บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 677 ท้าประลอง
ตอนที่ 677: ท้าประลอง
มีผู้ฝึกตนเจ็ดคนอยู่รอบกายจางอวิ๋นเทา
ห้าบุรุษสองสตรี
ผู้นำเป็นชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิงผู้มีนกกระจอกสีเงินตัวหนึ่งเกาะบนบ่า
เมื่อสายตาของซูอี้กวาดมองไป ชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิงก็จับสัมผัสได้ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำเงินครามกำลังมองมา
สายตาคู่นั้นทิ่มทะลวงราวกับดาบ
“หือ!”
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิงตกใจเล็กน้อย กล่าวอย่างแปลกใจ “ซูอี้?”
ซูอี้!
เมื่อได้ยินนามนั้น ยอดฝีมือคนอื่น ๆ นอกจากชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิงก็หยุดสนทนา และหันมามองตามสายตาของเขาคนแล้วคนเล่า
จางอวิ๋นเทาลอบอุทานว่าท่าไม่ดี จึงรีบกล่าวว่า “สหายเต๋าซู ไปเถิด! พวกเขาคือยอดฝีมือจากตระกูลตงกัว!”
ตระกูลตงกัว!
ซูอี้อึ้งไป
ในหมู่เจ็ดมหาอำนาจทุกวันนี้ มีตระกูลตงกัวเป็นหนึ่งในนั้น
ซูอี้จำได้ชัดเจน ว่าครั้งหนึ่งตนเคยสังหารผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณนามตงกัวอวิ๋นบนเกาะเซียนพระสุเมรุ ซึ่งมาจากตระกูลตงกัวนี้
กล่าวกันว่าตงกัวอวิ๋นยังมีพี่ชายผู้หนึ่ง นามตงกัวเฟิง และเป็นผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณซึ่งเก่งกาจยิ่ง
คนผู้นี้ก้าวสู่วิถีวิญญาณนับแต่เมื่อสามหมื่นปีก่อนแล้ว และเป็นที่รู้จักในนามหนึ่งในยอดอัจฉริยะอันเจิดจรัสไร้เทียมทานที่สุดแห่งคนรุ่นหลัง!
ทว่า สิ่งที่ทำให้ซูอี้งุนงงก็คือ ไฉนจางอวิ๋นเทาจึงติดตามยอดฝีมือจากตระกูลตงกัว?
ลำแสงเส้นหนึ่งทอประกายจากไกล ๆ โดยไม่รีรอให้ซูอี้ถาม
เขาเห็นว่าพวกชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิงซึ่งมีนกกระจอกสีเงินเกาะอยู่บนบ่าได้พุ่งเข้ามาทางตน
เมื่อเห็นว่าซูอี้ไม่หลบหนี จางอวิ๋นเทาก็ลอบถอนใจ ไม่เกลี้ยกล่อมเขาต่อ
ยามเมื่อเขาอยู่ห่างจากซูอี้ได้สิบจั้ง
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิงก็ยืนนิ่ง พลางกล่าวอย่างสนอกสนใจนัก “ซูอี้ ไม่ใช่ว่าเจ้าหนีจากต้าเซี่ยเพื่อหลบหายนะแล้วหรือ? ไฉนจู่ ๆ ก็มาปรากฏกายที่นี่เล่า?”
ซูอี้เมินเขา
ชายหนุ่มไม่มีนิสัยพูดคุยกับคนแปลกหน้า
“สหายเต๋าจาง เราคุยกันตามลำพังได้หรือไม่?”
ซูอี้มองไปยังจางอวิ๋นเทา
“นี่…”
จางอวิ๋นเทาตะลึงนิ่ง สายตาหันมองชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิงโดยไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิงเบนสายตาไปที่ซูอี้และกล่าวยิ้ม ๆ “ให้ข้าเดา พี่ซูคงอยากพูดเรื่องเกี่ยวกับเหวินซินจ้าวกระมัง?”
ซูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ เค้าลางความเย็นยะเยือกปรากฏจาง ๆ ในดวงตาสีดำล้ำลึก
ยามนี้ รอยยิ้มของชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิงชะงักไปเล็กน้อย ผิวกายเจ็บแปลบ จิตใจสัมผัสได้ถึงอันตรายเต็มไปหมด ชวนให้ตระหนกอกสั่น
จางอวิ๋นเทาซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งรีบกล่าวว่า “สหายเต๋าอย่ากังวลเลย นางปลอดภัยดี!”
“จริงหรือ?”
ซูอี้ถาม
จางอวิ๋นเทารีบพยักหน้า “ตาเฒ่าผู้นี้ประกันด้วยชีวิตเลย!”
ซูอี้แค่นเสียง
ทันใดนั้น ความกดดันชวนประหวั่นใจที่ชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิงสัมผัสได้ก็สลายหาย เช่นเดียวกับความรู้สึกอันตรายที่กัดกินก็หายไป
เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้ เขาก็ถูกกดข่มไปมากจนไม่อาจทำตัวลอยชาย ไม่อาจเชิดหน้าชูคอได้เหมือนก่อน
“พวกเจ้าคุยกันไปเถิด”
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิงสงบใจ จากนั้นพาคณะออกไปรออยู่ในที่ที่ไม่ไกลมากนัก
ยามนี้ จางอวิ๋นเทาเองก็ถอนหายใจโล่งอก เขาปาดเหงื่อบนหน้าผากและส่งเสียงพูด “สหายเต๋าซู เมื่อครู่เจ้าบุ่มบ่ามนัก ข้าเกือบคิดแล้วเชียวว่าพวกคนจากตระกูลตงกัวเหล่านั้นจะทำอันใดกับเจ้า”
ซูอี้กล่าวอย่างสบายอารมณ์ “หากพวกเขาทำ ก็มีแต่วอนตาย”
จางอวิ๋นเทา “…”
ความรู้สึกคุ้นเคยอันหายไปนานโผล่กลับขึ้นมาในใจ
เพราะในความรู้สึกของเขา ซูอี้ก็เป็นคนเช่นนี้
วาจาที่ดูเย่อหยิ่งอวดดีเหล่านี้ แท้จริงแล้วกลับมั่นใจในความแข็งแกร่งของตนอย่างสุดใจ!
ยามที่แรกพบซูอี้ จางอวิ๋นเทาไม่อาจทำตนให้ชินกับพฤติกรรมของซูอี้ได้ ด้วยคิดว่าชายผู้นี้เย่อหยิ่งเกินไปนัก!
ผลหรือ…
จางอวิ๋นเทาลอบส่ายหัว ไม่เต็มใจจะระลึกถึงประสบการณ์อันเจ็บปวดเหลือแสน
“บอกข้าทีว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่”
ซูอี้กล่าว
จางอวิ๋นเทาสงบใจตน ก่อนกล่าวว่า “สหายเต๋าซูไม่รู้อันใดเลย ในช่วงสองสามเดือนมานี้ ต้าเซี่ยไม่ใช่ต้าเซี่ยที่เคยเป็นแล้ว…”
เขากล่าว และอธิบายเรื่องราวทั้งหมด
สองเดือนก่อน ตงกัวเฟิง ยอดฝีมืออันดับหนึ่งในหมู่ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณแห่งตระกูลตงกัวได้มาเยือนที่วังเทพสวรรค์เมฆาโดยลำพังเพื่อเคารพขุนเขา
ด้วยความสามารถของเขา ผู้อาวุโสทั้งสิบหกแห่งวังเทพสวรรค์เมฆาจึงจำต้องร่วมมือกันเพื่อทะลวงฝ่าค่ายกลพิทักษ์ขุนเขา!
