บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 675 ยามประหารหัว
ตอนที่ 675: ยามประหารหัว
“หลุมฝังศพ…”
สีหน้าของเย่ซุ่นวูบไหวอยู่ครู่หนึ่ง พลางพึมพำกับตนเอง “กาลก่อน พัศดีจะฆ่าข้ายังพลาด แต่พวกศิษยานุศิษย์กลับขู่จะฆ่าข้าผู้นี้ที่นี่…”
ดวงตาของเขาเลื่อนลอย อารมณ์ของเขาหลุดการควบคุมอย่างเห็นได้ชัด
วาจาเหล่านี้ทำให้พวกชายชุดนักพรตขมวดคิ้วไปครู่หนึ่ง
ชายชราชุดแดงกล่าวอย่างรังเกียจ “ตาแก่นี่ไม่ได้บ้าหรือ?”
“ผู้อาวุโสกู่ กำจัดเขาให้ไวเถิด หาไม่ มันจะส่งผลกระทบต่อการหลอมร่างของบรรพชน ทุกอย่างที่เราเสียไปก่อนหน้านี้จะเสียเปล่าแน่นอน!”
ใครบางคนตะโกน
ชายชุดนักพรตพยักหน้า
ดวงตาเย็นชาของเขาฉายประกายปลาบเยี่ยงสายฟ้า ร่างสูงใหญ่พลันเปี่ยมด้วยพลังมหาศาลในขอบเขตสยายวิญญาณ นภากาศรอบข้างสั่นสะเทือน
“ข้าจะนับถึงสาม”
ชายชุดนักพรตดูเฉยเมย “หลังจบสาม หากเจ้ายังไม่ไปไหน… ตาย!”
บรรยากาศหดหู่ลงทันที
ใบหน้างดงามของเสวียนจื่อแปรผันอย่างมหันต์ และนางก็เอ่ยเตือน “คุณชายซู หนีไปเถิด!”
เย่ซุ่นทำหูทวนลม สีหน้าของเขาเหม่อลอยราวไม่ทราบว่าเกิดสิ่งใดตรงหน้า
ส่วนสีหน้าของซูอี้ดูไร้อารมณ์ เขากล่าวว่า “ในหมู่คนที่ข้าเกลียดที่สุดในโลก ผู้หลอกอาจารย์ และผู้สังหารบรรพชนก็คือหนึ่งในนั้น”
วาจาของเขาเฉยเมย ไร้การเปลี่ยนผันใด ๆ ของอารมณ์
ชายชุดนักพรตไร้สีหน้า พ่นวาจาหนึ่งจากปาก “หนึ่ง!”
ซูอี้ไม่พูดพล่ามอันใดอีก
เขาก้าวออกมา
อาภรณ์สีเขียวของเขาพลิ้วสะบัด พลังปราณพลันพลุ่งพล่านขึ้นมา
ชายชุดนักพรตขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาดูไม่คาดหวังว่าซูอี้จะกล้าเดิมพันทุกสิ่งในสถานการณ์เช่นนี้!
ทว่าชายชุดนักพรตไม่ได้ใส่ใจ
เขารู้จักซูอี้ และยังรู้กิตติศัพท์เก่าก่อนของซูอี้ด้วย เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มผู้เจิดจรัสเพียงไร
น่าเสียดายที่เรื่องเหล่านี้ไม่เพียงพอให้เขาซึ่งอยู่ในวิถีวิญญาณรู้สึกกลัวได้
“สอง!”
เสียงของเขาสะท้านวิญญาณเยี่ยงอสนีบาต
ร่างของซูอี้ที่ห่างออกไปหลายสิบจั้งไร้สัญญาณการหยุดชะงัก
ชายชุดนักพรตขมวดคิ้ว
ลมปราณพลุ่งพล่านทั่วร่าง จิตสังหารโหมกระหน่ำเยี่ยงคลื่น ดูราวภูเขาไฟที่พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ
เสวียนจื่อลังเล
นางเห็นได้ว่าซูอี้ไร้เจตนาถอยตั้งแต่ต้นจนจบ
วาจาใด ๆ ล้วนไร้ผล
ทว่านางกลับรู้สึกฉงนใจนัก เหตุใดเขาจึง… กล้านัก?
