บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 671 ดาบสังหารหานเฟยกวน
ตอนที่ 671: ดาบสังหารหานเฟยกวน
ด้วยหนึ่งการสะบัดแขนเสื้อ ช่างง่ายดายราวปัดแมลงวัน
ทว่าปราณดาบแหลมคมจากชายชุดคลุมกลับระเบิดแหลกเละ!
ภาพนี้ทำให้ผู้มองตะลึงทันที
“ที่แท้ชายหนุ่มผู้นี้ก็เป็นยอดฝีมือซ่อนเร้น!”
เยว่สิงซาน ซุนซ่างหลิ่ว และพรรคพวกต่างตกตะลึง สีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนวูบไหวไปมา
ก่อนหน้านี้ พวกเขาเองก็ใช้จิตสัมผัสตรวจสอบซูอี้ ทว่ากลับพบว่าลมหายใจของซูอี้ช่างธรรมดานัก
ยิ่งกว่านั้น ซูอี้ยังดูอ่อนเยาว์ ซึ่งทำให้พวกเขาเผลอคิดไปว่าซูอี้ไม่ได้แข็งแกร่งนัก
ทว่ายามนี้ พวกเขาก็ค้นพบแล้วว่าตนคิดผิด!
“คนหนุ่มผู้นี้ ที่แท้จริงเป็นยอดคนหรือ?”
กวนเถี่ยซานตะลึง
“หือ!?”
ในขณะเดียวกัน ฉู่อวิ๋นเคอและคนอื่น ๆ ที่อยู่ห่างออกไปต่างก็ประหลาดใจ
ชายชุดคลุมมีนามว่าหานเฟยกวน เป็นศิษย์สายตรงผู้หนึ่งของคีรีดาบเมฆาเร้น
แม้จะไม่ใช่ดาวเด่นเยี่ยงฉู่อวิ๋นเคอ แต่เขาก็เป็นผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณเช่นกัน และเป็นมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณผู้แข็งแกร่ง ฝีมือลึกล้ำ
ทว่ายามนี้ ปราณดาบของเขากลับถูกปราบลงอย่างง่ายดาย!
สิ่งนี้ทำให้พวกฉู่อวิ๋นเคออดหันไปมองซูอี้ไม่ได้ และตระหนักแก่ใจว่าชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ไม่ธรรมดา
“ศิษย์น้องหาน ระวังตัวด้วย อย่าคว่ำเรือในคู”
ฉู่อวิ๋นเคอเตือนเบา ๆ
“รับทราบ”
ชายหนุ่มชุดคลุมหานเฟยกวนพยักหน้า
ครานี้ เย่ซุ่นกล่าวเสียงดัง “พี่เขย พวกเขาบอกว่าท่านเป็นคูล่ะ”
ทุกคน “…”
ใครเล่าจะไม่เห็นว่าตาแก่ซอมซ่อนี่เหมือนกลัวโลกไม่วุ่นวาย?
มุมปากซูอี้กระตุก กล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “หากเจ้าพูดมากกว่านี้ ข้ารับปากว่านับแต่วันนี้ไป เจ้าจะเป็นคนใบ้”
เย่ซุ่นตัวสั่น และหุบปากอย่างเชื่อฟัง
ทว่าเขายังคงมองพวกหานเฟยกวนอย่างยั่วยุอยู่ไกล ๆ พลางยกนิ้วยั่วโมโหอีกฝ่าย
ยิ้มหยันดูหมิ่น
ต้องกล่าวว่าเย่ซุ่นเป็นยอดฝีมือด้านการยั่วโทสะโดยแท้
แค่มองและทำท่าทางง่าย ๆ ก็สามารถทำให้สีหน้าของหานเฟยกวนย่ำแย่ลงทันที แววตาคู่นั้นปรากฏจิตสังหารพลุ่งพล่าน
เคร้ง!
