บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 679 ฆ่าใจ
ตอนที่ 679: ฆ่าใจ
ณ แคว้นเทียนหยาง
หนึ่งในสิบสามแคว้นของอาณาจักรต้าเซี่ย
ที่ตั้งของวังเทพสวรรค์เมฆาตั้งอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียนในแคว้นเทียนหยางแห่งนี้
แสงตะวันยามเย็นสาดส่อง
บนลานหน้าผาครึ่งเขา
มีดบินสีม่วงรวดเร็วประดุจสายฟ้าแลบบินฉวัดเฉวียนอยู่กลางอากาศ ผลุบ ๆ โผล่ ๆ เปล่งประกายพลังดาบสีม่วงที่เฉิดฉายออกมา
ท่ามกลางเงามีดที่ซ้ำซ้อน ร่างสูงเพรียวของหญิงสาวนางหนึ่งปรากฏขึ้น
กระโปรงยาวสีพื้น ผมสลวยถูกเกล้าเป็นมวยขึ้นไป ใบหน้างดงามประดุจนางฟ้านางสวรรค์
นางคือเหวินซินจ้าว
สวบ!
หลังจากนั้นครึ่งเค่อ หญิงสาวก็เอื้อมมือออกไป มีดบินสีม่วงกลายเป็นลำแสงร่วงหล่นสู่มือของนาง เงามีดสลับซับซ้อนผลุบ ๆ โผล่ ๆ กลางอากาศบริเวณนั้นพลันสลายหายไป
เหวินซินจ้าวพ่นลมออกมายาว ๆ แหงนหน้ามองแสงตะวันยามเย็นเงียบ ๆ
ซูอี้จากไปเป็นเวลาสามเดือนกับอีกสิบสองวันแล้ว
ตอนที่เขาจากไป อากาศหนาวเย็น หิมะปลิวว่อน ทว่าตอนนี้เป็นเดือนที่สองของฤดูใบไม้ผลิแล้ว หญ้าเติบโตนกโบยบิน สรรพชีวิตเบิกรับชีวิตใหม่ แม้กระทั่งดอกไม้บนลานหน้าผาแห่งนี้ก็ยังเบ่งบานสะพรั่ง…
เพียงแต่ไม่รู้ว่า…
เมื่อไรเขาจึงจะกลับมาสู่อาณาจักรต้าเซี่ยอีกครา
นิ่งเงียบไปสักครู่ ขณะที่หญิงสาวกำลังจะกลับ
เสียงหนัก ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ซินจ้าว”
เหวินซินจ้าวเงยหน้ามองไป ก็เห็นชายวัยกลางคนท่าทีสุขุมสง่าในชุดเต๋าเดินมาหา
อวี้จิ่วเจิน เจ้าสำนักวังเทพเมฆาสวรรค์นั่นเอง
“ท่านเจ้าสำนักหาข้ามีเรื่องอันใดเช่นนั้นหรือ?” เหวินซินจ้าวตกใจ
“ข้ามาเพื่อแจ้งเรื่องหนึ่งให้เจ้าทราบ”
อวี้จิ่วเจินแสดงสีหน้าอึดอัดออกมาเล็กน้อย ก่อนกล่าว “นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าอย่าได้ออกไปจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ อวี้จิ่วเจินก็ถอนใจ จากนั้นจึงกล่าวต่อ “อันที่จริงไม่เพียงแต่เจ้าเท่านั้น เซียนหานเยียนอาจารย์ของเจ้า กับชิงหยาศิษย์หลานของเจ้าก็ด้วย นับแต่วันนี้เป็นต้นไปห้ามออกจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียนแม้แต่ก้าวเดียว”
เหวินซินจ้าวขมวดคิ้ว ก่อนกล่าว “ท่านเจ้าสำนักหมายความว่าอย่างไร?”
อวี้จิ่วเจินนิ่งไปชั่วครู่ จึงกล่าว “ซูอี้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว”
ซูอี้!
เหวินซินจ้าวตาลุกวาว ทว่าฉับพลันรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงกล่าว “ท่านเจ้าสำนัก หรือว่าตระกูลตงกัวคิดจะจับข้าเพื่อข่มขู่ศิษย์พี่ซู?”
