บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 676 พบพานสหายเก่า
ตอนที่ 676: พบพานสหายเก่า
ฝุ่นควันกระจายไปทั่ว
คลื่นวิปโยคจากปราณดาบกวาดผ่าน
เห็นได้ด้วยตาว่าที่ข้างรอยแตกยักษ์มีรอยดาบบากเป็นทางยาวเพิ่มมาอีกรอย ดูไกลสุดลูกหูลูกตา
ชวนตะลึงสะท้านทั้งใจและกาย
ด้วยหนึ่งดาบ ปราบสี่มหาปราชญ์สวรรค์ซึ่งร่วมมือ!
ความยิ่งใหญ่นี้มากพอจะทำให้ทั้งเซียนและมารตะลึงค้าง!
เสวียนจื่อมีสีหน้าเหม่อลอย สะท้านสั่นทั้งใจกาย
ยามเมื่อนางสังเกตเห็นว่าซูอี้ก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้ว นางก็ตระหนักว่าซูอี้เทียบกับเมื่อไม่กี่เดือนก่อนไม่ได้แล้ว
ทว่า นางไม่เคยคิดฝันว่าซูอี้ซึ่งกลายมาเป็นมหาปราชญ์สวรรค์จะแข็งแกร่งเสียจนอยู่ในระดับน่าหวาดกลัวเพียงนี้!
“เป็นไปได้เช่นไร… เหตุใดเขาจึงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้?”
ไกลออกไป ชายชราชุดแดงกรีดร้องขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว
ผมของเขากระเซอะกระเซิง เลือดผุดจากร่าง บาดเจ็บสาหัส
เมื่อมองไปยังคนทั้งสามที่เหลือ สภาพของพวกเขาล้วนดูไม่จืด
ซูอี้ไม่สนใจเขา และก้าวมาเบื้องหน้า
“ไป!”
หญิงชราร่างผอมแห้งลุกขึ้นวิ่งหนี
ตู้ม!
ปราณดาบฟาดฟันลงพร้อมเสียงคำรามสะท้านเวหา
ร่างของหญิงชราผอมแห้งระเบิดแหลกเละ สิ้นใจคาที่ทันที
“เสวียนจื่อ เจ้าทำอันใดอยู่ หยุดเขาสิ!”
คนแคระซึ่งเล็กเตี้ยเยี่ยงเด็กคำรามลั่น
ขณะที่กล่าว เขาก็ขยี้ยันต์ลับชิ้นหนึ่ง ร่างพลันเปลี่ยนเป็นแสงสีเลือดหอบหนีไปแสนไกล
สีหน้าของซูอี้ไร้อารมณ์ ดาบน้อยสีครามทะยานออกจากหว่างคิ้วของเขาในฉับพลัน และหายวับไปบนอากาศ
ดาบน้อยสังหารเทพ!
ไกลออกไปร้อยจั้ง เวหาสั่นไหว
ร่างของคนแคระปรากฏขึ้น ร่วงหล่นลงจากนภา
ร่วงลงกับพื้นเสียงดังตุบ
จิตวิญญาณถูกบั่นสังหารสิ้น!
เมื่อเห็นเช่นนี้ ใบหน้าของเสวียนจื่อก็ซีดขาว และอดกล่าวไม่ได้ว่า “คุณชายซู โปรด…”
วาจาไม่ทันสิ้น เสียงกรีดร้องหนึ่งก็ดังขัดจังหวะ
ซูอี้สะบัดแขนเสื้ออย่างสง่างาม และชายที่สวมเกราะหนักผู้มีหนวดสีเงินขาวก็ราวถูกขุนเขาทิพย์บดขยี้ทั้งเป็น แหลกเละกลายเป็นพิรุณโลหิต
ภาพนี้ทำให้เสวียนจื่อสะท้านไปทั้งวิญญาณ
และชายชราชุดแดงซึ่งเป็นผู้เดียวที่เหลืออยู่ก็ดูราวสิ้นวิญญาณ เข่าอ่อนทรุดลงพื้นดังตุบ และอ้อนวอนอย่างหวาดกลัว “ข้าผิดไปแล้ว ขอใต้เท้าซูไว้ชีวิตด้วย!”
