บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 670 ลงมือ
ตอนที่ 670: ลงมือ
ตอนที่ 670: ลงมือ
การมาถึงของเยว่สิงซานทำให้คนทั้งสองกลุ่มซึ่งนำโดยชายวัยกลางคนในชุดหนังงูและซุนซ่างหลิ่วต่างหวาดหวั่น
ทว่าพวกเขาก็ไม่คิดจากไป
สถานการณ์ตึงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
เยว่สิงซานจะไม่เห็นได้เช่นไร?
เขามองพวกชายวัยกลางคนในชุดหนังงูและกล่าวว่า “พวกเจ้าไม่สะดวกใจหรือ?”
ชายวัยกลางคนในชุดหนังงูดูมืดหมอง ครู่ต่อมาก็ถอนหายใจเบา ๆ “ในเมื่อเป็นวาจาของสหายเต๋าเยว่ เช่นนั้นข้าจะรอก่อน… จะเดินหน้าหรือถอย หากไม่รอดูจะรู้ได้เช่นไร?”
เยว่สิงซานยิ้มน้อย ๆ พลางกล่าวว่า “ขอบคุณ”
เขามองซุนซ่างหลิ่วและผู้ฝึกตนอื่น ๆ ในสำนักเมฆาวารีอีกครั้ง และกล่าวว่า “พวกเจ้าทั้งหลายปล่อยโอกาสนี้ไปได้หรือไม่?”
เปลือกตาของซุนซ่างหลิ่วกระตุก กล่าวอย่างยินดี “เชิญพี่เยว่!”
เยว่สิงซานอดแสดงความพอใจออกมาไม่ได้ พลางกล่าวว่า “ขอบคุณ”
จากนั้น เขาก็หันไปกล่าวกับเย่ซุ่นด้วยรอยยิ้มว่า “สหาย ยามนี้เจ้าไม่อาจยั่วยุผู้ใดได้ จะเต็มใจส่งสมบัติมาให้เราได้หรือไม่? หรือจะลงมือเอง?”
ผู้ฝึกตนอาวุโสแห่งสำนักมกรกุญชรมีท่าทางสง่างามและพึงพอใจ มั่นใจว่าตนจะชนะ
เย่ซุ่นเองก็ยิ้มขำ และกล่าวต่อว่าต่อหน้า “เจ้าก็แค่เสแสร้ง! ไม่มองตนเองเลย คิดว่าเราโง่นักหรือ?”
วาจาของเขาช่างหยาบคาย ราวเสียงก่นด่าในตลาดสดข้างถนน
ซูอี้อดนวดหว่างคิ้วตนไม่ได้
หากผู้ใดล่วงรู้ว่าเจ้าเด็กนี่คือจักรพรรดิผีหมิงหลัวผู้ก่อตั้งโถงวิญญาณหยินทมิฬ พวกเขาจะรู้สึกเช่นไร?
เมื่อมองเยว่สิงซานอีกครั้ง ใบหน้าชราของเขาก็แดงก่ำ ดวงตาเบิกกว้างด้วยโทสะ หนวดปลิวกระพือ กล่าวเสียงแข็ง “โอหัง! ท้าตีแท้ ๆ!”
ร่างของเขาส่งเสียงคำรามข่มขวัญ และจู่ ๆ ก็เงื้อมือขวาเตรียมลงมือ
ทว่าเสียงตะโกนดังสนั่นก็แว่วมาจากไกล ๆ
“ช้าก่อน!”
ทุกคนตะลึงและมองตามเสียง
พบคนกลุ่มหนึ่งกำลังมา
ผู้นำทางคือชายวัยกลางคนในชุดดำ เขาคือกวนเถี่ยซาน
เมื่อเห็นคนผู้นี้ เย่ซุ่นก็อดประหลาดใจไม่ได้ ก่อนกล่าวว่า “พี่เขย ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าเจ้านี่จะมีคุณธรรมนัก!”
