บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 674 หลอกอาจารย์ สังหารบรรพชน
ตอนที่ 674: หลอกอาจารย์ สังหารบรรพชน
ตอนที่ 674: หลอกอาจารย์ สังหารบรรพชน
สตรีในชุดกระโปรงสีดำเม้มปาก ก่อนกล่าวขึ้นเสียงเบา “ใครเล่าจะคิดว่าตัวตนเช่นท่านจักรพรรดิผีหมิงหลัวจะสิ้นลมที่นี่?”
สีหน้าของนางเจือความเศร้าหมอง
ชายในชุดนักพรตกล่าวขึ้น “เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้ว ในฐานะศิษย์แห่งโถงวิญญาณหยินทมิฬ เราควรทำตามคำสั่งเจ้าสำนัก พาร่างของท่านจักรพรรดิผีหมิงหลัวกลับไป”
ดวงตาของสตรีในชุดกระโปรงสีดำวูบไหว ก่อนกล่าวว่า “จากนั้น ก็ให้เขากลับสู่ดินอย่างปลอดภัยหรือ?”
ชายในชุดนักพรตตกใจ พลันโพล่งกล่าวขึ้น “ขึ้นกับการจัดการของเจ้าสำนัก”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวว่า “ผู้อาวุโสกู่ แม้ท่านจะไม่พูด ข้าก็รู้ว่าการที่เจ้าสำนักส่งอารักษ์วิญญาณทั้งสี่มาช่วยท่านเป็นการพิเศษ เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เขาจะอยากรับซากของท่านจักรพรรดิผีหมิงหลัวแค่เพื่อไปฝัง”
ชายในชุดนักพรตขมวดคิ้วก่อนถามขึ้นอีก “เจ้าพูดเช่นนี้ หมายความเช่นไร?”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำส่ายหน้าตอบ “ไม่มีอันใด ข้าแค่หวังว่าจะไม่มีผู้คนคิดว่าร่างของท่านจักรพรรดิผีหมิงหลัวเป็นโอกาสสำหรับการหลอกอาจารย์ สังหารบรรพชนของพวกเขา บนฟ้ามีวิญญาณ เกรงว่าอสนีบาตจะกราดเกรี้ยวเพราะเหตุนี้”
ชายในชุดนักพรตแค่นเสียงอย่างเย็นชา “เสวียนจื่อ เจ้าพูดกับข้าเช่นนี้ได้ แต่หากมันแพร่งพรายออกไปจะไม่ใช่เรื่องดีนะ!”
เมื่อสตรีในชุดกระโปรงสีดำได้ยินคำกล่าวแฝงคำขู่ของชายในชุดนักพรต หัวใจของนางก็สั่นเครือ
นางอดเงียบไปด้วยความรู้สึกเศร้าไม่ได้
“เสร็จแล้ว!”
จู่ ๆ เสียงประหลาดใจหนึ่งก็ดังขึ้น
สี่มหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตสยายวิญญาณซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าแท่นทั้งสี่พลันผุดลุกขึ้นโดยพร้อมเพรียง ร่างของพวกเขาสว่างไสวเจิดจ้า มือชูไปเบื้องหน้า
“เร็วดีแท้?”
ชายในชุดนักพรตอดประหลาดใจไม่ได้
เขาเคยคิดว่าอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาอีกครึ่งวันเพื่อกู้ร่างของจักรพรรดิผีหมิงหลัวซึ่งอยู่ลึกลงไปในรอยแตกนี้
ไม่คิดว่าจะรวดเร็วปานนี้!
“บังเอิญน่ะ พลังแห่งผนึกที่ปกคลุมซากศพก่อนหน้านี้จู่ ๆ ก็วูบไหว มีเค้าลางของการสลายหาย การต่อต้านทางเราจึงลดลงอย่างมาก จึงมอบโอกาสให้ข้าใช้ประโยชน์จากมัน”
ชายชราชุดแดงผู้หนึ่งหัวเราะ
ชายในชุดนักพรตกล่าว “เช่นนั้นเอง”
ซากศพของจักรพรรดิผีหมิงหลัวซึ่งอยู่ในส่วนลึกสุดของรอยแตกนี้ถูกปกคลุมด้วยอำนาจผนึกอันลึกลับชวนพิศวงยิ่ง ไม่อาจเข้าใกล้ได้แม้แต่น้อย
ด้วยความสิ้นหวัง พวกเขาจึงตั้งสี่แท่นพิธีเหล่านี้ขึ้น และให้มหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตสยายวิญญาณสี่คนร่วมมือกันกู้ร่าง
นอกจากนั้น บนแท่นพิธีแต่ละแท่นยังมีเศษสมบัติศักดิ์สิทธิ์ซึ่งจักรพรรดิผีหมิงหลัวเหลือไว้วางอยู่
กลิ่นอายของเศษสมบัติแต่ละชิ้นทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงการต่อต้านของอำนาจผนึกยามเมื่อพวกเขาเข้ากู้ร่างของจักรพรรดิผีหมิงหลัว
ตู้ม!