“สาม!”
ชายชุดนักพรตตะโกนลั่น ไม่ลังเลที่จะลงมือ
ร่างสูงของเขาวูบไหวราวขุนเขาใหญ่ที่เลื่อนในแนวระนาบ และชกออกไป
ตู้ม!
กำปั้นนั้นเปี่ยมด้วยความรุนแรงไร้ขอบเขต
ตราประทับหมัดสีเลือดทะลวงเวหา ราวกับคลื่นโลหิตถาโถม ภาพหลอนของโครงกระดูกสีเลือดนับพันลอยกระเพื่อมขึ้นลงในธารโลหิต ส่งเสียงกรีดร้องแหลมสูง
หมัดหล่อหลอมมารโลหิต!
ใช้ความหมายของธารโลหิตเป็นตัวชี้นำ เต็มไปด้วยพลังมหาศาลของผู้อยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณ
เมื่อศัตรูถูกโจมตีก็เหมือนถูกขังในนรกโลหิต ไม่อาจหลีกหนี!
หัวใจของเสวียนจื่อสั่นสะท้าน
นางจะไม่เห็นได้เช่นไรว่าชายชุดนักพรตคิดสังหารซูอี้ด้วยหมัดเดียว?
ร่างของซูอี้ที่ห่างออกไปสิบจั้งยังคงเดินหน้าต่อ ไม่ถอยร่นหรือหลบลี้
เมื่อหมัดที่ดูราวกับทะเลโลหิตเข้ามาหา เขาไม่แม้แต่จะหันมอง และวงล้อแสงวิถีก็ปรากฏขึ้นบนร่างของชายหนุ่มในชั่วพริบตานั้น
เบญจธาตุหมุนวน ครึ่งหยินครึ่งหยาง วายุอสนีประสาน
ตู้ม!
เมื่อหมัดสีเลือดซัดลงมา มันก็ถูกวงล้อมหาวิถีบดขยี้ทำลาย จนเกิดเป็นเสียงระเบิดกัมปนาท!
ม่านตาของชายชุดนักพรตหดตัว ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าเด็กนี่เหยียบย่างสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้ว!!
“มิน่าเล่า เขาจึงไม่กลัวตาย…”
เสวียนจื่อเองก็แสดงสีหน้าพิกล นางเห็นแล้วว่าระดับการฝึกฝนของซูอี้ต่างจากเก่าก่อนโดยสมบูรณ์
เมื่อสองสามเดือนก่อน ซูอี้สังหารหวนเฉ่าโหยวและผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณถึงเก้าคนได้เมื่อตนมีการฝึกฝนอยู่ในขอบเขตรวบรวมดารา
ยามนี้ เมื่อเขาเข้าสู่วิถีวิญญาณ ความสามารถของเขาย่อมไร้คู่เปรียบ!
“เฮอะ! ก็แค่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ!”
ชายชุดนักพรตแค่นเสียงอย่างเย็นชา จากนั้นยื่นมือไขว่คว้าและหยิบหอกอสรพิษสีเลือดยาวสองจั้งออกมา
กล่าวได้ว่าผู้ฝึกตนในขอบเขตสยายวิญญาณจากโถงวิญญาณหยินทมิฬนั้นไม่ได้มีอยู่โดยไร้ความระวังตน
ตู้ม!
เขาโบกหอกอสรพิษสูงสองจั้งในมือ แทงมันไปบนอากาศอย่างแรง เมื่อคมหอกพุ่งเข้ามา พื้นที่รอบข้างก็ถูกแหวกเป็นหลุม
ลมปราณฆ่าฟันทำให้โลกาสั่นไหวรุนแรง
หอกเทพอสรพิษ!
