียดฟ้ากำลังฟาดผ่าลงมา
ชั่ววินาทีที่ดาบแสงฟาดผ่าลง พลังชั่วร้ายสีเลือดไม่อาจทานทน แสงจากดาบทะลวงตัดผ่านพลังต่ำช้าอย่างง่ายดาย มุ่งทะยานตรงเข้าหาบุรุษหนุ่มรูปงามโดยตรง
ต่อให้บุรุษหนุ่มงดงามตรงหน้าแข็งแกร่งยิ่งใหญ่เช่นไร แม้การฝึกฝนจะสูงส่งยิ่งกว่าขอบเขตปรมาจารย์ก็ไม่ใช่ประเด็น
ยามเมื่อเผชิญดาบเล่มนี้ บุรุษหนุ่มรูปงามก็แสดงสีหน้าราวกับเผชิญคู่ปรับที่ตนแพ้ทาง จึงเผยอาการตื่นตระหนกอยากจะหลีกหนี!
แต่น่าเสียดาย แสงดาบราวดวงตะวันแผ่ปกคลุมทั่วสิบทิศจำกัดความเคลื่อนไหวบุรุษหนุ่มอย่างอยู่หมัด เมื่อคมดาบบรรจบยังเป้าหมาย มันก็ได้ผ่าร่างบุรุษหนุ่มออกเป็นครึ่งโดยง่ายดายราวกับมีดร้อนผ่าเต้าหู้อ่อน
“ม…ไม่…!!!!”
เสียงกรีดร้องบาดแก้วหูดังขึ้นจากริมฝีปากบุรุษหนุ่มรูปงาม
พริบตา ร่างนั้นก็ถูกผ่าเป็นสองซีก บาดแผลรอยตัดเรียบเนียน และร่วงหล่นพื้นไป
บุรุษรูปงามผู้ดูหมิ่นขอบเขตปรมาจารย์ ผู้มีชัยเหนือผู้สำเร็จขอบเขตรวบรวมลมราณขั้นสมบูรณ์แบบ แต่แค่เพียงหนึ่งดาบสับฟัน ร่างกลับถูกผ่าแยกเป็นสอง!
หนึ่งดาบปลิดชีพ ประหนึ่งเทพเซียน!
“นี่…นี่ใช่พลังที่ขอบเขตโคจรโลหิตจะมีได้งั้นหรือ?”
กลุ่มผู้คุ้มกันตื่นตะลึง และหนึ่งในกลุ่มคน ถึงขั้นแตกตื่นจนร้องเสียงหลงออกมา
“ไม่นึกคิดเลย ว่าข้าดวงตามืดบอด ถึงขนาดไม่ทราบว่ายอดฝีมือคือผู้ใด…”
พละกำลังของอาหย่งฟื้นกลับคืนมาบ้างแล้ว เมื่อพบเห็นฉากที่ปรากฏตรงหน้า จิตใจเขาแตกตื่นลอยล่อง ใบหน้าสับสนต่อชีวิต ราวไม่คิดเชื่อสิ่งที่เห็น ทั้งสะพรึงกลัว ทั้งรู้สึกอับอาย…
‘นี่ท่านเขย… เป็นเทพเซียนในตำนานงั้นหรือ?’ กัวปิ่งตื่นตะลึง ความคิดหนึ่งเดียวผุดปรากฏในใจ
สตรีในชุดทหารจับจ้องไปยังซูอี้โดยตรง ใจนางเกิดอารมณ์แปรเปลี่ยนไปมา มันซับซ้อนและปรับเปลี่ยนไปมาราวแทบหลุดการควบคุม
ในวันนี้ นางได้สัมผัสสภาวะอารมณ์หลากประการแล้ว
ตื่นเต้นที่ได้กำจัดคนของพรรคมารหยิน โกรธเกรี้ยวต่อท่าทีดูแคลนของซูอี้ เศร้าเสียใจต่อการสูญเสียผู้คุ้มกันไปเมื่อครู่ แตกตื่นและสิ้นหวังต่อความตายที่ใกล้มาเยือน…
จนกระทั่งเวลานี้ ความรู้สึกอันหลากหลายพลันแตกเป็นเสี่ยงด้วยดาบของซูอี้ มันระเบิดออกกลางอก ตามมาด้วยความรู้สึกยินดี ตื่นเต้น และเหลือเชื่อ ทั้งหมดราวกับเป็นคลื่นยักษ์โหมซัด
ทั้งหมดทำเอาในศีรษะนางเกิดว่างเปล่า ทำได้เพียงยืนนิ่งโง่งม สายตามองไปยังชายหนุ่มในชุดสีคราม ที่ราวกับเป็นเซียนหนุ่ม จนกระทั่งจิตลอยล่อง
