บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 678 เขากลับมาแล้ว
ตอนที่ 678: เขากลับมาแล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิงกังวลนักว่าซูอี้จะเปลี่ยนใจ
ส่วนจางอวิ๋นเทานั้นหวังจริง ๆ ว่าซูอี้จะไม่ไปตามนัด
เขาเข้าใจพลังของตงกัวเฟิงดี
ด้วยระดับฝึกฝนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นปลาย อีกฝ่ายสามารถเอาชนะผู้อยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณขั้นกลางเยี่ยงผู้อาวุโสสูงสุดปราชญ์จิ้งไห่แห่งวังเทพสวรรค์เมฆาได้!
ตัวตนเช่นนี้น่ากลัวเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย
ยิ่งกว่านั้น วังเทพสวรรค์เมฆาทุกวันนี้ก็ได้ยอมสยบต่อตระกูลตงกัวเป็นที่เรียบร้อย
เมื่อซูอี้ไปหา ตัวแปรอันเกินคาดเดาจะบังเกิดขึ้นมากมายเป็นแน่!
“อนิจจา ช่างน่าสงสารที่ราชวงศ์แห่งต้าเซี่ยกำลังเผชิญภัย เกรงว่าคงช่วยเหลือซูอี้ไม่ได้มากนัก…”
จางอวิ๋นเทาลอบทอดถอนใจ
“พี่สาม เหตุใดจึงถ่ายทอดเสียงเตือนไม่ให้เราลงมือเล่า? ท่านพลาดโอกาสสำคัญในการสังหารซูอี้ไปแล้วนะ”
หญิงสาวในชุดหลากสีสันผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกายชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิงอดถามไม่ได้
ยอดฝีมือคนอื่น ๆ จากตระกูลตงกัวเองก็มองมาทางเขา
ก่อนหน้านี้ พวกเขาลอบสื่อสารกันผ่านการส่งกระแสเสียง พยายามหาโอกาสจัดการกับซูอี้เพื่อล้างแค้นให้ตงกัวอวิ๋น
ทว่าก็ถูกปฏิเสธโดยชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิง
จางอวิ๋นเทาเหงื่อแตกซิก
ยามนี้เอง เขาจึงตระหนักว่ายอดฝีมือจากตระกูลตงกัวได้วางแผนฆ่าซูอี้แล้ว!!
“ผู้อาวุโสนกกระจอกบอกข้ามาว่าซูอี้ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้ว”
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิงดูไม่แน่ใจ
ควับ!
ทุกสายตาหันไปมองนกกระจอกสีเงินที่ยืนบนบ่าของชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิงทันที
นกกระจอกสีเงินที่กำลังใช้จะงอยปากนกจัดขนปีกตนอยู่กล่าวช้า ๆ “ปราณของเจ้าหนูนั่นผิดปกตินัก เหมือนถูกซุกซ่อน หากเจ้าลงมือ ผู้ที่จะบาดเจ็บล้มตายน่าจะเป็นพวกเจ้ามากกว่า”
ทุกคนล้วนตะลึงอึ้ง
จางอวิ๋นเทาอดประหลาดใจไม่ได้
นกกระจอกสีเงินตัวนี้คือเผ่าพันธุ์โบราณนามว่า ‘นกกระจอกกลืนเมฆา’ ซึ่งมีขนาดเพียงฝ่ามือ แต่กลับเป็นผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งและมีระดับการฝึกฝนอยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณ
นกกระจอกสีเงินเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาพิเศษเฉพาะอันแข็งแกร่งมากมาย ประสบการณ์โชกโชน เขาจึงมีสถานะสูงส่งในตระกูลตงกัว และได้รับการเรียกขานเป็น ‘ผู้อาวุโสนกกระจอก’ อย่างให้เกียรติโดยตระกูลตงกัว
เมื่อเห็นนกกระจอกสีเงินกล่าวเช่นนี้ จางอวิ๋นเทาก็ตระหนักทันทีว่าซูอี้ในวันนี้แตกต่างจากในอดีตแล้ว!