แม้แต่มดยังอยากมีชีวิต แล้วมนุษย์เล่า?
ฉับ!
หนึ่งลำแสงดาบตวัดออก และศีรษะของชายชราชุดแดงก็กระดอนสู่อากาศ
สีหน้าของเขาเปี่ยมความตะลึง ดวงตาไม่อาจหลับลง
และแล้ว ผู้ฝึกตนทั้งห้าในขอบเขตสยายวิญญาณซึ่งนำโดยกู่หยวนซิวก็ตายตกลงที่นี่
เสวียนจื่อตะลึงค้าง
วิญญาณหลุดลอยด้วยถูกภาพนองเลือดนี้กระทบจิตใจอย่างรุนแรง
ยามนี้ ซูอี้หยุดมือและหันมากล่าวกับเย่ซุ่นซึ่งอยู่ไกลออกไป “หากเจ้าไม่สบายใจ รอเจ้าคืนร่างเต๋าเดิมของเจ้าเสียก่อน แล้วข้าจะพาเจ้าไปโถงวิญญาณหยินทมิฬ”
เย่ซุ่นตะลึงตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ความอบอุ่นอันไม่อาจบรรยายได้แผ่ซ่านในใจ เขาส่ายหัวน้อย ๆ และกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอกพี่เขย ภายหน้า ข้าจะเป็นข้า ส่วนโถงวิญญาณหยินทมิฬจะเป็นโถงวิญญาณหยินทมิฬ ไร้ความเกี่ยวข้องใด ๆ อีก”
ซูอี้พยักหน้า ไม่มีสิ่งใดต้องพูดนัก
เขาชี้ซากศพที่อยู่ไม่ไกล พร้อมกล่าวว่า “รีบไปสิ”
เย่ซุ่นสูดหายใจลึก ๆ และก้าวฉับ ๆ ไปเบื้องหน้า
เมื่อมาถึงที่ซากศพ เย่ซุ่นกำมือ และพลังผนึกลี้ลับที่อยู่รอบ ๆ ซากศพก็สลายราวคลื่นม้วนกลับทะเล
แทบจะเป็นในคราเดียวกัน ร่างเต๋าซึ่งแต่เดิมสมบูรณ์เหี่ยวเฉาลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ชัดเจน ทุกตารางนิ้วของผิวพรรณสลายเป็นธุลีปลิดปลิว
ท้ายที่สุดก็เหลือเพียงกลุ่มแสงสีดำหนาแน่นอันลึกลับ
นี่คือพลังต้นกำเนิดซึ่งเหลืออยู่ในร่างเต๋า!
เห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็อดทอดถอนใจไม่ได้
แม้ว่าเมื่อสามหมื่นปีก่อน เย่ซุ่นจะใช้วิชาลับผนึกร่างเต๋านี้ไว้ ทว่าท้ายที่สุดมันก็ไม่อาจต้านทานการกัดเซาะของกาลเวลาได้อย่างแท้จริง!
จวบจนยามนี้ พลังต้นกำเนิดที่หลงเหลือในร่างมีไม่มากนัก!
“พี่เขย ต่อจากนี้ ข้าจะใช้พลังต้นกำเนิดสร้างร่างใหม่ อย่างมากก็ใช้เวลาสามเดือนก็เสร็จได้”
เย่ซุ่นกล่าวเบา ๆ “ในช่วงดังกล่าว คงต้องรบกวนพี่เขยปกป้องข้าด้วย”
“ได้”
ซูอี้พยักหน้า
“ลุกขึ้น!”