ฟู่~
ขณะเดียวกันนั้น ซูอี้ผ่อนลมหายใจ
ดาบเมื่อครู่ ได้ก่อตัวขึ้นจากอักขระที่ซูอี้แกะสลักเข้าไปบนยันต์ไผ่วิญญาณหยกขจีเมื่อคืนก่อน ซึ่งเรียกขานว่า ‘อาคมผลาญมหาตะวัน’
แม้อาคมนี้จะไม่ได้สูงล้ำยิ่งใหญ่อะไรนัก แต่กระนั้นมันก็ไม่ใช่อะไรที่ผู้บ่มเพาะที่อยู่ในขั้นวิถียุทธ์จะเรียกใช้ได้
ดังนั้นยามใช้ยันต์อาคมนี้ ซูอี้จึงต้องทุ่มเทแรงกายและใจ รีดเร้นยืมเอาพลังจากตราผนึกดาบเก้าคุมขังออกมาและนำใส่ตัวยันต์ กว่าจะสำเร็จได้นั้นยากลำบากไม่ใช่น้อย
โดยเฉพาะการออกกระบวนท่าดาบเมื่อครู่ ตัวเขาเกือบเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี จิตและวิญญาณแสดงอาการว่าอ่อนแรงอย่างเด่นชัด
“ต่อให้อยู่ขอบเขตรวบรวมลมปราณ ก็ยังแทบจะทานทนไม่ไหวเมื่อใช้มัน…”
ซูอี้เย้ยกับตนเองพลางส่ายศีรษะ
หากเป็นตัวเขาในชาติภพก่อน คงไม่ต้องถึงขนาดใช้อาคมผลาญมหาตะวันแผดเผาสิ่งชั่วร้าย เพียงแต่ใช้ ‘ตัดพสุธามหาสมุทร’ หนึ่งครั้ง ก็มากพอดับชีวิตขอบเขตจักรพรรดิได้ทั้งโลกหล้า!
กับเพียงแค่ซากศพหยินหกสมบูรณ์ยิ่งไม่คู่ควรได้กล่าวถึง
ซูอี้นำหน่อไผ่วิญญาณหยกขจีที่เตรียมไว้ออกมา หลังกลืนลงไปจำนวนหนึ่ง สภาพของเขาก็ค่อยดีขึ้น และรับรู้ได้ถึงพลังที่ฟื้นคืนกลับสู่กายที่เคยว่างเปล่า เป็นเหตุให้ผ่อนลมหายใจได้
เขามองบนพื้นใกล้เคียง
ร่างบุรุษหนุ่มผู้งดงามซึ่งถูกผ่าแยก เลือดข้นสีดำยังคงไหลทะลักออก ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นชวนสะอิดสะเอียน
ยามมองใกล้ ผิวหนังที่ดูดีนั้นเริ่มแตกร้าวและย่อยสลาย ภายใต้ผิวเผยให้เห็นร่างศพอันเน่าเปื่อย!
กล่าวคือ ภายใต้เปลือกนอกหนังมนุษย์อันงดงามนี้ เป็นซากศพหยินหกสมบูรณ์ที่แฝงกายอยู่
“ขอบคุณท่านเซียนที่ช่วยเหลือ บุญคุณครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก ผู้น้อยนี้จะไม่มีวันลืม หากภายหน้าท่านเซียนต้องการสิ่งใด ข้าจะบุกบ่าฝ่าอันตรายตอบแทนโดยไม่ลังเล!”
อาหย่งซึ่งหายจากอาการตื่นตระหนก รีบเร่งสาวเท้าเดินเข้าหา พร้อมประสานมือคำนับ ท่าทีทั้งยำเกรงและสำนึกต่อบุญคุณ
คนเช่นเขา มีหรือไม่เข้าใจว่าเด็กหนุ่มเช่นซูอี้ ไม่ใช่ผู้ที่คนทั่วไปจะเทียบเปรียบได้
มันไม่เกินเลยแม้แต่น้อยหากจะกล่าวว่าดาบเมื่อครู่นี้ของซูอี้ มันมากพอทำให้ผู้ฝึกตนขอบเขตปรมาจารย์ยังต้องค้อมศีรษะให้!