สิ่งที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือ เมื่อไม่กี่เดือนก่อน ซูอี้ยังอยู่ในขอบเขตรวบรวมดาราอยู่เลย
แต่ตอนนี้ ซูอี้กลายเป็นมหาปราชญ์สวรรค์ไปแล้ว!
ข่าวนี้ทำให้จางอวิ๋นเทาใจชื้น
นับแต่ยามที่ชายหนุ่มอยู่ในขอบเขตรวบรวมดารา ซูอี้นั้นสามารถสังหารผู้ฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณได้ราวเชือดไก่ ยามนี้เมื่ออยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ เขาจะแข็งแกร่งขึ้นเพียงไร?
ยามนี้ ไกลออกไปได้เกิดเสียงชุลมุนขึ้น
“อันใดนะ? ไม่นานนี้ ซูอี้สังหารกลุ่มยอดฝีมือจากคีรีดาบเมฆาเร้นหรือ?”
“จริงหรือ?”
“จริงแท้แน่นอน! เหตุการณ์นี้ไม่เพียงถูกพบเห็นโดยผู้อาวุโสกวนเถี่ยซานด้วยตาของเขาเอง ยามนี้ ผู้อาวุโสเช่นเยว่สิงซานกับซุนซ่างหลิ่วก็เป็นพยานได้เช่นกัน!”
“กล่าวกันว่าฉู่อวิ๋นเคอ ศิษย์เอกสายตรงของคีรีดาบเมฆาเร้นไม่อาจต่อกรกับซูอี้ได้เลย…”
“สวรรค์! ซูอี้หายตัวไปกะทันหัน แล้วสองสามเดือนต่อมา แค่การปรากฏตัวก็เกิดเป็นเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ อหังการทะลวงสวรรค์โดยแท้!”
…เสียงเซ็งแซ่ดังมาคราแล้วคราเล่า
เมื่อได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ ชายในอาภรณ์สีเพลิงและเหล่าทายาทตระกูลตงกัวต่างก็อดอ้าปากค้าง มองหน้ากันไปมาอย่างตกตะลึงไม่ได้!
ฉู่อวิ๋นเคอ!
บุคคลระดับสูงสุดซึ่งติดอันดับหนึ่งในเจ็ดสิบเก้ารายชื่อในทำเนียบดาราถูกซูอี้ฆ่าตายด้วยตัวคนเดียว ในขณะที่อีกฝั่งร่วมมือกับผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอีกห้าคน!!
ข่าวนี้ทำให้ชายหนุ่มในอาภรณ์สีเพลิงรู้สึกทั้งโชคดีและหวาดกลัวในใจ
หากเมื่อครู่เขาไม่ฟังผู้อาวุโสนกกระจอกและโจมตีซูอี้ตรง ๆ ผลลัพธ์ของมัน… ยากจะกล่าว!
แม้ว่าสีหน้าของจางอวิ๋นเทาจะสุขุม แต่หัวใจของเขาพลิกตลบ
เขาตะโกนในใจ ว่าแล้วเชียว ซูอี้ยังคงหัวรุนแรงเช่นกาลก่อน!
นกกระจอกสีเงินเงยหน้าขึ้นกล่าวกะทันหัน “เรื่องนี้ต้องให้ตงกัวเฟิงรู้โดยเร็วที่สุด ให้เขาวางแผนแต่เนิ่น ๆ อย่าได้ประมาทศัตรูเป็นอันขาด!”
ทุกคนพยักหน้า
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ หลังจากสังหารพวกฉู่อวิ๋นเคอจากคีรีดาบเมฆาเร้น ซูอี้ก็สังหารมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตสยายวิญญาณ รวมถึงกู่หยวนซิวจากโถงวิญญาณหยินทมิฬอีกห้าคนด้วย!
อันที่จริง กระทั่งเสวียนจื่อซึ่งตระหนักถึงเรื่องนี้ดี คงจะไม่มีทางแพร่ข่าวสลดเช่นนี้ออกไปก่อนด้วย
…
วันที่สิบห้าเดือนสอง
ซูอี้ผู้ซึ่งหายตัวไปหลายเดือนได้ปรากฏกายอีกครั้งในเมืองผีหลิงหลง และสังหารยอดฝีมือหกคนจากคีรีดาบเมฆาเร้น รวมถึงฉู่อวิ๋นเคอ!