เขายังคงจำได้ว่าก่อนเข้าสู่เมืองผีหลิงหลง กวนเถี่ยซานเคยบอกพวกเขาว่าหากพบอุปสรรคในเมืองผีหลิงหลง พวกเขาสามารถขานนามกวนเถี่ยซานได้
ยามนั้น เย่ซุ่นดูแคลนน้ำคำนี้ยิ่ง ด้วยคิดว่าคนผู้นี้เสแสร้งเก่งนัก
ไม่เคยคิดว่ากวนเถี่ยซานจะก้าวเข้ามาช่วยจริง ๆ เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น!
“จริงหรือ? ดูอีกทีสิ”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย
ขณะที่เขาพูด รอบข้างก็เกิดเสียงฮือฮาทั่วทุกหนแห่ง
“ยอดฝีมือจากคีรีดาบเมฆาเร้น!”
“ยามใดกันที่เจ้าแก่กวนเถี่ยซานไปพึ่งใบบุญของคีรีดาบเมฆาเร้น?”
เมื่อพวกชายวัยกลางคนในชุดหนังงูและซุนซ่างหลิ่วเห็นเหล่าผู้ฝึกตนด้านหลังกวนเถี่ยซาน ทุกคนต่างแสดงความประหลาดใจ
ผู้ฝึกตนเหล่านี้ย่อมเป็นชายหนุ่มในอาภรณ์ขนนกฉู่อวิ๋นเคอ และยอดฝีมือคนอื่น ๆ จากคีรีดาบเมฆาเร้น
สีหน้าของเยว่สิงซานเองก็เปลี่ยนผันในฉับพลัน เขาเก็บมือที่เงื้อค้างอยู่ และหันไปโค้งให้กับพวกฉู่อวิ๋นเคอทันที
“เยว่สิงซานจากสำนักมารแปรดาราคารวะทุกท่าน!”
สีหน้าของเขาแสดงแต่ความเคารพและเกรงขาม กิริยาวาจาถ่อมตน ไร้ความสง่างามสูงส่งเช่นก่อน
“คารวะทุกท่าน”
ยามนี้ ไม่ว่าจะเป็นซุนซ่างหลิ่วและคณะจากสำนักเมฆาวารีหรือกลุ่มของชายวัยกลางคนในชุดหนังงู พวกเขาล้วนต่างก้าวออกมาคำนับ
สีหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความยำเกรง
เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องทั้งหมดนี้ ผู้นำอย่างฉู่อวิ๋นเคอดูเย็นชาไม่หวั่นไหว เขาทำเพียงพยักหน้าน้อย ๆ อย่างโอหัง
“มิน่าเล่า ตาแก่นี่จึงเย่อหยิ่งนัก ที่แท้ก็พึ่งใบบุญคีรีดาบเมฆาเร้นอยู่…”
ในที่สุด เย่ซุ่นก็เข้าใจ
เขาย่อมรู้จักคีรีดาบเมฆาเร้น เมื่อสามหมื่นปีก่อน มันถูกเรียกเป็นสำนักดาบอันดับหนึ่งแห่งโลกา
ผู้ก่อตั้งสำนักนี้คือ ‘จักรพรรดิดาบเจ็ดกำราบ’ ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในตำนานของวิถีดาบ
ทว่าทายาทคีรีดาบเมฆาเร้นตรงหน้าเขาเหล่านี้ไม่เข้าตาของเย่ซุ่นเลยสักนิด
ยิ่งกว่านั้น เมื่อมีซูอี้อยู่ อย่าว่าแต่คนของคีรีดาบเมฆาเร้นเลย ต่อให้จักรพรรดิดาบเจ็ดกำราบมาเอง เขาก็จะไม่แม้แต่ขมวดคิ้ว
“เจ้าทั้งสอง เราพบกันอีกแล้ว”
กวนเถี่ยซานก้าวออกมาทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเยว่สิงซาน ชายวัยกลางคนในชุดหนังงู ซุนซ่างหลิ่วและคณะเห็นเช่นนี้ พวกเขาก็อดหลั่งเหงื่อกาฬไม่ได้
ยามนี้เอง พวกเขาจึงตระหนักว่าคนทั้งสองที่พวกตนมองว่าเป็นแพะอ้วน ที่แท้รู้จักกับกวนเถี่ยซาน!