เสียงดาบครวญดังขึ้น
ดาบบินสีทองสว่างปรากฏขึ้นในมือหานเฟยกวน
“ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทั้งคู่!”
ปากของหานเฟยกวนพ่นคำพูดนี้ออกมาทีละคำ เปี่ยมจิตสังหาร
ยามนี้ หานเฟยกวนไม่ปิดบังการฝึกฝนอันน่าหวาดหวั่นในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นปลายอีกต่อไป
อำนาจรุนแรงร้ายกาจนั่นทำให้ผู้คนหอบหายใจอย่างอึดอัด จนสีหน้าเปลี่ยนแปร
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าศิษย์เอกแห่งคีรีดาบเมฆาเร้นผู้นี้โกรธแล้ว!
ทว่าเมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้กลับผิดหวังเล็กน้อย เขาส่ายหน้าเบา ๆ พลางกล่าวว่า “คนเช่นเจ้าใช้ไม่ได้เลย ถอยไปแล้วแทนที่ด้วยผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเถิด”
ในมหาทวีปคังชิงทุกวันนี้ เขานับเป็นผู้แข็งแกร่งมากพอจะอาละวาดไปทั่วได้
ทว่าในสายตาซูอี้ หานเฟยกวนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นปลายเทียบอันใดกับหวนเฉ่าโหยว โม่ซิงเจ๋อ และพวกเยี่ยนจิงอวิ๋นที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณไม่ได้เลย!
แล้วคนเหล่านี้ ซูอี้ในขณะที่เพิ่งเข้าสู่ขอบเขตรวบรวมดารายังสังหารลงได้ง่าย อย่าว่าแต่ยามนี้เลย?
ทว่าเมื่อวาจาของเขากระทบโสตอีกฝ่าย มันกลับฟังดูเย่อหยิ่งเหยียดหยามยิ่งนัก
เยว่สิงซานและคณะต่างอดตะลึงค้างไม่ได้
หากเย่ซุ่นพูดแค่เพียงเติมฟืนลงกองไฟเพื่อมองเขาตีกันอย่างตื่นเต้น ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ใด ๆ
แต่คำกล่าวของซูอี้นั้น นับเป็นคำดูถูกที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่หานเฟยกวน ศิษย์คีรีดาบเมฆาเร้นเคยประสบ!
“คนผู้นี้โอหังเสียยิ่งกว่าเจ้าแก่ซอมซ่อนั่นเสียอีก!”
สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกดูไม่ชอบใจ
ฉู่อวิ๋นเคอและคณะเองก็มองหน้ากัน แทบสงสัยว่าตนหูฝาด
ในโลกทุกวันนี้ ใครเล่าจะกล้าสบประมาทศิษย์เอกแห่งคีรีดาบเมฆาเร้นของพวกเขา?
ยามนี้ หานเฟยกวนซึ่งเดิมกรุ่นโกรธกับวาจาของเย่ซุ่น เมื่อได้ยินคำพูดของซูอี้ เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาก็ปูดโปนขึ้นทีละเส้น เนื้อตัวของเขาสั่นเทิ้ม
ยังไม่พอ เย่ซุ่นยังฉวยโอกาสเติมเชื้อไฟ ปรบมือสรรเสริญ “มาดของพี่เขยจัดจ้านเช่นเคย ดูเหมือนบุคคลผู้ไร้ความโดดเด่นผู้นี้จะไม่มีคุณสมบัติพอเป็นคู่มือท่านจริงแท้”
เมื่อฟังเสียงหัวเราะนั่นแล้ว ร่างของหานเฟยกวนก็เปี่ยมจิตสังหารพลุ่งพล่าน กล่าวออกมาว่า “จริงหรือ เช่นนั้นข้าคงต้องขอเรียนรู้เสียหน่อยว่าการไร้ทางสู้จนน่าเกลียดเป็นเช่นไร!”
เสียงอันเปี่ยมโทสะของเขาไม่ทันแผ่ว
หานเฟยกวนก็โจมตีอย่างใจกล้า
ตู้ม!