ลึกเข้าไปในรอยแตกยักษ์ มีการสั่นสะเทือนรุนแรงเกิดขึ้น และแสงศักดิ์สิทธิ์สีดำก็ผุดแผ่กระจายออกมา
เมื่อสายตาของชายในชุดนักพรตและสตรีในชุดกระโปรงสีดำมองตามไป
พวกเขาก็เห็นแสงสีดำที่ถักทอราวตาข่ายยักษ์ดึงซากศพแตก ๆ ซากหนึ่งออกมาจากในรอยแตก
ชายในชุดนักพรตหายใจถี่กระชั้น พลางพึมพำ “นับแต่อดีตกาลจวบยามนี้ พวกเราโถงวิญญาณหยินทมิฬคิดเสมอว่าท่านจักรพรรดิผีหมิงหลัวน่าจะกลับสู่ภูมิมืดมิด ทว่าใครเล่าจะคิดว่าบรรพชนผู้นี้… จะอยู่ในเมืองผีหลิงหลงนี่?”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำเองก็เห็นซากศพนั้น
แม้ว่าจะผ่านไปหลายหมื่นปี แต่ซากศพนี้ก็ยังไร้วี่แววว่าจะเน่าสลาย เขาสวมอาภรณ์ขนนกสีดำ เถลิงเกี้ยวบนหัว คิ้วเฉียงเยี่ยงดาบ ดวงตาเป็นประกาย ใบหน้าหล่อเหลา
ซากศพที่ค่อย ๆ ปรากฏสู่คลองจักษุทุกคู่ของเขามีคลื่นพลังผนึกอันลึกลับปิดกั้นอยู่
“เป็นท่านจักรพรรดิผีหมิงหลัวจริง ๆ!”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำมองปราดเดียวก็รู้
ในแดนบรรพชนของโถงวิญญาณหยินทมิฬยังคงมีรูปภาพของผู้ก่อตั้งสำนัก จักรพรรดิผีหมิงหลัวอยู่ ซึ่งตรงกับซากศพตรงหน้าพวกนางทุกประการ!
“พี่กู่ พลังผนึกบนร่างของบรรพชนจะสลายไป แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเรา จึงอาจไม่สามารถพาร่างของท่านบรรพชนกลับไปอย่างครบถ้วนได้”
ชายชราชุดแดงกล่าวเสียงลุ่มลึก
ชายในชุดนักพรตเงียบไปครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “เช่นนั้นเราก็ทำตามคำสั่งเจ้าสำนัก หลอมร่างของเขาเดี๋ยวนี้เลย ขอเพียงเรานำพลังดั้งเดิมของร่างบรรพชนเรากลับไปได้ก็เพียงพอ”
“ได้!”
ทุกคนพยักหน้า
พวกเขาร่วมกันตรึงซากศพไว้บนอากาศ มือประสานเข้าหากัน แท่นพิธีสำริดทั้งสี่พลันเปล่งแสงและคำราม สายรุ้งสีเลือดสี่สายทะยานออกมาปกคลุมซากศพนั้นไว้
สีหน้างดงามของสตรีในชุดกระโปรงสีดำพลันแปรเปลี่ยน “หยุดนะ! พวกเจ้ากระทำการหลอกอาจารย์ สังหารบรรพชนตนเช่นนี้ได้เยี่ยงไร!!”
ชายชราชุดแดงและคณะทำหูทวนลม เมินคำพูดของนาง
ชายในชุดนักพรตหันมองสตรีในชุดกระโปรงสีดำ และกล่าวขึ้นว่า “เสวียนจื่อ หากวิญญาณของท่านบรรพชนมองอยู่จากเบื้องบน เขาจะหวังอย่างแน่นอนว่าวิถีเต๋าที่เขาทิ้งไว้จะถูกเราใช้เพื่อโถงวิญญาณหยินทมิฬ”
“เจ้าเองก็เห็นว่าพลังผนึกบนซากศพกำลังสลายไป เมื่อไร้ผนึกเช่นนี้ ไม่เพียงร่างนี้จะสลายเป็นธุลีอย่างรวดเร็ว แต่กระทั่งพลังดั้งเดิมบนศพก็ยังจะหายด้วย”
“ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ข้าจะอยู่เฉยได้เช่นไร?”