ข่าวนี้แพร่สะพัดราวพายุไปยังทุกซอกทุกมุมในต้าเซี่ย
…
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งอุดมด้วยปราณวิญญาณแห่งหนึ่ง
“อาจารย์ มีข่าวเกี่ยวกับซูอี้ล่ะ!”
ฉือเจี่ยนซู่รีบมายังถ้ำอันเป็นที่พำนักของชายชราตาบอด
ชายชราตาบอดซึ่งกำลังหลับสบายเด้งลุกทันทีราวถูกกระแสไฟ กล่าวอย่างลิงโลดว่า “คุณชายซูอยู่หนใดแล้ว?”
เป็นคู่ศิษย์อาจารย์ที่แปลกยิ่งนัก
ฉือเจี่ยนซู่เรียกซูอี้ด้วยชื่อ
ทว่าชายชราตาบอดกลับเรียกซูอี้ว่า ‘คุณชาย’ อย่างยกย่อง
ทว่าทั้งสองต่างชาชินเช่นนั้น
“ยอดฝีมือจากตระกูลข้าเพิ่งได้ข่าวมาว่าซูอี้อยู่ในเมืองผีหลิงหลง…”
ฉือเจี่ยนซู่รีบเล่าย้อนความ
หลังจากชายชราตาบอดฟังจบ เขาก็อดหัวเราะไม่ได้ “เช่นนั้นคีรีดาบเมฆาเร้นก็ช่างโชคร้าย ไปลบหลู่คุณชายซูเข้า …นี่พวกเขาวอนตายหรือไร?”
ฉือเจี่ยนซู่ “…”
ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป ท่านควรเป็นห่วงซูอี้ไม่ใช่หรือ?
แต่ดูเหมือนว่าในสายตาของอาจารย์ คีรีดาบเมฆาเร้นจะเป็นฝ่ายสมควรรับกรรมเสียนี่…
“ยายหนู ข้าจะไปหาคุณชายซู”
ชายชราตาบอดเดินจากไป
ฉือเจี่ยนซู่รีบกล่าวว่า “อาจารย์ หากท่านไปเมืองผีหลิงหลงยามนี้ ซูอี้อาจกลับไปก่อนแล้วนะ”
ชายชราตาบอดกล่าวโดยไม่ลังเล “ไม่เป็นไรหรอก หากข้าคาดเดาไว้ถูกต้อง คุณชายซูจะไปยังนครหลวงจิ๋วติ่งแน่”
เมื่อเห็นท่าทีรีบร้อนของเขา ฉือเจี่ยนซู่ก็อดถามไม่ได้ “อาจารย์ ท่านทำอันใดอยู่ เหตุใดจึงต้องรีบร้อนไปหาซูอี้เยี่ยงนี้ด้วยเล่า?”
“มีเรื่องใหญ่น่ะสิ!”
เสียงยังไม่ทันสิ้น ชายชราตาบอดก็เดินหายลับตาไปแล้ว
ฉือเจี่ยนซู่ตะลึง ครุ่นคิดครู่หนึ่ง และลอบกล่าวว่า “ไม่ได้แล้ว ข้าต้องไปร่วมสนุกที่นครหลวงจิ๋วติ่ง!”
…
นครหลวงจิ๋วติ่ง
ยอดเขาเทียนหมาง
ในกระท่อมแห่งหนึ่ง
“ฝ่าบาท ท่านอย่าได้กังวลไป สหายเต๋าซูรับปากช่วยเราซ่อมแซมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนยามกลับสู่ต้าเซี่ยแล้ว”
สีหน้าของเวิงจิ่วดูยินดี “เฒ่าชราผู้นี้ว่า คงอีกไม่นานก่อนเขาจะมายังนครหลวงจิ๋วติ่ง!”