รอบกายเขาพลันระเบิดแสงสว่างสีทองเข้มข้น ร่างของเขาดูราวภูเขาไฟระเบิด อำนาจทะยานสูงขึ้น
และดาบบินที่ลอยอยู่ตรงหน้าก็ลอยขึ้นสู่ฟ้าพร้อมเสียงบริกรรมกระจ่างชัด จากนั้นก็ฟาดฟันลงด้วยโทสะ
ฉับ!
อึดใจนั้น เหมือนดั่งกรรไกรทองฉีกนภาแยกฟาก ผ่าให้เกิดรอยร้าวอันน่าตกใจยาวเป็นทาง
ดาบวิญญาณซึ่งสลักอักษร ‘ทองคำเหินหาว’ ไว้ที่ด้ามจับมีภาวะดาบอันร้ายกาจ ยามเมื่อมันฟันลงมาก็ดูราวทองหลอมละลายร่วงหล่นจากฟ้า
ดาบแห่งเวหา!
ดวงตาของเหล่ายอดฝีมือจากคีรีดาบเมฆาเร้นทอประกาย
ภาวะดาบอันน่าหวาดหวั่นทำให้ทุกคนที่อยู่รายล้อมต่างสั่นกลัว หลังเย็นวาบ
ผู้ที่อ่อนแอกว่ายิ่งอาการหนัก พวกเขาแทบนิ่งค้างขยับร่างไม่ได้
ทว่าเมื่อเผชิญกับดาบนี้ ซูอี้กลับไม่แม้แต่จะมองมัน และดีดนิ้วออกไป
ปราณดาบดุร้ายพุ่งออกไป
เคร้ง!!!
เสียงระเบิดสะท้านหล้ากึกก้อง
ดาบวิญญาณทองคำเหินหาวสั่นไหวอย่างรุนแรง มันปลิวออกไปทันที เสียงครวญจากใบมีดสะท้อนทั่วฟ้าดิน
ตู้ม!
ทันใดนั้น ภาวะดาบสีทองราวอำนาจแห่งมหาจักรพรรดิระเบิดออกไม่ห่างจากซูอี้ และพลังที่สั่งสมก็ระเบิดโพละ กระจายเป็นละอองฝนแสงเล็กจ้อยนับไม่ถ้วน
“นี่มัน…”
ทุกคน ณ ที่นั้นต่างตะลึงจนหนังศีรษะชายิบ
เพียงหนึ่งดีดนิ้ว ก็ทำลายดาบอันแสนน่าหวาดหวั่นลงได้!?
ผู้คนยังไม่ทันมีปฏิกิริยา พวกเขาก็เห็นปราณดาบร้ายกาจของซูอี้ทะยานไม่ลดละ แทงเข้าใส่หานเฟยกวนอย่างไร้อุปสรรคราวลำแสงนิรันดร์
แย่แล้ว!
สีหน้าของหานเฟยกวนแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เขาไม่เคยคิดเลยว่าการออกดาบสุดแรงของตนเองจะถูกทำลายได้ง่ายดายเพียงนี้ และเมื่อปราณดาบของซูอี้มาถึง เขาก็ไม่มีเวลาหลบ
มีเพียงต้องปัดป้อง!
“ฝูเฟิงแห่งเมฆาเร้น ยอดฝีมือคุ้มกายา!”
หานเฟยกวนโพล่งขึ้นมา
ตู้ม!
แสงสีทองเจิดจ้าออกมาจากรอบกายเขา และนักรบสวมเกราะสีทองสูงแปดจั้งก็พุ่งออกมา ร่างกายเจิดจ้าเยี่ยงทองคำ
ทันทีที่อีกฝ่ายปรากฏขึ้น ก็ยกแขนขึ้นกันร่างของหานเฟยกวนไว้
นี่คือสุดยอดเคล็ดวิชาคุ้มกายอันแสนอัศจรรย์
ทว่าภายใต้ดาบของซูอี้ มันไม่ต่างอันใดกับกระดาษเปื่อย ๆ
ตู้ม!
