บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 673 เขามารทมิฬ
ตอนที่ 673: เขามารทมิฬ
ทั่วหล้าฟ้าดินเงียบเสียง
มีเพียงกลิ่นคาวเลือดชวนสำลักที่กระจายไปทั่ว
ซูอี้ผิดหวังเล็กน้อย
พวกผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณพวกนี้ไม่อาจเป็นศัตรูกับเขาในวิถีต้นกำเนิดได้เลย
ทว่ายามนี้ เมื่อเขาก็ยืนอยู่ในวิถีวิญญาณเช่นกัน กระทั่งผู้อยู่ในวิถีวิญญาณของขุมอำนาจโบราณเยี่ยงคีรีดาบเมฆาเร้นก็ไม่ได้อยู่ในสายตาโดยสิ้นเชิง
สิ่งเดียวที่น่ายินดีคงมีเพียงหนึ่ง นั่นคือ หลังจากผ่านมหาหายนะมา พลังต่อสู้ในวิถีนี้ของเขาก็ไม่อาจเทียบได้กับกาลก่อนโดยจริงแท้!
“กาลก่อน ธิดาศักดิ์สิทธิ์เยี่ยนซู่นีแห่ง ‘แดนลี้ลับขั้นเก้า’ ขุมอำนาจอันดับหนึ่งในเก้ามหาแดนดิน ครั้นเมื่อพื้นฐานฝึกฝนก้าวสู่วิถีวิญญาณ นางก็แข็งแกร่งเสียจนไร้คู่เปรียบ”
“ทว่า หากนางมาอยู่ต่อหน้าข้าในยามนี้ นางก็ด้อยกว่าข้านัก”
ซูอี้ลอบกล่าว
หลังจากคิดถึงเรื่องนี้ ซูอี้ก็พลันตระหนักว่า หากตัดสินจากประสบการณ์ในกาลก่อน เขาก็คงไม่อาจหาคู่ต่อกรได้ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ!
การไร้เทียมทานในสถานการณ์นี้อาจยากจะกล่าว
ทว่าในสถานที่เช่นเก้ามหาแดนดินและมหาทวีปคังชิงนี้ ซูอี้คิดกับตนเองว่า หากเขาบอกว่าตนเป็นอันดับสอง ในบรรดาผู้อยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณทั้งหมดคงไม่มีผู้ใดออกรับว่าตนเป็นที่หนึ่ง
“ดูเหมือนว่าภายหน้า หากต้องการหาการดวลอันควรค่า ข้าคงทำได้เพียงต้องเสาะหายอดฝีมือในขอบเขตสยายวิญญาณหรือวงล้อวิญญาณเสียแล้ว…”
ซูอี้คิดเช่นนี้ ก่อนจะหยุดคิดไป
ยามนี้ เย่ซุ่นกระวีกระวาดมาหาและชี้ปากตนซึ่งถูกวิชาลับผนึกด้วยสีหน้าเว้าวอน
สำหรับเขา การไม่อาจได้เอ่ยวาจานั้นไม่ต่างกับการถูกทรมาน
“ไปเก็บสินสงครามมาก่อน”
ซูอี้สั่ง
เย่ซุ่นรีบพยักหน้าและลงมือทันที
เมื่อเย่ซุ่นเก็บสินสงครามเสร็จ ซูอี้ก็กล่าวว่า “นำทางข้าไปหาซากศพของเจ้าที่นี่”
เย่ซุ่นชี้ปากของเขาอย่างอ้อนวอน
ซูอี้เมินเขา
ครานี้ เขาต้องทำให้เย่ซุ่นเข้าใจว่าความเงียบมีค่าดั่งทองเช่นไร!
เมื่อเห็นเช่นนี้ เย่ซุ่นก็อดแสดงความขุ่นเคืองเล็กน้อยไม่ได้
ทว่าเขาไร้หนทางนอกจากกล้ำกลืนคำพูด และนำทางอย่างซื่อสัตย์
ไม่นานนัก ร่างทั้งสองก็หายลับนภาไป
นับแต่ต้นจนจบ เยว่สิงซาน ซุนซ่างหลิ่วและคนอื่น ๆ ถูกเมินโดยสมบูรณ์
“ยอดฝีมือพวกนั้นจากคีรีดาบเมฆาเร้นตายง่าย ๆ เพียงนี้…”
กวนเถี่ยซานตะลึงงัน พึมพำราวเพิ่งตื่นจากฝัน
ก่อนหน้านี้ เขายังคงเย่อหยิ่งทะนงตนที่สามารถเป็นธุระให้แก่พวกฉู่อวิ๋นเคอได้
ทว่ายามนี้ หัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความกลัวและกระวนกระวาย
“ที่แท้ ชายผู้นั้นก็คือซูอี้…”
เยว่สิงซานอึ้งค้าง “แต่จากคำร่ำลือ ไม่ใช่ว่าซูอี้กำลังกลัวถูกคิดบัญชี และหนีจากต้าเซี่ยไปหลายเดือนก่อนเพื่อหนีปัญหาหรือ?”