อีกทั้ง ดาบเมื่อครู่ยังช่วยทุกชีวิตที่นี่ไว้ ซึ่งเป็นบุญคุณสูงล้ำอย่างแท้จริง ฉะนั้นถ้อยคำทั้งหมดที่กล่าวออก ล้วนพูดกล่าวจากใจจริง ทั้งยังสำนึกขอบคุณอย่างแรงกล้า
ทางด้านของกลุ่มผู้คุ้มกันและคณะ เมื่อได้สติต่างก็แสดงอาการตระหนก รีบเร่งร้อนร่วมคำนับด้วยความยำเกรงเช่นกัน
“บุญคุณที่ท่านเซียนช่วยชีวิต ข้าจะไม่มีวันลืม!”
ในใจพวกเขารู้สึกสำนึกบุญคุณ ทั้งยังเกิดอึดอัดภายในใจ
เนื่องจากครั้งแรกที่ได้พบซูอี้ที่เมืองกว่างหลิง จนกระทั่งมาเยือนภูเขามารดาภูตผี พวกเขาทั้งเหยียดหยามและรังเกียจต่อซูอี้มาตลอดทาง
หลายคนกระทั่งนึกคิดอยากสั่งสอนซูอี้สักคราด้วยซ้ำ
กระนั้นตอนนี้ ยามเผชิญหน้ากับซูอี้ผู้สามารถสังหารบุรุษรูปงามผู้แข็งกล้าในหนึ่งดาบ ผู้ใดกันบ้างจะกล้าปล่อยใจตามสบาย?
“ท่านเขย… ท่าน…ท่านเป็นเซียนจริงงั้นหรือ?”
กัวปิ่งก้าวเดินเข้ามาด้วยอาการสั่นเทา ถ้อยคำกล่าวตะกุกตะกัก ราวมนุษย์ที่เพิ่งได้มีโอกาสพบเจอเซียน
“ข้าไม่ใช่เทพเซียน”
สิ้นคำกล่าวซูอี้ เขามองยังอาหย่งและผู้อื่น ถ้อยคำกล่าวราบเรียบ “เหตุผลที่ข้ามายังภูเขามารดาภูตผีครั้งนี้ ก็เพื่อจัดการเดรัจฉานเมื่อครู่ รวมถึงตามหาสมุนไพรวิญญาณ ที่ออกดาบเมื่อครู่ไม่ใช่ว่าจงใจช่วยพวกเจ้า แต่เพราะเดรัจฉานนั่นคือเป้าหมายของข้าแต่แรก ดังนั้นพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องซาบซึ้งใด ๆ”
ถ้อยคำเขากล่าวไปตามจริง
เมื่อตอนที่ตัดสินใจเยือนยอดเขามารดาภูตผี เขาคาดการณ์แล้วว่าหากเขาตามหาหญ้าหกหยินและดอกไม้แสงตะวัน เขาจะต้องได้สู้รบกับซากศพหยินหกสมบูรณ์
เพราะเหตุนั้น เขาจึงสร้างยันต์ด้วยไผ่วิญญาณหยกขจี เพื่อใช้มันในเวลาเผชิญหน้ากับซากศพหยินหกสมบูรณ์
“ที่แท้ท่านเซียนก็มาเพื่อสังหารเดรัจฉานตนนี้”
อาหย่งยิ่งเกิดยำเกรง ท่าทียิ่งหวั่นเกรงมากขึ้น
แท้จริงแล้ว อาหย่งและผู้อื่นยังไม่ทราบ
การที่หนึ่งดาบของซูอี้เมื่อครู่ทรงอานุภาพยิ่งใหญ่ เป็นเพราะพลังของยันต์อาคมที่มีคุณสมบัติปราบปรามภูตผีโดยเฉพาะ
ต่อให้เป็นขอบเขตปรมาจารย์มาด้วยตนเอง ก็ไม่มีทางใช้พลังอันยิ่งใหญ่เพียงนั้นได้
กล่าวคือ หนึ่งดาบเมื่อครู่เตรียมไว้เพื่อสังหารซากศพหยินหกสมบูรณ์โดยเฉพาะ
หรือต่อให้ทราบกระจ่าง อาหย่งและคณะก็ไม่มีทางกล้าดูหมิ่น อย่างไรพลังอำนาจและความยิ่งใหญ่ของหนึ่งดาบเมื่อครู่นี้ ก็เกินกว่าความรู้และความเข้าใจของพวกเขา
“เจ้าที่แข็งแกร่งเพียงนั้น เหตุใดจึงไม่ลงมือแต่แรก?”
ทันใดนี้ สตรีในชุดทหารก้าวเดินเข้ามา ใบหน้าเปี่ยมด้วยโทสะ “หากเจ้าลงมือแต่แรก หูจิ่วและจางถงมีหรือจะถูกแมลงปีศาจสังหารตกตาย? อาหย่งมีหรือจะต้องแบกรับความทรมานจนเกือบสิ้นใจ? มีหรือพวกข้าจะต้องหวาดกลัวจนตัวสั่น?”