สมบัติวิญญาณคู่ชีพของชายชุดนักพรต หล่อหลอมจากโลหะเร้นสวรรค์สามหมื่นจิน
ทันทีที่สมบัติชิ้นนี้ปรากฏ พลังของชายชุดนักพรตก็เปลี่ยนเป็นน่าหวาดหวั่น
ไม่ว่าผู้ใดก็เห็นว่าเขาทุ่มสุดตัวในการโจมตีนี้!
ทว่า…
เมื่อหอกเทพอสรพิษยาวสองจั้งทะลวงนภาแทงเข้าใส่วงล้อมหาวิถีตรงหน้าซูอี้ มันก็ไม่อาจทะลวงต่อได้เยี่ยงหนอนติดใยแมงมุม
ตู้ม!
เมื่อวงล้อแสงมหาวิถีหมุนวน พลังทำลายล้างจากหอกเทพอสรพิษก็ถูกกวาดล้างทำลาย
“เป็นเช่นนี้ได้เช่นไร!?”
สีหน้าของชายชุดนักพรตตะลึงงันระคนพรั่นพรึง หัวใจรู้สึกหนาวเยือก
การโจมตีนี้ของเขาเพียงพอจะสังหารคู่ต่อสู้ในขอบเขตเดียวกัน!
ทว่า ผู้ใดเล่าจะคิดว่ามันไม่อาจทำลายได้กระทั่งพลังมหาวิถีของชายหนุ่มในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ ใครเล่าจะไม่ตกใจ ใครเล่าจะไม่กลัว?
ยามนี้ ซูอี้ซึ่งอยู่ห่างจากชายชุดนักพรตเพียงสามสิบจั้งก็ลงมือในที่สุด
เขายื่นแขนขวาออกไปและสะบัดมันอย่างไม่รีบร้อน
ตู้ม!
ลำแสงไร้สีพวยพุ่ง ตราประทับฝ่ามือซึ่งเจือด้วยบรรยากาศของมหาวิถีจุติจากฟ้า ข่มปราบชายชุดนักพรตไว้
“แตก!”
ชายชุดนักพรตสะบัดหอกอสรพิษ แทงเข้าสู่อากาศ
ตู้ม!!!
เสียงปะทะสะเทือนปฐพีดังขึ้น
ต่อให้ใช้ตาเปล่าก็เห็นได้ว่า เมื่อรอยประทับฝ่ามือของซูอี้กดลงมา หอกเทพอสรพิษก็บิดงออย่างแรง ส่งเสียงครวญดังลั่น
ชายชุดนักพรตอึ้งกว่าเก่า ทว่าช้าเกินกว่าจะหลบ
รอยประทับฝ่ามือทะลวงจากฟ้า ปกคลุมทุกสารทิศ มุ่งเป้าไปยังแท่นทั้งสี่ด้วยอำนาจรุนแรงเกินต้านไหว ทำให้ผู้คนไม่อาจถอยหนีหลบเลี่ยง
ทำได้เพียงยื้อ!
“เปิด!”
ดวงตาของชายชุดนักพรตแทบถลนจากเบ้า เลือดทั้งกายสูบฉีดจนเดือดพล่าน ใช้พลังทั้งกายเยี่ยงคนสิ้นหวัง
ทว่า…
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
ในที่สุด หอกเทพอสรพิษก็ไม่อาจต้านทานอำนาจแห่งฝ่ามือได้ และระเบิดเปรี้ยงออกทีละนิด
พริบตานั้น ร่างสูงใหญ่ของชายชุดนักพรตก็กระแทกสู่พื้นดังตู้ม ฝุ่นควันฟุ้งตลบสู่ฟ้า
เขาไม่รู้ว่าทั่วร่างมีกระดูกแตกหักมากเพียงไร เลือดเนื้อของเขาถูกป่น และกรีดร้องออกมาดังลั่น
หากกล่าวอย่างสถานเบาก็คือ ชายชุดนักพรตถูกปราบ!