“ยามนี้ ตำนานนั่น… กลับมาอีกแล้ว”
ซุนซ่างหลิ่วกล่าวเสียงทุ้มต่ำ ดวงตาสั่นระริก
ส่วนพวกชายวัยกลางคนในชุดหนังงู พวกเขาต่างตะลึงค้างเหม่อลอย
ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ ด้วยการฟื้นตัวของปราณทั่วฟ้าดิน บุคคลในตำนานเยี่ยงซูอี้ก็เกือบถูกผู้คนหลงลืม
ด้วยเหตุใหญ่วันนี้ สิ่งที่ดึงความสนใจที่สุดคือเหล่าผู้แข็งแกร่งในทำเนียบดารา ทุกการเคลื่อนไหวของเจ็ดมหาอำนาจโบราณและสามขั้วอำนาจจากต่างโลก
ซูอี้ได้กลายเป็นบุคคลผู้ถูกชะล้างไปตามสายลมสายฝนในใจผู้ฝึกตนเหล่านี้แสนนานแล้ว
ทว่ายามนี้ ซูอี้ปรากฏสู่โลกหล้าอีกครั้ง!
เมื่อครู่นี้ เขาลงมือสังหารผู้ฝึกตนหกคนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณของคีรีดาบเมฆาเร้นเพียงลำพัง!
ทุกคนสังหรณ์ใจว่า สิ่งที่เกิดในวันนี้จะแพร่กระจายทั่วโลกาเป็นแน่!
นามซูอี้จะทำให้ต้าเซี่ยสั่นสะท้านอีกครา!
อันที่จริง ในวันเดียวกัน ข่าวของศึกนี้ก็กระจายไปทั่วเมืองผีหลิงหลงราวติดปีกแล้ว
…
เขามารทมิฬ
หุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งแทบจะรกร้างว่างเปล่า ชีวิตบนนั้นช่างแห้งเหี่ยวแตกระแหงไร้หญ้า ดูเหมือนจะประสบความเสียหายหนักหนามาแสนนาน
ลึกเข้าไปในเขามารทมิฬ มีพื้นที่แห่งหนึ่งซึ่งดูเหมือนพื้นที่ต้องห้าม
พื้นที่บริเวณนี้ปกคลุมด้วยหมอกสีเลือดหนาทึบ บ่อยครั้งจะเกิดอสนีบาตสีเทาขาวอันลี้ลับน่าขนลุกวูบไหวไปมาและหายไป
ไม่นานมานี้ มียอดฝีมือกลุ่มหนึ่งจากโถงวิญญาณหยินทมิฬเข้ามาในเขามารทมิฬ ซึ่งคาดว่าพวกเขาได้ค้นพบโอกาสอันเลิศล้ำจากสถานที่อันเปี่ยมจิตสังหารชวนขนลุกนี้
ดังนั้นสถานที่แห่งนี้จึงถูกปิดผนึก
“พี่เขย ข้างหน้านี้แหละ!”
เย่ซุ่นตื่นเต้นเมื่อเห็นเขามารทมิฬจากไกล ๆ
ซูอี้ปลด ‘วิชาผนึกวจี’ บนตัวเย่ซุ่นแล้ว
ด้วยบทเรียนนี้ เย่ซุ่นกระจ่างแจ้งว่าเมื่ออยู่กับซูอี้ การถนอมคำพูดราวทองคำนั้นเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุด
“ก่อนหน้านี้ เจ้าต่อสู้กับพัศดีนั่นที่นี่หรือ?”
ซูอี้ถาม
“ถูกต้อง”
เย่ซุ่นถอนหายใจ “หากไม่ใช่ว่าเจ้านั่นสามารถควบคุมอำนาจของการจองจำแห่งยุคมืดได้ ข้าจะถูกฆ่าจนเหลือเพียงเสี้ยววิญญาณเช่นนี้ได้เช่นไร…”
“พัศดีหน้าตาเป็นเช่นไร?”