เมื่อกล่าวถึงตอนนี้ ชายในชุดนักพรตก็กล่าวกับสตรีในชุดกระโปรงสีดำว่า “เจ้า… คงไม่อยากให้เหตุเช่นนั้นเกิดขึ้น?กระมัง”
ดวงตาของเขาลึกล้ำ ราวกับมีอำนาจกดดันลึกลับที่ทำให้สตรีในชุดกระโปรงสีดำกระวนกระวาย ร่างแข็งทื่อ
นางสูดหายใจลึก ๆ และยืนกราน “ทว่า… ทว่าทำเช่นนี้จะเป็นการลบหลู่ท่านจักรพรรดิผีหมิงหลัวอย่างถึงที่สุดนะ!”
ชายในชุดนักพรตแค่นเสียงกล่าว “ไร้เหตุผลสิ้นดี!”
จากนั้นเขาก็เมินเสวียนจื่อไป
สตรีในชุดกระโปรงสีดำพึมพำอย่างเศร้าใจ “แค่เพื่อที่มาแห่งวิถีจักรพรรดิอะไรนั่น กระทั่งซากของบรรพชน… ยังถูกลบหลู่ได้… หากท่านจักรพรรดิผีหมิงหลัวทราบเรื่องนี้ เขาจะโกรธเพียงไรหนอ…”
ทันใดนั้น…
เกิดเสียงคำรามแหลมลั่นขึ้นในบริเวณ
เศษซากสมบัติศักดิ์สิทธิ์ซึ่งวางบนแท่นสำริดทั้งสี่สั่นไหวอย่างรุนแรง จากนั้นจึงลอยขึ้นสู่ฟ้าและพุ่งไปในทิศทางเดียวกันโดยพร้อมเพรียง
แย่แล้ว!
ไม่ว่าจะเป็นชายในชุดนักพรตหรือชายชราชุดแดงผู้กำลังหลอมซากศพล้วนต่างเปลี่ยนสีหน้า ไม่ทันตั้งตัวกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้
พวกเขามองเศษสมบัติเหล่านั้นพุ่งไปไกล โนเวล-พีดีเอฟ
ในขณะเดียวกัน เสียงถอนหายใจก็ดังออกมาจากในม่านหมอกสีเลือด
“หัวใจคนสมัยนี้ตกต่ำจริงแท้”
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความจนใจสิ้นปัญญา
ผู้ใด!?
สายตาทุกคู่หันไปมองโดยไม่ตั้งใจ
และเห็นสองเงาร่างเดินอยู่ในม่านหมอกสีเลือด
เป็นชายหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่ง และชายชราซกมกผู้หนึ่ง
สิ่งที่ทำให้ชายในชุดนักพรตและคณะแปลกใจ นั้นเป็นเพราะเศษสมบัติทั้งสิบเอ็ดชิ้นต่างพุ่งทะยานสู่ชายชราอย่างพร้อมเพรียง พร้อมทั้งระเบิดเสียงครวญอย่างแสนสุขระคนตื่นเต้น!
ผู้มาก็คือซูอี้และเย่ซุ่น
ทว่ายามนี้ สีหน้าของเย่ซุ่นเต็มไปด้วยความอ้างว้าง อารมณ์หดหู่ ไม่อหังการกลับกลอกอย่างเช่นเคย
ไม่ว่าศิษย์คนใดที่ได้เห็นร่างเต๋าที่เขาทิ้งไว้ ต่างคิดว่าเป็นโอกาสสัมพันธ์และจะหลอมมัน เขาจะรู้สึกดีได้เช่นไร?
ซูอี้เองก็ลอบถอนหายใจ
เขาจำภาพที่เคยเห็นในโถงไว้อาลัยซึ่งจัดไว้ก่อนเขาเวียนสู่วัฏสงสารได้
กาลก่อน ศิษยานุศิษย์ของเขาก็ไม่ต่างกันไม่ใช่หรือ?
กระทั่งศิษย์รักคนสุดท้ายของเขาชิงถัง ยังไม่ลังเลจะงัดโลงของเขาเพื่อดาบเก้าคุมขัง!
ประสบการณ์ของเย่ซุ่นก็นับว่าคล้ายคลึงกัน
นี่ทำให้ซูอี้ตระหนักชัดเจนถึงสภาพอารมณ์ของเย่ซุ่น มันเป็นอารมณ์อันซับซ้อน ปะปนด้วยความประหลาดใจ ผิดหวัง จนใจและโทสะ…
พวกเขาคงไม่คาดหรอกว่าเรื่องน่าขันราวประชดกันเช่นนี้จะเกิดขึ้นหลังพวกเขา ‘ตาย’ ไป
เมื่อเห็นซูอี้ สตรีในชุดกระโปรงสีดำถึงกับอึ้งไร้วาจาไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “คุณชายซู เหตุใดจึงมาที่นี่ได้?”
ซูอี้มองปราดแรกก็รู้ว่าสตรีในชุดกระโปรงสีดำคือธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อแห่งโถงวิญญาณหยินทมิฬ
จะว่าไป เขาก็รู้เรื่องที่มาของเย่ซุ่นจากสตรีผู้นี้เอง
“เสวียนจื่อ เจ้ารู้จักสองคนนี้หรือ?”