ทั่วร่างของเย่ซุ่นเรืองแสงสว่างไสว พริบตาถัดมา ร่างของเขาก็แตกสลายเป็นเถ้า
จิตวิญญาณของเขาเปลี่ยนเป็นลำแสง พุ่งเข้าไปในมวลพลังต้นกำเนิด
มวลพลังต้นกำเนิดกระเพื่อมไหวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนิ่งสงบลง
ซูอี้เอื้อมมือไปคว้ามันไว้
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ใช้เคล็ดวิชาผนึกมัน อ้าปากกลืนลงไป พลังต้นกำเนิดนี้เปลี่ยนเป็นลำแสงหลั่งไหลสู่อารามวิญญาณมหาวิถีของเขา และถูกโอบล้อมด้วยพลังของ ‘เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง’ กับตัวอ่อนซึ่งก็คือเสวียนหนิง
“ซู… คุณชายซู เจ้ามาที่นี่เพื่อช่วยคนผู้นั้นรับพลังต้นกำเนิดที่บรรพชนของสำนักข้าทิ้งไว้หรือ?”
ไม่ไกลนัก เสวียนจื่อซึ่งเห็นภาพทั้งหมดแต่ต้นจนจบหน้าซีดเล็กน้อย อดถามไม่ได้
“เขาคือเย่ซุ่น จักรพรรดิผีหมิงหลัวแห่งโถงวิญญาณหยินทมิฬของเจ้า”
ซูอี้กล่าวอย่างไม่แยแส
เสวียนจื่อเบิกตากว้างกล่าวว่า “คุณชายซู เจ้าล้อข้าเล่นอยู่หรือ? จักรพรรดิผีหมิงหลัวแข็งแกร่งเพียงไร จะเป็นไปได้เช่นไร…”
“ข้าไม่เคยพูดล้อเล่น”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้าจะเชื่อหรือไม่ ก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วไม่ใช่หรือ?”
เสวียนจื่อเงียบไปครู่หนึ่ง
ซูอี้เริ่มเก็บสินสงครามที่ตกกระจัดกระจาย
“คุณชายซู เกรงว่าข้าคงไม่อาจช่วยเจ้าปิดบังเรื่องที่เกิดวันนี้ได้”
เสวียนจื่อสูดหายใจลึก ก่อนกล่าวว่า “หากอยากปิดปากข้า ก็ทำเสียยามนี้เลย!”
ซูอี้กล่าว “ข้าบอกว่าจะฆ่าเจ้าแต่ยามใดกัน?”
เสวียนจื่อตะลึง “เจ้าไม่กังวลหรือว่าเรื่องราวในวันนี้จะแพร่งพรายหรือ?”
“ไม่ว่าจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ พวกเจ้าก็คิดล้างแค้นข้าอยู่ดี”
ซูอี้เก็บสินสงครามเรียบร้อย “เอาล่ะ ข้าจะไปแล้ว”
พูดจบ เขาก็หันหลังเดินจากไป
จนกระทั่งร่างของซูอี้คล้อยลับไปไกลในหมู่หมอกสีเลือด ในที่สุดเสวียนจื่อก็แน่ใจว่าซูอี้ไม่ได้หมายฆ่านางจริง ๆ!
นางยืนอึ้งตะลึงงัน สายตาก้มมองเลือดและซากศพบนพื้น จมในภวังค์โดยช่วยไม่ได้
“ชายชราซอมซ่อผู้นั้น… เป็นท่านจักรพรรดิผีหมิงหลัวจริง ๆ หรือ?”
เสวียนจื่อจำบทสนทนาระหว่างนางและซูอี้ในเมืองเสี่ยวเฟิงตูได้
ยามนั้น ครั้งหนึ่งซูอี้กล่าวไว้ว่าเขารู้จักกับจักรพรรดิผีหมิงหลัวเย่ซุ่น
ซูอี้ยังเคยกล่าวไว้ในงานชุมนุมหลิงชวีด้วยว่า เหตุที่นางไม่ถูกฆ่า นั่นก็เพราะนางมาจากเผ่าปีศาจงู
และซูอี้ยังเป็นสหายกับจักรพรรดินีในตำนานแห่งเผ่าปีศาจงูอีกด้วย…
ยามนั้น เสวียนจื่อไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เลยสักนิด ด้วยคิดว่าซูอี้พูดเล่น
ทว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์ทั้งหมดในวันนี้ เสวียนจื่อพลันตระหนักได้หนึ่งอย่าง
นั่นคือ ไม่ว่าซูอี้จะรู้จักกับจักรพรรดิผีหมิงหลัวและปฐมจักรพรรดินีหรือไม่ เรื่องทั้งหมดนี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าซูอี้ต้องเกี่ยวพันใกล้ชิดกับเผ่าปีศาจงูแน่นอน!