ซูอี้ถาม
“มันดูอ่อนเยาว์มาก แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคืออักขระที่ดูเหมือนดวงตาแนวตั้งสีทองตรงหว่างคิ้วของเจ้านั่น ดูชั่วร้ายเป็นที่สุดเลย”
เย่ซุ่นมีสีหน้าหวนรำลึก “ยามนั้นเมื่อข้าต่อสู้กับเขา เมื่อคนผู้นี้ใช้อำนาจของการจองจำแห่งยุคมืด เครื่องหมายสีทองตรงหว่างคิ้วของเขาจะกลายเป็นวังวนสีดำที่หมุนไม่หยุด มีอำนาจร้ายกาจอันส่งผลกระทบร้ายแรงและปิดกั้นวิญญาณ ต่อสู้กับมันเหมือนต่อสู้กับเทพเซียน ผู้คนจะรู้สึกหดหู่ใจ ไร้หวังและเล็กจ้อย และนั่นจะส่งผลต่อการฝึกฝนของคนผู้นั้นอย่างมาก”
ความกลัวและกังวลบนใบหน้าของเขาดูจะมาจากการหวนระลึกถึงสถานการณ์เก่าก่อนยามต่อสู้กับพัศดี
“ตราสีทองรูปร่างคล้ายดวงตาแนวตั้ง… มันสามารถส่งผลกระทบและปิดกั้นวิญญาณ ส่งผลต่อพลังต่อสู้ของอีกฝ่าย…”
ซูอี้ครุ่นคิด “ดูเหมือนว่าพลังเช่นนี้จะไม่ได้มีมาแต่เกิด แต่เป็นการฝึกฝนบางอย่าง ดังนั้นกล่าวได้ว่าอีกฝ่ายบรรลุเคล็ดวิชาลับบางอย่าง”
เขาจดจำเบาะแสเหล่านี้ไว้เงียบ ๆ
ชายหนุ่มกำลังรอให้สิ่งที่อยู่ลึกเข้าไปในถ้ำอุกกาบาตออกมาหาเขาในภายหน้า เพื่อตรวจสอบดูว่าอีกฝ่ายคือพัศดีที่เกือบสังหารเย่ซุ่นหรือไม่
ขณะที่ทั้งสองสนทนา พวกเขาก็เดินทางลึกเข้าไปในเขามารทมิฬ
ไกลออกไป ปรากฏพื้นที่ต้องห้ามซึ่งปกคลุมด้วยหมอกสีเลือด
“พี่เขย ข้าสัมผัสมันได้แล้ว!”
ยามนี้ เย่ซุ่นอุทานอย่างแสนสุขี “ร่างเต๋าที่ข้าทิ้งไว้ที่นี่มีกลิ่นอายดั้งเดิมที่ไม่เคยสลายไปอยู่!!”
มิน่าเล่า เขาจึงดูตื่นเต้นนัก
ในช่วงหลายหมื่นปีที่ผันผ่าน เขาตกระกำลำบากแสนลำเค็ญ กระทั่งร่างกายของเขาในยามนี้ยังเป็นซากศพที่ผู้อื่นทิ้งไว้
ทว่าหากได้คืนร่างเต๋าที่ตนทิ้งไว้ เขาจะสามารถเปลี่ยนร่างของตนได้ และมีโอกาสกลับสู่จุดสูงสุดเยี่ยงอดีต!
“ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าลิงโลดจนเกินไปดีกว่า แม้ว่าเจ้าจะเปลี่ยนร่างเต๋าของเจ้าใหม่ได้ แต่จากสภาพของเจ้าคงยากที่จะฟื้นวิถีเต๋าสู่จุดสูงสุด”
ซูอี้เตือนสติ “เพราะถึงอย่างไร เจ้าก็เป็นเพียงเศษเสี้ยววิญญาณติดค้าง วิถีเต๋าและพลังที่เจ้ามีในอดีตกาลสลายไปนานแล้ว”
เย่ซุ่น “…”
ยามนี้ เสียงตะโกนพลันดังลั่นขึ้น
“ที่แห่งนี้ โถงวิญญาณหยินทมิฬของข้าผนึกไว้ พวกเจ้าทั้งสองจงจากไปอย่ารอช้า หาไม่ จะถูกสังหาร!” สองร่างปรากฏขึ้นในหมอกสีเลือดห่างออกไป
ผู้หนึ่งเป็นชายชุดขาวผู้ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีดำ ดวงตาเป็นสีเขียวเยี่ยงภูตผี
อีกหนึ่งเป็นชายชราในชุดผ้ากระสอบ ผิวแห้งเหี่ยวและผมหรอมแหรม ถือแท่งยาสูบที่สร้างขึ้นจากกระดูกขาวโพลน ปากพ่นควันออกมาและสายตาที่จ้องมองมาก็เย็นชาน่ากลัว
ทั้งคู่ต่างมีระดับฝึกฝนอยู่ในวิถีวิญญาณ!