อวี้จิ่วเจิน เจ้าสำนักวังเทพสวรรค์เมฆาลงมือด้วยตนเอง ทว่าก็ถูกตงกัวเฟิงปราบลงในสามกระบวนท่าและยอมแพ้
จากนั้น ปราชญ์จิ้งไห่ ผู้อาวุโสใหญ่แห่งวังเทพสวรรค์เมฆาผู้มีระดับการฝึกฝนในขั้นกลางของขอบเขตสยายวิญญาณก็มาเผชิญหน้ากับตงกัวเฟิง ทว่าหลังจากผ่านไปหลายร้อยกระบวนท่า เขาก็ยอมแพ้
ยามนี้ ตงกัวเฟิงสยบผู้ฝึกตนของวังเทพสวรรค์เมฆาได้ด้วยตัวคนเดียว!
เมื่อสิ่งนี้บังเกิด โลกทั้งโลกก็ตกตะลึง
นามตงกัวเฟิงเองก็สยายไปทั่วโลกา จนเกิดเสียงฮือฮาไปทั่ว
ศึกนี้ทำให้ตงกัวเฟิงได้ขึ้นเป็นอันดับเจ็ดในทำเนียบดาราของหอเมฆาเขียว!
จากนั้น วังเทพสวรรค์เมฆาก็ยอมสยบต่อตระกูลตงกัว และกลายเป็นหนึ่งในขุมอำนาจสาขาของพวกเขา
“ว่าแล้วเชียว ไม่ว่าในกาลก่อน วังเทพสวรรค์เมฆาจะทรงพลังเพียงไร สุดท้ายทุกวันนี้ก็ต้องกลายเป็นผู้รับใช้ผู้อื่นในโลกหล้า”
ซูอี้ถอนหายใจ
เขาได้เรียนรู้มาก่อนว่า สำนักดาบเทียนชู วังเทพสวรรค์เมฆา วัดมหาจันทรา และสำนักเต๋าชิงอี่ สี่กลุ่มเต๋าแห่งต้าเซี่ยซึ่งแต่เดิมเป็นหนึ่งได้ถูกลดขั้นกลายเป็นขุมอำนาจชั้นรองในโลกหล้าทุกวันนี้ไปแล้ว
ทว่าเขาไม่เคยคาดว่าผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณเพียงหนึ่งจากตระกูลตงกัวจะสามารถสยบวังเทพสวรรค์เมฆาลงได้ทั้งหมด
“สหายเต๋าซูไม่รู้หรอก นับแต่วังเทพสวรรค์เมฆาของข้าพ่ายให้แก่ตงกัวเฟิง คนอื่น ๆ ก็พ่ายแพ้ตามเราราวคลื่นทะเลซัดต่อเนื่อง”
จางอวิ๋นเทารีบกล่าว
จากคำกล่าวของเขา สำนักดาบเทียนชูได้ถูกสวี่เจี้ยนหลิ่น หนึ่งในศิษย์สายตรง ‘เจ็ดมหาตะวันโชติ’ จากคีรีดาบเมฆาเร้นปราบลง
สำนักเต๋าชิงอี่เองก็ถูกฮัวเสี่ยงหรง ศิษย์เอกสายตรงของสำนักวิถีสุญญะปราบเช่นกัน
และวัดมหาจันทราก็พ่ายต่อผู้ฝึกตนในวิถีวิญญาณผู้หนึ่งนามว่า ‘เปยเย่’ ระหว่างสนทนาธรรม
ไม่ว่าจะเป็นสวี่เจี้ยนหลิ่น ฮัวเสี่ยงหรง เปยเย่หรือตงกัวเฟิง พวกเขาต่างเป็นผู้เรืองนามบนโลกหล้าทุกวันนี้ และยังติดอยู่ในสิบอันดับแรกของทำเนียบดาราอีกด้วย!