พื้นที่กลายเป็นเงียบงัน
ยามเผชิญคำถามอันหยาบคายเหล่านี้ กัวปิ่งผู้ซื่อสัตย์ไม่อาจนิ่งเฉย ถ้อยคำกล่าวออก
“แม่นาง ท่านหยามเหยียดหาเรื่องท่านเขยมาตลอดทั้งเส้นทาง ไม่เพียงแต่ท่านเขยจะไม่ใส่ใจเอาความ แถมขณะนี้เขาเพิ่งช่วยชีวิตท่าน แต่ท่านกลับไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ ถามคำเหล่านี้เอ่ยออกมา ท่านไม่คิดว่าตัวเองทำเกินเลยไปหรือไร?”
กระทั่งท่าทีอาหย่งขณะนี้ยังแปรเปลี่ยน ใจเขาสะท้านสั่นเครืออย่างรุนแรง
คุณหนูของตน ถึงขั้นกล่าวคำเหล่านี้ออก ต่อหน้าซูอี้ผู้เป็นตัวตนอันชวนสะพรึง!
พลังที่ตัวเขาครอบครองเมื่อครู่ มันมากพอทำลายทุกชีวิตที่นี้โดยง่ายดาย เหตุใดจึงกล้าทำตัวไร้ความยำเกรงได้ถึงเพียงนี้?
เขาจึงเร่งร้อนก้าวเดินออก สีหน้าเคร่งขรึม คำต่อว่าเอ่ยขึ้น “คุณหนู ท่านควรมีสติกว่านี้! ก่อนหน้านี้พวกเรากระทำตัวหยาบคายต่อท่านเซียนซูมาโดยตลอด ต่อให้ท่านเซียนซูไม่คิดช่วยพวกเราเขาก็ยังไม่ผิดด้วยซ้ำ กระนั้นท่านเซียนซูยังแสดงน้ำใจหยิบยื่นช่วยเหลือ เป็นประหนึ่งสวรรค์มอบโอกาส แต่แล้ว ตอนนี้ท่านกลับเอ่ยวาจาไร้ซึ่งมารยาทเช่นนี้ได้อย่างไร!?”
ถ้อยคำต่อว่าทั้งหลาย มุ่งตรงใส่สตรีในชุดทหารที่ยืนนิ่งงงงันไม่ไหวติง
มันถือเป็นครั้งแรกที่อาหย่งซึ่งนางทั้งรักและนับถือ ดุด่าใส่ตนเองประหนึ่งขุ่นเคืองถึงเพียงนี้
สายตาที่ขึงขังซึ่งมองมา มันทำนางเกิดรู้สึกราวกับไม่ใช่คนที่รู้จัก
สตรีในชุดทหารผู้นี้ถูกตามใจนับตั้งแต่เด็ก เป็นที่รักของผู้คนนับพันหมื่น รวมกับรูปลักษณ์อันโดดนเด่นและภูมิหลังอันยิ่งใหญ่ ไม่ว่าไปเยือนที่ใด ล้วนได้รับแต่คำชื่นชม
แต่เวลานี้ โดยไม่คาดคิดว่าเพียงถ้อยคำที่นางเอ่ยออกสั้น ๆ จะทำอาหย่งดุด่านางถึงเพียงนี้
“คุณหนู ผู้อาวุโสเฉิงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว ขอท่านอย่าได้ขาดสติเพราะโทสะ!”
คณะผู้คุ้มกันพร้อมใจเอ่ยคำช่วยระงับอารมณ์
กระทั่งพวกเขายังตื่นตระหนกต่อวาจาอันเสื่อมเสียที่คุณหนูของตนกล่าวออก หากซูอี้มีโทสะ แค่เพียงหนึ่งดาบพาดผ่าน พวกเขาทั้งหมดคงถูกฝังพร้อมกันที่นี่
อาหย่งกล่าวคำเข้าข้างซูอี้
แม้กระทั่งกลุ่มผู้คุ้มกันก็เช่นกัน
ชั่วขณะนี้ สตรีในชุดทหารเกิดรู้สึกราวเดียวดายในโลกหล้า ใบหน้างดงามแปรเปลี่ยน ดวงตาทอประกายความสับสน
เป็นตัวนางหรือที่ผิด?
ครู่หนึ่ง สตรีในชุดทหารคล้ายได้สติขึ้นมาพร้อมเหตุผล ยามนี้เผชิญหน้ากับซูอี้ นางจึงค้อมศีรษะอันอหังการเมื่อครู่ลงด้วยความสำนึกเสียใจ