เย่ซุ่นกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ไม่คาดเลยว่าเจ้าจะสามารถอย่างยิ่ง”
กวนเถี่ยซานโบกมือ ก่อนกล่าวอย่างจริงจัง “อย่าพูดเช่นนั้นเลย กวนผู้นี้ก็แค่เป็นธุระให้คนใหญ่คนโตจากคีรีดาบเมฆาเร้นเหล่านี้เท่านั้น”
แม้จะพูดเช่นนั้น แต่สีหน้าของเขามีร่องรอยความภาคภูมิ
เย่ซุ่นหัวเราะ “เป็นธุระอันใด? …เจ้าหลอกข้าไม่ได้หรอก ด้วยไม่ใช่ทุกคนสามารถทำสิ่งนี้ได้”
“กวนเถี่ยซาน อย่าเปลืองเวลาอีกเลย”
ไม่ไกลนัก ชายชราผมขาวข้างกายฉู่อวิ๋นเคอขมวดคิ้ว
กวนเถี่ยซานชะงัก รีบพยักหน้าตอบว่า “ขอรับ!”
จากนั้น เขาก็ไอแห้ง ๆ และกล่าวกับเย่ซุ่น “สหายเอ๋ย เจ้าก็เห็นเช่นกันว่าการมาของเราช่วยพวกเจ้าจากหายนะถึงตายได้ ไม่ใช่ว่า… นี่คือเวลาที่พวกเจ้าควรตอบแทนหรือ?”
เย่ซุ่นตะลึง ยกเศษดาบวิญญาณสายฟ้าน้ำค้างแข็งในมือขึ้น กล่าวว่า “เจ้าก็มาเพื่อสิ่งนี้หรือ?”
กวนเถี่ยซานกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มเช่นเคย “ใต้เท้าฉู่อวิ๋นเคอสนใจชิ้นส่วนสมบัตินี้นัก หากสหายยินยอมมอบให้มันก็คงเยี่ยมยอด”
“มอบให้?”
รอยยิ้มของเย่ซุ่นเลือนหาย เขาถอนหายใจอย่างผิดหวัง “ข้าก็คิดนะว่าเจ้าเป็นผู้มีคุณธรรมกล้าหาญ ชักดาบเข้าช่วยเหลือเมื่อพบอยุติธรรม ไม่คาดเลยว่าเจ้าเองก็หมายตาสมบัติของข้าเช่นกัน”
กวนเถี่ยซานมีสีหน้าอับอาย จากนั้นจึงกล่าวทันทีอย่างไม่พอใจ “สหายเอ๋ย ข้าช่วยเจ้าเลี่ยงเคราะห์ถึงตายนะ ชิ! เจ้า… ไยจึงพูดเช่นนั้นได้? เร็วเข้า ส่งสมบัตินั่นมา อย่าเปลืองเวลาใต้เท้าเหล่านั้น!”
เสียงของเขาสื่อถึงการตำหนิและขู่อย่างชัดเจน
เมื่อเห็นเช่นนี้ เยว่สิงซาน ซุนซ่างหลิ่ว ชายวัยกลางคนในชุดหนังงูและคนอื่น ๆ ก็ตระหนักว่าก่อนหน้านี้ พวกตนคิดผิด
การมาของยอดฝีมือจากคีรีดาบเมฆาเร้นและกวนเถี่ยซานนั้น ไม่ใช่การช่วยทั้งสองแม้แต่น้อย!
พวกเขาอดทอดถอนใจครู่หนึ่งไม่ได้
เมื่อมียอดฝีมือจากคีรีดาบเมฆาเร้นอยู่ พวกเขาจะมีโอกาสใดให้ชิงเศษสมบัติชิ้นนั้น?