ร่างบอบบางของเสวียนจื่อชะงักนิ่ง ความตะลึงฉายชัดบนใบหน้า
ชายชุดนักพรตมีนามว่ากู่หยวนซิว หนึ่งในสี่ผู้อาวุโสในขอบเขตสยายวิญญาณขั้นปลายของโถงวิญญาณหยินทมิฬ แข็งแกร่งทั้งตำแหน่งและพลัง
ในโลกทุกวันนี้ เขานับได้ว่าเป็นคนใหญ่คนโตระดับสูงสุด!
ทว่ายามนี้ เขากลับอ่อนปวกเปียกและถูกซูอี้ทำร้ายบาดเจ็บสาหัสด้วยหนึ่งฝ่ามือเบา ๆ!
“หลังจากก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ เขาน่ากลัวขึ้นเพียงนี้…”
เสวียนจื่อตัวสั่น พึมพำกับตนเอง
“เป็นได้เช่นไร…”
“แย่แล้ว!”
“เจ้าหนุ่มนี่ เหตุใดจึงแข็งแกร่งเพียงนี้?”
เสียงอุทานดังขึ้น สี่ผู้ฝึกตนในขอบเขตสยายวิญญาณ รวมถึงชายชราชุดแดงซึ่งกำลังหลอมศพอยู่ไกล ๆ ต่างเปลี่ยนสีหน้าโดยพร้อมเพรียง
ไม่มีผู้ใดคิดว่าคนเช่นกู่หยวนซิวจะถูกสยบด้วยมือของชายหนุ่มผู้ไม่เคยอยู่ในสายตาพวกตนมาก่อน
ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นการปราบในหนึ่งฝ่ามือ!
ยามนี้ ซูอี้เหยียบลงบนร่างของกู่หยวนซิวและเดินหน้าต่อ
ตู้ม!
หัวของกู่หยวนซิวระเบิดออก โลหิตสาดกระจาย ร่างสั่นรุนแรง ก่อนที่เขาจะเงียบไปอย่างสมบูรณ์
เขาถูกซูอี้เหยียบตาย!
ซูอี้ไม่แม้แต่จะก้มลงมอง
สิ่งที่เกิดกับเย่ซุ่นย้ำเตือนชายหนุ่มถึงเรื่องน่าขันอันแสนเศร้าที่เกิดกับเขาก่อนเวียนกลับสู่สังสารวัฏ
บางทีอาจจะเป็นเพราะมูลเหตุเดียวกัน หรืออาจเป็นเพราะการเวียนวัฏสงสาร แต่ลึก ๆ ในใจของเขามีความเกลียดชัง
นับแต่เขาเริ่มลงมือ ซูอี้ก็คร้านเกินจะกล่าววาจาใดอีก
การปฏิบัติต่อผู้ที่หักหลังสังหารบรรพชน มีแต่ต้องฆ่าให้ตาย!
“เร็วเข้า ลงมือด้วยกัน! ฆ่าเขาซะ!!”
ชายชราชุดแดงคำรามลั่น
ไม่ต้องให้เตือน มหาปราชญ์สวรรค์อีกสามคนที่เหลือในขอบเขตสยายวิญญาณก็เริ่มลงมือใช้สมบัติของตนแล้ว
วูบ!
หญิงชราผอมแห้งผู้หนึ่งแทงดาบปลายมนหยกสีเลือด เปลี่ยนร่างเป็นเงาวิญญาณร้ายใหญ่ยักษ์ บดบังนภาและตะวัน
“ถุย!”
ชายหนวดสีเทาสวมเกราะหนักพ่นดาบกระดูกสีดำซึ่งแผ่ควันสีดำและบรรยากาศดุร้ายออกมาเล่มหนึ่ง
เคร้ง! เคร้ง!