แขนของนักรบหุ้มเกราะระเบิดออก เกิดรูจากการฟันขึ้นที่อกของเขา
ไม่มีสิ่งใดหยุดมันได้!
และปราณดาบของซูอี้ก็แทงทะลุหน้าผากของหานเฟยกวน ทิ้งไว้เพียงปากแผลที่เป็นรูโบ๋ เลือดไหลโชกจากปากแผล
สีหน้าของหานเฟยกวนแห่งคีรีดาบเมฆาเร้นดูตกตะลึงราวไม่เชื่อ ริมฝีปากระริกราวจะกล่าววาจาใด
ทว่าสุดท้าย ก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยวจี ก่อนที่ร่างของเขาจะร่วงลงสู่พื้น
พลังจากนิ้วของซูอี้ร้ายกาจอหังการยิ่ง ยามเมื่อแทงทะลุหว่างคิ้วของเขา มันก็ทำให้ทั่วร่างแหลกเป็นเสี่ยง กระทั่งวิญญาณยังถูกทำลายสิ้นแล้ว
ต่อให้มีเทพเซียนใดอยู่ที่นี่ ก็ไม่อาจช่วยได้!
รอบข้างเงียบสงัด
ความตื่นตะลึงไร้วาจาถล่มเข้าสู่หัวใจคนทุกผู้ราวแผ่นดินเคลื่อนคลื่นยักษ์ซัดสาด
ด้วยหนึ่งดีดนิ้วก็ส่งปราณดาบแหวกนภา ขยี้ภาวะดาบ ทำลายนักรบหุ้มเกราะ และสังหารหานเฟยกวน!!
ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ มาจากหนึ่งในเจ็ดมหาอำนาจโบราณ ถูกสังหารในการโจมตีเดียว!
เรื่องนี้น่าตกตะลึงยิ่ง
เยว่สิงซาน ชายวัยกลางคนในชุดหนังงู ซุนซ่างหลิ่วและคณะตกใจเสียจนขาสั่น สีหน้าแข็งค้าง อับจนปัญญา
พวกเขาอดคิดไม่ได้ว่า คราก่อนเมื่อพวกเขาพยายามชิงเศษสมบัติ หากลงมือจริง… เกรงว่าคงไม่ต่างอันใดกับหานเฟยกวนผู้นี้!
“ข…ข…เขา…”
กวนเถี่ยซานเบิกตากว้าง หัวใจสั่นคลอนด้วยความกลัว
เมื่อหันมองฉู่อวิ๋นเคอและคณะ พวกเขาต่างตะลึงงันราวไม่อยากเชื่อสายตา
“เมื่อครู่นี้ เจ้าเด็กนี่ไม่ประมาณฝีมือตนเอง อยากลองให้รู้ว่าการไร้ทางสู้จนน่าเกลียดเป็นเช่นไร แต่ก็นะ เขาตายไปแล้ว”
เย่ซุ่นถอนหายใจ “เฮ้อ เหตุใดจึงไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อมเลยหนอ?”
ความรื่นเริงในความทุกข์ของผู้อื่นเด่นชัดในน้ำเสียง ไร้การปิดบังใด ๆ
ทันใดนั้น เขาก็ตระหนักถึงบางสิ่งและรีบพูดว่า “พี่เขย ข้าไม่ได้พูดโดยไร้มูลเหตุนะ ท่านอย่าเปลี่ยนข้าเป็นคนใบ้เลย”
ซูอี้เมินเขา
เจ้าเด็กเย่ซุ่นนี่รู้จักแต่เรื่องกินและวิวาท เขาจึงไม่สามารถเปลี่ยนมันได้
“ช่างเป็นชายหนุ่มผู้โหดเหี้ยม!”