หลังฟังจบ ซูอี้ก็ยังหมางเมิน ทว่าในใจกลับรู้สึกคลุมเครือ
นับแต่ยามที่เขายังอยู่ในขอบเขตเปิดทวาร เขาเคยบอกไป๋เวิ่นฉิงไว้ว่าหากวังเทพสวรรค์เมฆายังยืนกรานจะจงเกลียดจงชังเขา เขาจะไปวังเทพสวรรค์เมฆาด้วยตนเองสักครั้ง
ไม่คาดเลยว่ายังไม่ทันได้ไป ตงกัวเฟิงก็ตัดหน้าไปก่อนแล้ว
ส่วนสวี่เจี้ยนหลิ่น ฮัวเสี่ยงหรงและคนอื่น ๆ เช่นเปยเย่ พวกเขาอาจจะเป็นบุคคลผู้ร้ายกาจท้าทายกฎสวรรค์ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ และยังโด่งดังยิ่งในต้าเซี่ย
ทว่ายามนี้ ซูอี้ไม่แม้แต่จะสนใจผู้อยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณ เขาจะใส่ใจอันใดกับบุคคลในขอบเขตเดียวกับเขา?
“บอกข้าเกี่ยวกับแม่นางซินจ้าวที”
ซูอี้กล่าวตรง ๆ
สิ่งที่เขากังวลที่สุดในยามนี้ ย่อมเป็นเรื่องของมารดาบน้อยเหวินซินจ้าว
จางอวิ๋นเทากล่าวเบา ๆ “สหายเต๋าซู เรื่องนี้ไม่ได้ซับซ้อนนัก ตงกัวเฟิงรู้อยู่แล้วว่าเจ้าสังหารน้องชายของเขา ตงกัวอวิ๋น ในยามที่เจ้าอยู่ในเกาะเซียนพระสุเมรุ ดังนั้นเขาจึงรอโอกาสท้าประลองกับเจ้า”
ซูอี้ขมวดคิ้ว “หรือเขาจะลักพาตัวแม่นางซินจ้าวไป?”
จางอวิ๋นเทารีบส่ายหน้า ก่อนกล่าวว่า “เปล่า ไม่ว่าสหายเต๋าซูจะคิดเช่นไร แต่ให้ตาเฒ่าผู้นี้พูด ตงกัวเฟิงเป็นผู้อยู่เหนือธรรมดา บุคคลผู้กระทำการถูกต้องตรงไปตรงมา หายากจริงแท้”
“แม้วังเทพสวรรค์เมฆาของข้าจะถูกเขาสยบ แต่ก็ไม่เคยถูกเขารังแก”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็แสดงสีหน้าระทม “หากไม่ใช่เช่นนั้น ข้าคงเป็นตายร่วมกับวังเทพสวรรค์เมฆาไปแล้ว จะเต็มใจสยบต่อตระกูลตงกัวเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?”
ซูอี้พยักหน้า จากนั้นจึงกล่าวว่า “ขอเพียงทำตามหัวใจ เจ้าก็จะไม่เป็นไร”
เมื่อหวนคิดถึงยามที่เขาออกจากต้าเซี่ย เขาเคยมอบยันต์ลับ ‘ผีเสื้อแปรสวรรค์’ ซึ่งจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยมอบให้ตนแก่เหวินซินจ้าวเพื่อป้องกันตัว
นี่คือยันต์ลับระดับจักรพรรดิ ความแข็งแกร่งของมันอาจเสียหายไปมาก แต่ก็เพียงพอให้เหวินซินจ้าวไม่ต้องกลัวตงกัวเฟิงได้
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จางอวิ๋นเทาก็กล่าวว่า “สหายเต๋าซู ในความคิดของข้า หากเป็นไปได้ เจ้าควรหาโอกาสไปยังวังเทพสวรรค์เมฆาเพื่อรับตัวซินจ้าวโดยเร็วที่สุดด้วย”
ซูอี้กล่าว “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น?”