คนแคระผู้หนึ่งซึ่งตัวเตี้ยเหมือนเด็ก ถือง้าวสั้นสีเงินในมือแต่ละข้าง ยามเมื่อโจมตีก็ก่อเกิดเสียงอสนีบาต เส้นสายฟ้าหลั่งไหล
ในมือชายชราชุดแดงมีอินเต๋าสี่เหลี่ยมสีเทาโผล่มาเพิ่มหนึ่งชิ้น ที่ก้นอินเต๋ามีอักขระโบราณจารึกไว้อยู่
‘นรก!’
เมื่อสมบัติชิ้นนี้ปรากฏ สวรรค์ก็สั่นปฐพีสะเทือน โลหิตพลุ่งพล่าน หมอกควันสีดำม้วนเคลื่อน เส้นสายฟ้าโค้งแปลบปลาบบนอากาศ และปราณทำลายล้างก็กวาดทั่วทศทิศ
ใบหน้างดงามของเสวียนจื่อซีดเซียว นางจำต้องถอยหนีไปไกล
ซูอี้ดูไม่รับรู้สิ่งใด
เขายังคงก้าวไปเบื้องหน้า สีหน้านิ่งเฉยเหมือนก่อน
“ฆ่า!”
มหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตสยายวิญญาณทั้งสี่โจมตีโดยไม่ลังเล
ตู้ม!
ขณะนั้น ท้องนภาพลิกกลับด้าน ตะวันจันทราดับแสง
ทั้งอินเต๋า ดาบหยกปลายมน และดาบกระดูกกวาดผ่านน่านฟ้าอย่างพร้อมเพรียง สร้างคลื่นพลังแข็งแกร่ง นำพาอำนาจทำลายล้างอหังการ โจมตีเข้าใส่ซูอี้โดยพร้อมเพรียง
ภาพนี้ร้ายกาจน่ากลัวเพียงไร?
เขามารทมิฬยักษ์สั่นสะท้านไปตามแรง ทิวเขาส่ายกระเพื่อม โขดหินถล่ม สุญญะปั่นป่วน!
ไกลออกไป เย่ซุ่นผู้เหม่อลอยก็สะดุ้งโหยงและเผลอเงยหน้าขึ้นเช่นกัน
และแล้วเขาก็ได้เห็นภาพอันชวนตะลึง…
เขาเห็นว่ามีปราณดาบอันเจิดจ้าไร้สีฟาดฟันออกไปจากร่างสูงของซูอี้ในเฉียบพลัน
ปราณดาบทะลวงเวหา สว่างไสวไร้ประมาณ
ยามนี้ ราวกาลเวลาหยุดเดิน สรรพสิ่งสิ้นวจี
ดวงตาทุกคู่เจ็บแปลบ หัวใจสั่นคลอน
ภาวะดาบและแรงกดดันไร้ขอบเขตเติมเต็มทุกซอกมุมแห่งโลกหล้า
และเมื่อดาบนั้นฟาดลง
ตู้ม!
คลื่นพลังที่ซัดสาดรุนแรงราวเกลียวคลื่นจากการประสานอำนาจของสี่มหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตสยายวิญญาณนั้นเป็นดั่งผืนผ้าใบที่คลี่ออกบนอากาศ มันถูกปราณดาบตัดออกเป็นสองเสี่ยงอย่างง่ายดาย
จากนั้น ผ้าใบทั้งสองเสี่ยงก็ถูกฉีกระเบิดออกเป็นพิรุณแสงพร่างพราว
สี่มหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตสยายวิญญาณปลิดปลิวเยี่ยงใบไม้ร่วงอันต้องพายุโหมพัด
บางคนบาดเจ็บสาหัสกระอักเลือด บ้างกรีดร้องอย่างแสนสาหัส บ้างถูกฉีกร่างเป็นเสี่ยง และบางคนเต็มไปด้วยบาดแผล
กระทั่งสุดท้าย
พันบรรตพตหมื่นลำธารสั่นไหว!!