ข้างกายฉู่อวิ๋นเคอ ชายชราผมขาวหน้าซีดเผือด ก่อนกล่าวเสียงแข็งว่า “เจ้าเป็นใคร ใครกันที่กล้าสังหารศิษย์คีรีดาบเมฆาเร้นของข้าเช่นนี้?”
ยามนี้ ใครเล่าจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มชุดเขียวผู้ดูดาษดื่น แท้จริงแล้วคือยอดฝีมือผู้ร้ายกาจ?
“เจ้าเฒ่า กล่าวเช่นนี้ละอายบ้างหรือไม่? หรือไม่มีผู้ใดตอบโต้เจ้าได้เลยแค่เพราะเจ้ามาจากคีรีดาบเมฆาเร้น?”
เย่ซุ่นยิ้มเยาะ “ต่อให้เอาบรรพชนเจ้า จักรพรรดิดาบเจ็ดกำราบมาที่นี่ เจ้าก็ไม่ควรกล้าพูดเรื่องน่าไม่อายเช่นนี้!”
“เจ้า…”
ชายชราผมขาวเผยจิตสังหารออกมา
“อาจารย์อาหวัง ให้ข้าไปเถิด”
ฉู่อวิ๋นเคอเปิดปากพลางจ้องซูอี้และกล่าวด้วยสีหน้าแข็งกร้าว “จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้เราทำผิดพลาด ล่วงเกินสหายทั้งสอง แต่เจ้ากลับฆ่าศิษย์น้องหานแค่เพราะวาจาไม่กี่คำ ไม่มากเกินไปหน่อยหรือ?”
“เกินไป?”
เย่ซุ่นอ้าปากแค่นเสียง ก่อนกล่าวอย่างดูแคลน “นังหนูนั่นบอกแล้วนี่ ว่าศิษย์น้องหานของเจ้าหากลงมือก็คือการฆ่า ยามนี้เขาได้รับความตายอันสมควร เจ้าจะพูดมากไปเพื่อการใด?”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำดูย่ำแย่ นั่นคือวาจาที่นางกล่าวก่อนหน้านี้จริง ๆ
ซูอี้เหลือบมองเย่ซุ่น สีหน้าไม่ชอบใจเล็กน้อย “ก็แค่ใครไม่รู้ เหตุใดต้องพล่ามไร้สาระ?”
เย่ซุ่นรีบกล่าวอย่างเขิน ๆ ทันที “เอ่อ ข้าแค่โมโหเอง พี่เขยอย่าโกรธเลย ข้าสัญญาจะไม่พล่ามไร้สาระกับพวกเขาแล้ว ไม่จำเป็นเลยสักนิด ก็แค่พวกงี่เง่าที่ไม่ยอมลืมตา ช่างน่าอายสำหรับบรรพชนของพวกเขา หากจักรพรรดิดาบเจ็ดกำราบอยู่ที่นี่ เขาคงได้กวาดล้างสำนักตนเองเป็นแน่ เพื่อไม่ให้พวกนิสัยเสียพวกนี้มาทำให้เขาต้องอับอายอีก…”
วาจาเหล่านี้ช่างลื่นไหล
ซูอี้อดนวดหว่างคิ้วตนไม่ได้ ลอบตัดสินใจหาโอกาสทำให้เจ้าคนน่าอายเย่ซุ่นนี่เข้าใจอย่างถ่องแท้เสียทีว่าความเงียบมีค่าดั่งทองเป็นเช่นไร!
เมื่อเห็นเช่นนี้ สีหน้าของพวกฉู่อวิ๋นเคอก็หม่นลงเรื่อย ๆ
ทว่าเกินคาด ฉู่อวิ๋นเคอสูดหายใจลึก ดูเหมือนกำลังสะกดกลั้นโทสะและจิตสังหารในใจ ก่อนกล่าวด้วยวาจาเย็นชาดั่งเหล็กเย็นเฉียบ
“ลืมเสียเถิด เรื่องในวันนี้ให้จบลงที่นี่!”