จากการให้ผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณสองคนเฝ้าที่นี่ไว้ ก็เห็นได้ว่าโถงวิญญาณหยินทมิฬให้ความสำคัญต่อที่แห่งนี้มากมายเพียงไร
“ดูเหมือนว่าศิษย์และทายาทของเจ้าจะพบร่างเต๋าที่เจ้าทิ้งไว้แล้วนะ และบางทีพวกเขาอาจจะมา ‘กู้ร่าง’ ให้เจ้าด้วย”
ซูอี้หยอก
สีหน้าของเย่ซุ่นแย่ลง ก่อนกล่าวว่า “พี่เขย ล้อเล่นแบบนี้ไม่ตลกเลย”
“ไปดูกันเถิด”
ซูอี้เดินเข้าไป
“ข้าบอกให้เจ้าไป แต่เจ้ายังกล้าบุกเข้ามาอีก คิดหาที่ตายจริง ๆ หรือ?”
ชายชุดขาวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ดวงตาสีเขียวของเขากวาดมองซูอี้และเย่ซุ่น จิตสังหารพวยพุ่งทั่วร่าง
ซูอี้เมินเขา ทว่าหันไปกล่าวกับเย่ซุ่นว่า “ถึงเช่นไรนี่ก็ศิษยานุศิษย์ของเจ้า เจ้าคิดว่าเราควรรับมือเช่นไร?”
“ข้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโถงวิญญาณหยินทมิฬมากนัก ทว่า…”
กล่าวถึงจุดนี้ เขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ข้าไม่ต้องการให้พวกเขาตายแค่เพราะเรื่องนี้”
ซูอี้พยักหน้า
ไกลออกไป ชายชราในชุดกระสอบซึ่งกำลังสูบยาสูบกล่าวอย่างเฉยเมย “ไปเถิด เมืองผีหลิงหลงนี้มีโอกาสรออยู่มากมาย เจ้าทั้งสองไม่ควรทิ้งชีวิตไปเช่นนี้”
ซูอี้แค่นเสียง จากนั้นยกมือขวาขึ้นโจมตี
ปึ้ก!
ร่างของชายชราในชุดผ้ากระสอบดูราวกับถูกคีรีทิพย์กดทับ ร่างกระแทกลงกับพื้นและกระตุกเกร็งอย่างแรง เขากระตุกร่างและแน่นิ่งหมดสติไป
“นี่มัน…”
ชายชุดขาวนิ่งค้าง เขาแทบสะดุ้งด้วยความตกใจ
คนผู้นี้มาจากขุมอำนาจใดกัน เหตุใดจึงแข็งแกร่งเพียงนี้?
ทว่า ก่อนที่เขาจะทันคืนสติ ซูอี้ก็ฟาดฝ่ามือสู่อากาศอีกครั้งแล้ว
ตุ้บ!
ชายชุดขาวสลบไป
นับแต่ต้นจนจบ ผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณทั้งสองจากโถงวิญญาณหยินทมิฬไร้โอกาสใดให้ลงมือ พวกเขาไม่มีกระทั่งโอกาสให้ดิ้นรนต่อต้าน!
ซูอี้กล่าวราวกับสิ่งที่เพิ่งทำเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย “ไปกันเถิด”
เย่ซุ่นรีบนำทาง
ในขณะเดียวกัน ลึกเข้าไปในพื้นที่ซึ่งถูกปกคลุมด้วยหมอกสีเลือด
ชายร่างสูงใหญ่ในชุดนักพรตเต๋ายืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้ารอยแตกขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง
ที่สองข้างรอยแตกมีแท่นพิธีสำริดใหม่เอี่ยมสี่แท่น
บนแต่ละแท่นมีชิ้นส่วนสมบัติที่ถูกผนึกอยู่หลายชิ้น
ผู้ฝึกตนสี่คนจากโถงวิญญาณหยินทมิฬนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าแท่น สองมือของพวกเขาประสานเป็นตราประทับ
แสงสีดำพุ่งขึ้นจากแท่นพิธีสำริดที่แล้วที่เล่า ก่อนจะสานกันราวเป็นตาข่าย ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ใต้รอยแตก
ชายร่างสูงในชุดนักพรตเต๋ามองภาพตรงหน้า สีหน้าของเขาแสดงความตื่นเต้นกระตือรือร้นอย่างไร้ปิดบัง
“ผู้อาวุโสกู่ เราต้องรออีกนานเพียงไร?”
สตรีโฉมงามในชุดกระโปรงสีดำที่อยู่ข้างกายชายชุดนักพรตผู้มีผิวกายขาวยิ่งกว่าหิมะถามเบา ๆ
“อย่าลนลานไป”
ชายในชุดนักพรตครุ่นคิดครู่หนึ่ง จึงตอบว่า “ในความคิดข้า ภายในครึ่งวัน ร่างเต๋าที่ท่านจักรพรรดิผีหมิงหลัวทิ้งไว้ที่นี่จะสามารถถูกกู้ได้!”