“ไม่รู้จริง ๆ ว่าคนผู้นี้เป็นคนเช่นไรแน่…”
เสวียนจื่อลอบถอนหายใจ
นางรู้สึกว่าซูอี้เป็นเสมือนม่านหมอกหนาทึบ ซึ่งยากจะมีผู้หยั่งมองเข้าใจได้
หลังจากออกมาจากเขามารทมิฬ ซูอี้ก็ทะยานตรงสู่บูรพาทิศ
ฟิ้ว!
ร่างของเขาล่องไปบนนภา อาภรณ์แขนเสื้อสะบัดพลิ้ว สุขุมเสรี
หลังเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
ซูอี้ก็หยุดฝีเท้า
สุดบูรพาแห่งเมืองผีหลิงหลงนี้มีเวิ้งอันเหี่ยวเฉาอ้างว้าง มิติและกาลเวลารอบ ๆ ปั่นป่วน
นับว่าที่แห่งนี้คล้ายกับเวิ้งเก้าดาราพอตัว
พวกมันเป็นเหมือนโลกเร้นลับที่แยกออกจากโลกภายนอก ล่องลอยไร้จุดหมาย
ซูอี้ยืนอยู่บนอากาศ พลางมองไปรอบ ๆ และไม่นานก็เห็นว่ามีเศษอุกกาบาตขนาดยักษ์ลอยเคว้งอยู่ไกล ๆ
“นี่น่าจะเป็นทางผ่านเขตแดนที่เย่ซุ่นบอกว่าจะนำไปสู่ภูมิมืดมิด…”
ซูอี้ไตร่ตรอง
เศษอุกกาบาตยักษ์เหล่านั้นเหมือนเศษซากดาราหลังมหาหายนะจากจักรวาลพร่างดาวไม่มีผิด
หลังจากมองมันเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้ก็หันหลังกลับและเหินจากไป
ด้วยความสามารถของเขา เขาจะสามารถพื้นฟูทางผ่านมิติที่พังทลายนี้ได้ก็ต่อเมื่อระดับการฝึกฝนถึงขอบเขตวงล้อวิญญาณ!
ดังนั้นยามนี้เขาจึงทำได้เพียงจดจำสถานที่นี้ไว้ก่อน
“ต่อมา เราต้องควบแน่นจังหวะวิถีสามชนิด หรือก็คือจังหวะวิถีเบญจธาตุ หยินหยาง และวายุอสนีให้เป็นแก่นแท้จุดกำเนิดโดยเร็วที่สุด”
เมื่อคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็ทะยานสู่ทางออกจากเมืองผีหลิงหลง
“มีเพียงทางนี้ เราจึงจะสามารถสัมผัสเคล็ดพลังมหาวิถีของแก่นแท้มหาลึกล้ำและแก่นแท้นิมิตเลือนรางซึ่งไม่มีอยู่บนโลกจากดาบเก้าคุมขังได้”
ในอดีตชาติของเขา ซูอี้สังเกตว่าปราณของดาบเก้าคุมขังมีเคล็ดพลังมหาวิถีแห่งมหาวิถีสองประการที่ไม่มีอยู่บนโลก นั่นคือแก่นแท้มหาลึกล้ำและแก่นแท้นิมิตเลือนราง
หลังจากใคร่ครวญมาหลายปี ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ว่าหากเขาควบคุมทั้งแก่นแท้จุดกำเนิด แก่นแท้มหาลึกล้ำและแก่นแท้นิมิตเลือนรางในวิถีวิญญาณได้ พวกมันจะสามารถหลอมรวมกันเป็นแก่นแท้มหาวิถีอันแข็งแกร่งนาม ‘เอกกะ’ ได้
หนึ่งคือทุกสิ่ง ทุกสิ่งคือหนึ่ง! เมื่อ ‘เอกกะ’ ถือกำเนิด มหาวิถีกลับคืนสู่ต้นกำเนิด!