ทว่า พวกเขาก็เห็นเย่ซุ่นตบไหล่กวนเถี่ยซานพลางกล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง “เฒ่ากวน เจ้าก็แค่เด็กเดินธุระ เห็นแก่วาสนาเล็กจ้อยที่เรามีต่อกัน ข้าจะให้โอกาสเจ้า ไปเสียตอนนี้ หาไม่ ต่อให้ไม่ฆ่า ข้าก็จะถลกหนังเจ้า”
กวนเถี่ยซาน “???”
ทุกคน “…”
ตาแก่ซอมซ่อนี่เป็นคนบ้าหรือไม่?
หากไม่ใช่เช่นนั้น เขาไม่เห็นสถานการณ์ยามนี้หรือไรว่า มีเพียงการส่งชิ้นส่วนสมบัตินั่นไปเท่านั้น ชีวิตจึงจะอยู่รอด?
“อาจารย์อาหวัง ท่านไป”
ไม่ไกลนัก ฉู่อวิ๋นเคออดรนทนไม่ได้ขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยวาจาราวกับไม่แยแส
“ได้”
ชายชราผมขาวพยักหน้า
ในขณะที่เขากำลังจะลงมือนั้นเอง ชายในชุดคลุมผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาและกล่าวคำ “อย่าฆ่าไก่ด้วยมีดล้มวัวเลย อาจารย์อาหวัง ให้ข้าลงมือเถิด”
ชายผู้นี้มีไหล่กว้าง เอวสอบ ร่างสูงโปร่ง ผิวสีทองแดง และดวงตาคมกริบเยี่ยงอินทรี
เมื่อเขาก้าวออกมา บรรยากาศรอบข้างพลันหดหู่ลง
สีหน้าของกวนเถี่ยซานเปลี่ยนกะทันหัน และรีบเร่ง “สหาย เหตุใดไม่ส่งสมบัติเจ้าแล้วก้มหัวขอขมาใต้เท้าเหล่านี้เสีย?”
“สายไปแล้ว”
ชายในชุดคลุมโบกมือกล่าว “เจ้าออกไปห่าง ๆ เสีย!”
หัวใจของกวนเถี่ยซานบีบเค้น
“หือ?”
ชายในชุดคลุมขมวดคิ้ว
ด้วยกวนเถี่ยซานถอยหลบไปข้าง ๆ ราวกระต่ายแตกตื่น
ภาพนี้ดูตลกนัก
ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าหัวเราะ
ท่าทีอหังการของชายในชุดคลุมก้าวร้าวเกินไป ดั่งดาบคมกริบถูกชักจากฝัก เผยคมเจิดจรัส
เย่ซุ่นคล้ายไม่รับรู้ เขาแบมือออกอย่างจนใจ ก่อนจะหันไปกล่าวกับซูอี้ “พี่เขย ผู้ก่อเรื่องไม่ใช่ข้าจริง ๆ นะ แต่เป็นที่พวกเขามองเราเป็นแพะอ้วน”
ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ กล่าวว่า “บอกว่าไม่ได้ก่อเรื่อง แต่สถานการณ์นี้ไม่ได้เกิดจากเจ้าสร้างปัญหาหรือไร?”
เย่ซุ่นอับจนคำพูดเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าทั้งสองยังคงคุยกันราวไร้ผู้ใดในสายตาเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นกวนเถี่ยซานหรือพวกเยว่สิงซานก็อดตะลึงไม่ได้
เจ้าสองคนนี้ไม่รู้อันใดหรือบ้าจริง ๆ กันนี่? แค่การทำตัวจริงจังต่อหน้าคีรีดาบเมฆาเร้นยังยากเกินไปหรือ?
“สองคนนั้นน่าจะชะตาขาดแล้ว ศิษย์พี่หานยังไม่ลงมือ หากเขาขยับ พวกนั้นตายแน่ เรื่องนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง”
ในหมู่ยอดฝีมือจากคีรีดาบเมฆาเร้น นงคราญในชุดกระโปรงสีดำผู้หนึ่งยกยิ้ม
หากลงมือ หมายถึงการฆ่าคน!!
หัวใจของคนทุกผู้ต่างตึงแน่น ร่างนิ่งค้าง
“ย่าเจ้าสิ นังปากอัปมงคล!”