ชายในชุดนักพรตขมวดคิ้วถาม
ที่แห่งนี้ถูกผนึกด้วยพลังของโถงวิญญาณหยินทมิฬมานานแล้ว และผู้ปกปักษ์ที่แห่งนี้ต่างอยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ
ทว่ายามนี้ คนทั้งสองกลับรุกล้ำเข้ามา ซึ่งพิสูจน์ได้โดยไม่ต้องสงสัยว่าที่มาของทั้งชายหนุ่มและชายชราคู่นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่!
ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “ผู้อาวุโสกู่ นั่นคือคุณชายซูอี้!”
ซูอี้!
นามนี้ทำให้ชายในชุดนักพรตกับชายชราชุดแดงดูแปลกใจ และเข้าใจทันทีว่าชายหนุ่มชุดเขียวคือผู้ใด
“แล้วนักพรตชราผู้นั้นเล่า?”
ชายในชุดนักพรตถามอีกครั้ง
“ข้าคือใคร…”
ก่อนเสวียนจื่อทันได้ตอบ เย่ซุ่นก็พึมพำยิ้ม ๆ ทว่ารอยยิ้มนั้นเห็นได้ชัดว่าเจือความเสียใจ
ทันใดนั้น เขาก็พลันยืดตัวตรง เชิดหน้ามองพวกชายในชุดนักพรตและตะโกนเสียงดัง “ข้านี่ไงบรรพชนเจ้า!”
เสียงของเขาเปี่ยมด้วยโทสะ
ทุกคนต่างตะลึงมองหน้ากัน
ทันใดนั้น สีหน้าของชายในชุดนักพรตก็แย่ลง กล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าเป็นผู้ใด กล้าพูดจาเลอะเทอะ!”
เขาพลันชี้ไปยังซากศพที่อยู่ไม่ไกล “เห็นหรือไม่ นั่นคือบรรพชนของโถงวิญญาณหยินทมิฬของข้า จักรพรรดิผีหมิงหลัว ทว่าบรรพชนท่านนี้สิ้นไปเมื่อหลายหมื่นปีก่อน!”
ชายชราชุดแดงกล่าวด้วยสีหน้ามืดหมอง “เจ้าสารเลว กล้าดูหมิ่นบรรพชนของโถงวิญญาณหยินทมิฬต่อหน้าข้า โอหังนัก!”
เย่ซุ่นอึ้งจนพูดไม่ออก
นี่มันเรื่องตลกที่สุดในโลกโดยแท้
“เอาน่า พวกเขาย่อมจำเจ้าไม่ได้เป็นเรื่องธรรมดา”
ซูอี้กล่าว
เย่ซุ่นกล่าวอย่างขมขื่น “อันที่จริง ข้าก็กะไว้แล้วว่ามันจะเกิด นี่คือเหตุที่ไม่ว่าข้าจะย่ำแย่เพียงไร ข้าก็ยังไม่อยากขอความช่วยเหลือจากศิษย์โถงวิญญาณหยินทมิฬ”
“แค่ว่า เมื่อข้าเห็นพวกเนรคุณเหล่านี้จะหลอมร่างของข้า… ข้าก็ทนไม่ได้อยู่ดี”
เขาส่ายหน้า ไม่พูดอันใดอีก
ภาพตรงหน้าเขาสะเทือนใจมากเกินไป
“เช่นนั้นปล่อยให้ข้าจัดการเอง”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ
“เจ้าหมายความเช่นไร? เจ้าคิดจะปล้นซากของท่านบรรพชนจากโถงวิญญาณหยินทมิฬข้าหรือไร?”
ไม่ไกลนัก ชายในชุดนักพรตขมวดคิ้วแน่นขึ้น
ชายชราชุดแดงและคณะเองก็ดูหน้าเสีย
ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อหัวใจบีบคั้น รีบกล่าวว่า “ผู้อาวุโสกู่ อย่าเข้าใจข้าผิด คุณชายซูไม่มีทางเป็นคนร้าย เขา…”
ชายในชุดนักพรตแค่นเสียงขัดจังหวะ “ไม่ใช่คนร้าย? เจ้าคิดว่าใครกันที่สังหารบุตรสวรรค์เนี่ยเฟิง และโม่ซิงเจ๋อของโถงวิญญาณหยินทมิฬเรา?”
ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสวียนจื่อไร้วาจา
ชายในชุดนักพรตเปลี่ยนไปกล่าวกับซูอี้ “ทว่าข้ายังให้โอกาสเจ้าไปจากที่นี่เสีย แล้วข้าจะแกล้งทำราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น”
“หาไม่… ที่นี่จะเป็นหลุมฝังศพของเจ้า!”