ยามเมื่อบรรลุเอกกะ มหาวิถีคืนสู่วิญญาณ!
ทว่าหากต้องการทำเช่นนี้ ก็ต้องเริ่มจากการหลอมรวมแก่นแท้จุดกำเนิดให้ได้ก่อน
“เมื่อไปถึงนครหลวงจิ๋วติ่ง คงต้องเก็บตัวควบรวมแก่นแท้จุดกำเนิดก่อนสักพัก และมันจะเพียงพอแปรเปลี่ยนพลังต่อสู้ของข้าได้”
“นอกจากนั้น ข้ายังต้องหลอมดาบนิลกาฬกลืนฟ้าใหม่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และบ่มเพาะดาบคู่ใจของข้า…”
ไม่นานนัก ซูอี้ก็เห็นทางออกเมืองผีหลิงหลงอยู่ไกล ๆ
ในพื้นที่บริเวณนั้น มีผู้ฝึกตนมากมายที่เพิ่งเข้ามายังเมืองผีหลิงหลง บ้างมาสาม บ้างมาห้า ครึกครื้นยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่ามาเพื่อสำรวจหาโอกาสวาสนา
ซูอี้เมินพวกเขา และในขณะที่ตนกำลังจะจากไปนั้นเอง เขาพลันสังเกตเห็นคนคุ้นตาผู้หนึ่ง
อีกฝ่ายเป็นชายชราร่างผอม ใบหน้าซูบตอบ กำลังเดินอยู่บนภูเขาพร้อมกลุ่มผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่ง
จางอวิ๋นเทา!
ซูอี้มองปราดเดียวก็จำได้ว่าชายชราร่างผอมผู้นี้เป็นผู้อาวุโสแห่งวังเทพสวรรค์เมฆา อาจารย์ลุงของมารดาบน้อยเหวินซินจ้าว
ซูอี้จึงหยุดลงทันที และตัดสินใจจะถามเรื่องราวของเหวินซินจ้าวจากจางอวิ๋นเทา
ในช่วงสองสามเดือนมานี้ ต้าเซี่ยเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย และขุมอำนาจต่าง ๆ ของโลกก็ถูกสับเปลี่ยนใหม่ นับเป็นความเปลี่ยนแปลงสะท้านโลกาแท้
ต้าเซี่ยทุกวันนี้มีเจ็ดมหาอำนาจและสามขุมพลังจากต่างโลก
ส่วนสี่กลุ่มเต๋าอย่างวังเทพสวรรค์เมฆา สำนักดาบเทียนชู สำนักเต๋าชิงอี่ และวัดมหาจันทรานั้นถูกลดขั้นเหลือเพียงขุมอำนาจชั้นรอง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เหวินซินจ้าวผู้ฝึกฝนอยู่ในวังเทพสวรรค์เมฆาก็คงถูกผลกระทบใหญ่หลวงด้วยเช่นกัน
ทว่า ก่อนที่ซูอี้จะทันได้ลงมือ จางอวิ๋นเทาซึ่งอยู่ไกลออกไปก็หันมองซูอี้ราวกับรู้ตัวอยู่แล้ว
จางอวิ๋นเทาอดประหลาดใจไม่ได้ยามเมื่อจำซูอี้ได้
ทว่าทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยน ก่อนรีบกล่าวว่า “สหายเต๋าซู รีบไปเสีย อย่าให้คนรอบตัวข้าจำเจ้าได้!”
จากนั้นซูอี้ก็อดมองเหล่าผู้ฝึกตนรอบกายจางอวิ๋นเทาไม่ได้
เจ้าพวกนี้ หรือจะมีอันใดผิดแปลก?