อวี้จิ่วเจินส่ายหน้าพลางกล่าว “ไม่ถึงกับข่มขู่ ที่ตระกูลตงกัวออกคำสั่งไม่ให้เจ้ากับอาจารย์และศิษย์หลานของเจ้าออกไปจากที่นี่ เพราะหวังว่าซูอี้จะเป็นฝ่ายมาหาเพื่อยุติบุญคุณความแค้นระหว่างเขากับตระกูลตงกัว”
เหวินซินจ้าวสีหน้าเปลี่ยนในทันใด น้ำเสียงเย็นยะเยือก “เช่นนี้ยังไม่เรียกว่าข่มขู่อีกหรือ?!”
อวี้จิ่วเจินกล่าวสีหน้าสับสน “ซินจ้าว ตระกูลตงกัวจะไม่ทำร้ายพวกเจ้า ที่พวกเขาทำเช่นนี้ เพียงเพื่อให้ซูอี้เป็นฝ่ายมาหา ข้ารับรองได้ว่า ต่อให้ซูอี้ไม่มา ตระกูลตงกัวก็ไม่อาจทำอะไรพวกเจ้าได้”
พูดถึงประโยคท้ายสุด สีหน้าของเขามุ่งมั่นขึ้นมา
เหวินซินจ้าวแสดงสีหน้าเย้ยหยันออกมา ก่อนกล่าวคำ “ท่านเจ้าสำนัก ตระกูลตงกัวทำเช่นนี้ ไม่แตกต่างไปจากการกักขัง ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าศิษย์พี่ซูรู้เรื่องนี้ จะไม่มาได้อย่างไรกัน?”
หญิงสาวรู้สึกโกรธอย่างแรง ความโกรธแค้นปรากฏขึ้นบนใบหน้า
อวี้จิ่วเจินถอนใจขึ้นมาอีกครั้ง และจึงกล่าวต่อ “ซินจ้าว นี่เป็นเรื่องราวบุญคุณความแค้นระหว่างซูอี้กับตระกูลตงกัว เจ้าคิดว่าวังเทพสวรรค์เมฆาของพวกเราสามารถยับยั้งได้เช่นนั้นหรือ?”
หญิงสาวนิ่งเงียบไปในทันใด
ความรู้สึกหมดแรงอย่างบอกไม่ถูกถาโถมเข้าสู่หัวใจ
เวลานี้ จู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
เสียงฝีเท้านี้ไม่ช้าไม่เร็ว แตะพื้นเบา ๆ แฝงไว้ซึ่งจังหวะวิถีที่ไม่เหมือนใคร ราวกับว่าทุกช่วงฝีเท้าที่ก้าวลงพื้นนั้นมีระยะห่างที่เท่าเทียมกันไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่กระเบียดเดียว
เหวินซินจ้าวกับอวี้จิ่วเจินหันไปมองพร้อมกัน ภายใต้แสงตะวันยามเย็นที่ห่างไกลออกไป เห็นว่าร่างผอมบางสูงชะลูดราวกับหอกกำลังเดินมาทางนี้
นี่คือชายหนุ่มผู้มีรูปหน้าคมชัด สะพายสำรับดาบชิงถงใบใหญ่และหนัก แต่งกายด้วยชุดที่ทำจากผ้ากระสอบเก่า ๆ
พลังในตัวเขาแข็งแกร่งดุจดังราวกับเหล็ก
ลักษณะของเขาหนักหน่วงดุจดังมีดดาบ
ตงกัวเฟิง!
ผู้ร้ายกาจจากยุคโบราณในกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นที่จับตามองอย่างที่สุดของตระกูลตงกลัว มีกำลังการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดา ผู้ติดอันดับที่เจ็ดของทำเนียบดารา
เมื่อไม่นานมานี้ เขากับดาบของเขาสยบคนในวังเทพสวรรค์เมฆาทั้งหมด!