จางอวิ๋นเทากล่าวว่า “ตระกูลตงกัวรู้ทั่วว่าซินจ้าวมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับสหายเต๋า แม้ตงกัวเฟิงจะรังเกียจการจับซินจ้าวเป็นตัวประกัน แต่ก็ไร้ประกันว่าตระกูลตงกัวคนอื่น ๆ จะไม่ทำเช่นนั้นด้วย”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็ถอนหายใจ “จวบจนยามนี้ แม้ซินจ้าวจะไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ แต่ทุกการเคลื่อนไหวของนางล้วนถูกยอดฝีมือจากตระกูลตงกัวจับตามอง ไม่อาจออกจากวังเทพสวรรค์เมฆาแม้ครึ่งก้าว”
คิ้วของซูอี้ขมวดเข้าหากัน นี่ต่างอันใดกับการกักบริเวณ? โนเวล-พีดีเอฟ
จางอวิ๋นเทากล่าว “สหายเต๋า ข้าไม่ได้เสนอให้เจ้าไปรับความเสี่ยงนะ ข้าหมายถึงว่า หากเจ้ามีแผนใด ๆ ก็ควรทิ้งภาพจากใจเสีย หาไม่ก็ไว้คุยกันภายหลัง แต่อย่าได้บุ่มบ่าม”
จากคำกล่าวของเขา
วังเทพสวรรค์เมฆาทุกวันนี้ นอกจากตงกัวเฟิง ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณผู้แข็งแกร่งท้าทายอำนาจสวรรค์ ยังมีกลุ่มยอดฝีมือของตระกูลตงกัวอยู่ในจุดสูงสุดด้วย
คงไม่ใช่การฉลาดหากบุกเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า
“เจ้าคิดว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้พวกเขาหรือไร?”
ซูอี้ยิ้มน้อย ๆ
จางอวิ๋นเทารีบอธิบายอย่างกระอักกระอ่วนทันที “ตาเฒ่าผู้นี้แค่คิดว่าต่อหน้ายักษ์ใหญ่เช่นตระกูลตงกัว สหายเต๋าควรระมัดระวังตัวสักหน่อย ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นสหายเต๋าแต่อย่างใดเลย”
“ได้ เช่นนั้นก็ปล่อยเรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “จะว่าไป ไฉนเจ้าจึงอยู่กับพวกยอดฝีมือจากตระกูลตงกัวเหล่านี้เล่า?”
จางอวิ๋นเทารีบกล่าวว่า “ช่วงนี้ มีข่าวลืออยู่ว่ามียอดฝีมือจากโถงวิญญาณหยินทมิฬพบวาสนาใหญ่ในเมืองผีหลิงหลงนี้ พวกยอดฝีมือจากตระกูลตงกัวจึงให้ตาเฒ่าผู้นี้พามาดูสักหน่อย”
ซูอี้รู้สึกพิกลขึ้นมาทันที จากนั้นจึงกล่าวว่า “ในความคิดข้า เกรงว่าพวกเจ้าจะมาคว้าน้ำเหลวเสียแล้วกระมัง”
จางอวิ๋นเทาตะลึงอึ้ง
ยามนี้ ชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิงและพวกก็เข้ามาหา
“ทั้งสองคุยกันจบหรือยัง?”
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิงเอ่ยถามพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“มีอันใดหรือไม่?”
ซูอี้ถาม
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิงสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “ซูอี้ ญาติผู้พี่ของข้าตงกัวเฟิงรอเจ้าปรากฏตัวอยู่”
“อีกประการ ญาติผู้พี่ของข้ายังกล่าวว่า ขอเพียงเจ้ากล้ายืนขึ้นประลองกับเขา ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ความแค้นระหว่างเจ้าและตระกูลตงกัวของเราก็จะถูกลบหายได้!”
เมื่อกล่าวถึงยามนี้ เขาก็มองจ้องซูอี้และกล่าวว่า “ไม่รู้เพียงว่า เจ้าจะกล้าประลองหรือไม่?”
ซูอี้กล่าวสบาย ๆ “ข้ากำลังจะไปที่นั่นพอดี หากญาติผู้พี่เจ้าอยู่ ข้าก็จะให้โอกาสเขาท้าประลองข้า”
กล่าวจบ เขาก็ไพล่มือไว้เบื้องหลัง ขณะหันหลังเดินจากไป
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิงอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันไปตะโกนไล่หลังซูอี้
“ซูอี้ ข้าจะถ่ายทอดข่าวนี้แก่ญาติผู้พี่ของข้า อย่าได้กลับคำไม่กล้าปรากฏตัวตามนัดเสียเล่า!”