ช่วงนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั่วโลกหล้า ต้าเซี่ยปั่นป่วนรวนเร
ราชวงศ์เซี่ยซึ่งเป็นอดีตนายเหนือแห่งโลกาเองก็ได้รับผลกระทบสาหัส
จวบจนยามนี้ ทั้งนอกและในนครหลวงจิ๋วติ่งดูจะเต็มเปี่ยมด้วยอันตรายทุกย่างก้าว
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากซูอี้สามารถใช้พลังของเขาซ่อมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนได้ ราชวงศ์เซี่ยจะมีอาวุธอันแข็งแกร่งที่สามารถป้องกันทุกสารทิศได้!
“สหายเต๋าซูเป็นผู้ถนอมมิตรภาพเก่า จากนี้ ให้เจ้าส่งคนไปทำความสะอาดสวนน้อยนภาเมฆด้วย”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยผู้อยู่ในอาภรณ์ผ้ากล่าวเบา ๆ สีหน้าของเขาเจือความเฝ้ารอราง ๆ
“ขอรับ!”
เวิงจิ่วตอบรับ
“นอกจากนั้น หากข้าประมาณการถูก เมื่อซูอี้ปรากฏกาย เจ็ดมหาอำนาจจะลงมือบางอย่างเป็นแน่แท้”
“ในช่วงเวลาถัดจากนี้ ให้เจ้าส่งทุกกองกำลังออกไปเสริมแนวป้องกันของนครหลวงจิ๋วติ่งเสีย”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังเล็กน้อย “ในภายหน้า นครหลวงจิ๋วติ่งนี้คงได้กลายเป็นตาพายุแห่งโลกหล้า เราต้องไม่ประมาท…”
เวิงจิ่วอึ้งไป จากนั้นก็พยักหน้าเงียบ ๆ
ในช่วงเวลานี้ เจ็ดมหาอำนาจต่างออกมายื่นคำขาดแก่ราชวงศ์เซี่ย บอกให้ยอมจำนนยกนครหลวงจิ๋วติ่งและภูเขาเทียนหมางให้พวกตน
นี่ดูเหมือนเป็นการปล้นชิงดินแดน แต่อันที่จริง สิ่งที่ถูกแย่งชิงอยู่คือสิทธิ์ขาดอันมหาศาลของราชวงศ์เซี่ยที่ปกครองโลกแห่งนี้อยู่ต่างหาก!
…
ตระกูลหวนเผ่ามาร
ข้างสระหล่อมาร
“เจ้าซูอี้นี่ ในที่สุดก็ปรากฏกาย…”
ชายชราในชุดโบราณผ้ากระสอบทอดถอนใจ
“ท่านบรรพชน ได้เวลาล้างแค้นให้เฉ่าโหยวแล้ว”
ยอดฝีมือผู้หนึ่งจากตระกูลหวนกล่าวเสียงทุ้มลึก
“รอก่อน หากการคาดเดาของข้าถูกต้อง คนผู้นี้จะไปขอการคุ้มครองจากตระกูลเซี่ยในนครหลวงจิ๋วติ่งแน่”
ชายชราในชุดโบราณผ้ากระสอบกล่าวอย่างเฉยเมย “ในเมื่อเขาทำเช่นนั้น เราก็จะจบทุกอย่างไปพร้อมกับตระกูลเซี่ยในศึกเดียว!”
หลังนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวว่า “แต่ก่อนหน้านั้น อย่าได้ตระหนก เจ้าไปติดต่อขุมอำนาจอีกหกแห่งเสียก่อน ข้าเชื่อว่าพวกเขาไม่มีทางปฏิเสธการสังหารซูอี้และโอกาสการเกลี้ยกล่อมตระกูลเซี่ยแน่นอน!”
“ขอรับ!”