คำสบถของเย่ซุ่นพุ่งออกจากปาก “นังตัวดี ข้าจะตบปากเจ้าทีหลัง!”
ดวงตาทุกคู่เบิกกว้าง อ้าปากค้างอย่างตกใจ
ใครจะกล้าคิดว่าตาแก่ซอมซ่อผู้นี้จะกล้าสบถด่าศิษย์คีรีดาบเมฆาเร้น?
“เจ้า…”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำโกรธเสียจนหน้าซีด
“ศิษย์น้องอวี๋ อย่าใส่ใจคำกล่าวพล่อย ๆ ของคนตายเลย”
ชายในชุดคลุมผู้ถูกเรียกว่าศิษย์พี่หานพูดเบา ๆ
ว่าพลาง…
ชิ้ง!
ในมือของชายในชุดคลุมปรากฏปราณดาบสีทองแผ่พุ่ง ยาวหนึ่งจั้ง สว่างไสวเจิดจ้า
พลังในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณปกคลุมเหล่าผู้ชม ทำให้สีหน้าทุกคนแปรเปลี่ยน
ร่างของเย่ซุ่นหลบวูบไปอยู่ข้างหลังซูอี้
ทุกคน “…”
มุมปากของซูอี้กระตุกโดยไม่อาจสังเกต แล้วกล่าวขึ้น “เจ้าคิดว่ามีข้าอยู่ เจ้าจะไม่บาดเจ็บหรือไร?”
เจ้านี่ช่างน่าอายยิ่งนัก!
มันทำให้ซูอี้รู้สึกหน้าชา
เย่ซุ่นกล่าวเขิน ๆ “เอ่อ นี่แค่การเคลื่อนไหวโดยไม่รู้ตัวน่ะ พี่เขย ท่านไม่รู้หรอกว่าข้าพยายามเพียงไรเพื่อรักษาชีวิตตน ในกาลก่อน เมื่อข้าประสบอันตรายและถึงคราวควรหนี ข้าย่อมไม่มีทางหนีหรอก แต่ใครใช้ให้ข้าไม่ใช่ข้าคนเดิมเล่า…”
เขาบ่นหงุงหงิงราวระบายความขมขื่นในใจ
นี่ทำให้ชายในชุดคลุมสุดจะทน จากนั้นโบกมือของเขาทันที
ฉัวะ!
ปราณดาบสีทองพุ่งแหวกอากาศ ราวรุ้งทิพย์สะท้านนภา ฟาดฟันใส่ซูอี้
แข็งแกร่งนัก!!
นี่หรือคืออำนาจของยอดฝีมือจากคีรีดาบเมฆาเร้น?
เยว่สิงซาน ซุนซ่างหลิ่ว และชายในชุดหนังงูผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณต่างหน้าเปลี่ยนสี พวกเขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามใหญ่หลวงจากปราณดาบนั่น!
ส่วนผู้ฝึกตนอื่น ๆ พวกเขาต่างตัวสั่น สีหน้าดูตกตะลึงไปชั่วครู่
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างตะลึงกับพลังของปราณดาบนี้
มีเพียงฉู่อวิ๋นเคอและยอดฝีมือคนอื่น ๆ จากคีรีดาบเมฆาเร้นเท่านั้นที่เยือกเย็นมาก
พวกเขาย่อมรู้ถึงความแข็งแกร่งของชายชุดคลุมดีที่สุด และในสายตาพวกเขา ยามนี้ซูอี้และเย่ซุ่นไม่ต่างอันใดกับคนตาย
ยามนี้เอง ซูอี้ก็เคลื่อนไหว
เขาโบกแขนเสื้ออย่างไม่รีบร้อน
และปราณดาบสีมอ ๆ อันแสนทรงพลังเจิดจ้าที่ฟาดมาเบื้องหน้าเขาก็แตกกระจายราวเต้าหู้ถูกค้อนยักษ์ทุบ
ปราณดาบที่แหลกสลายกระจายตัวเยี่ยงหยาดฝน!