ยอดฝีมือจากตระกูลหวนรับคำสั่ง
…
เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในขุมอำนาจโบราณต่าง ๆ เช่นสำนักวิถีสุญญะ สำนักผลาญตะวัน คีรีดาบเมฆาเร้นและอื่น ๆ
เมื่อพวกเขาได้รับข่าวการปรากฏตัวของซูอี้ ขุมอำนาจโบราณเหล่านี้ต่างนั่งไม่ติด
สุดท้ายแล้ว ทั้งหมดก็เป็นเพราะซูอี้สังหารผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณที่เกาะเซียนพระสุเมรุ และฐานะของผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณเหล่านั้นต่างไม่ธรรมดาอย่างยิ่งเช่นกัน
เช่นเยี่ยนจิงอวิ๋นแห่งสำนักวิถีสุญญะ จิงหลิงเจินแห่งสำนักผลาญตะวัน โม่ซิงเจ๋อแห่งโถงวิญญาณหยินทมิฬ และตงกัวอวิ๋นแห่งตระกูลตงกัวเป็นต้น
ยามนี้ เมื่อพวกเขารับรู้ว่าซูอี้ปรากฏกาย ขุมอำนาจโบราณเหล่านี้จะเพิกเฉยได้เช่นไร?
พายุ… ได้ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน
คาดการณ์ได้เลยว่าเมื่อพายุนี้โหมกระหน่ำอย่างแท้จริงยามใด โลกหล้าจะปั่นป่วนแน่แท้!
…
โถงวิญญาณหยินทมิฬ
ในห้องโถงอันมืดมิด เสียงคำรามอย่างแสนเดือดดาลดังกึกก้อง
“แสร้งทำเป็นบรรพชน สังหารมหาปราชญ์สวรรค์ของเราไปห้าคน ซ้ำยังนำพลังต้นกำเนิดของบรรพชนเราไปอีก!”
“ซูอี้ผู้นี้ก่อความผิดใหญ่หลวง สมควรตายด้วยหมื่นคมมีด!!”
ชายชุดดำผู้ปกปิดใบหน้าด้วยหน้ากากสำริดบนที่นั่งใจกลางโถงแผ่บรรยากาศมาคุซึ่งเปี่ยมด้วยโทสะเยี่ยงพายุสายฟ้า
เขาคือเจ้าสำนักแห่งโถงวิญญาณหยินทมิฬ!
เสวียนจื่อหมอบคลานอยู่ที่พื้น ใบหน้างดงามของนางซีดขาว
เนิ่นนาน
ชายชุดดำสวมหน้ากากดูจะสงบโทสะของเขาได้แล้ว บรรยากาศดุดันค่อย ๆ สลายตัว
จากนั้นเขาก็โพล่งถามขึ้น “เสวียนจื่อ เหตุใดเขาจึงไม่ได้ฆ่าเจ้า?”
เสียงของเขาเย็นชามืดหม่น
ร่างบอบบางของเสวียนจื่อสะท้านไหว นางก้มหน้าลงตอบ “เรียนเจ้าสำนัก ครั้งหนึ่งซูอี้กล่าวไว้ว่าเขามีความสัมพันธ์บางอย่างกับเผ่าปีศาจงู”
“จริงหรือ?” ชายชุดดำสวมหน้ากากเงียบไป
ครู่ถัดมา เขาก็กล่าวว่า “เจ้าคิดว่าเราสมควรล้างแค้นหรือไม่?”
หัวใจของเสวียนจื่อหนักอึ้ง ขณะที่นางตอบด้วยเสียงต่ำ “ทุกสิ่งขึ้นกับท่านเจ้าสำนักเจ้าค่ะ”
“คนที่สังหารมหาปราชญ์สวรรค์ห้าคนได้อย่างง่ายดาย ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ ความแข็งแกร่งคงสูงมากหรือไม่?”
ชายชุดดำสวมหน้ากากกระซิบ
เขาดูลังเลราวเผชิญปัญหายาก
เสวียนจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “ท่านเจ้าสำนัก เหตุใดท่านจึงไม่ทนรอก่อนสักพักเล่าเจ้าคะ… เรารอดูสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของโลกก่อนสักประเดี๋ยวเป็นไร? ท่านก็รู้ว่าในต้าเซี่ยทุกวันนี้ ไม่ใช่ว่ามีขุมกำลังไม่กี่แห่งที่อยากสังหารซูอี้หรอกหรือเจ้าคะ”
เสียงของนางเบาลงทุกที
ข้อเสนอนี้ช่างน่าอับอายและไร้ประโยชน์อย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าใครเล่าจะคิดว่าหลังชายชุดดำสวมหน้ากากเงียบอยู่นาน เขาจะพยักหน้าเสียแทน
“ได้!”