“ข้าสามารถรับรองได้ว่า พวกเจ้าจะไม่ได้รับอันตรายใด ๆ”
ตงกัวเฟิงกล่าวสีหน้าราบเรียบ เสียงไม่ดังนัก ทว่ากลับมีพลังทำให้คนอื่นเชื่อ
อวี้จิ่วเจินยิ้มพลางกล่าว “นายน้อยกล่าวเช่นนี้แล้ว พวกข้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องใดอีก”
เจ้าสำนักวังเทพสวรรค์เมฆาท่านนี้แสดงสีหน้าเคารพเลื่อมใสออกมา
ทว่าเหวินซินจ้าวกลับขมวดคิ้ว ก่อนกล่าวน้ำเสียงเย็นชา “หากว่าเจ้าต้องการจะแก้แค้นแทนน้องชายของเจ้าจริง ก็ควรจะไปท้าประลองกับศิษย์พี่ซูอย่างเปิดเผย ไม่ใช่จับข้าเพื่อข่มขู่เขา”
ตงกัวเฟิงนิ่งเงียบไปสักครู่ ก่อนกล่าวคำ “ข้าเพิ่งได้ข่าวมาว่า ซูอี้รับปากแล้วว่าจะมาภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียน เชื่อว่าด้วยนิสัยของเขา คงจะไม่พูดกลับกลอกเป็นแน่”
ซูอี้จะมา!?
เหวินซินจ้าวสะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้างดงามสับสนไม่นิ่ง
นางไหนเลยจะไม่รู้ว่าเป็นเพราะซูอี้กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของตัวนาง จึงได้เลือกที่จะมาภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียนที่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลตงกัวมานานแล้ว?
ฉับพลัน เหวินซินจ้าวทั้งโกรธทั้งเป็นห่วงขึ้นมา
ทว่าเวลานี้ ตงกัวเฟิงเบนสายตามองไปที่เหวินซินจ้าว แล้วกล่าวอีกว่า “หากแม่นางซินจ้าวรู้สึกว่าถูกคุกคามความปลอดภัย ก็สามารถออกจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียนไปตอนนี้ได้ อีกทั้งยังสามารถพาอาจารย์กับศิษย์หลานของเจ้าออกไปด้วยกัน ข้ารับรองว่า จะไม่มีใครขัดขวาง”
เหวินซินจ้าวนิ่งตะลึง แทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “จริงหรือ?”
ตงกัวเฟิงกล่าวสีหน้าราบเรียบดังเคย “แม่นางซินจ้าวคิดว่า ข้าตงกัวเฟิงเป็นคนที่พูดกลับกลอกเช่นนั้นหรือ?”
เหวินซินจ้าวส่ายหน้า
ถึงแม้คนในวังเทพสวรรค์เมฆาจะพ่ายแพ้ต่อตงกัวเฟิง แต่แม้กระทั่งนางก็ยังต้องยอมรับ ว่าคน ๆ นี้มีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่ยอมทำในสิ่งที่ชั่วช้าเลวทราม
กล่าวง่าย ๆ ต่อให้เป็นคู่ต่อสู้ ตงกัวเฟิงก็เป็นคู่ต่อสู้ที่น่านับถือมากคนหนึ่ง
“ข้าได้กำชับผู้แข็งแกร่งในตระกูลของข้าไว้แล้ว แม่นางซินจ้าวคิดจะจากที่นี่ไปเมื่อไรก็ได้“
ตงกัวเฟิงพูดจบ กำลังจะจากไป
“ข้าไม่ไปไหนทั้งสิ้น!”
เหวินซินจ้าวเอ่ยขึ้นในทันใด จากนั้นแสดงท่าทีตัดสินใจเด็ดขาด “ข้าจะรอศิษย์พี่ซูมา จากนั้นจึงจะไปพร้อมกับเขา!”
“หากว่าเขาสามารถฆ่าข้าได้ เขาย่อมสามารถพาเจ้าไปจากที่นี่ได้”
“แน่นอน หากว่าศึกครั้งนี้ยังไม่รู้แพ้รู้ชนะ ขอเพียงเขากล้ารับคำท้า บุญคุณความแค้นที่ผ่านมาก็ถือว่าจบสิ้น”
ตงกัวเฟิงกล่าว สีหน้าของเขาแข็งทื่อดุจก้อนหิน ราบเรียบและหนักแน่น ไม่มีความหวั่นไหวแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของเขาแล้ว เหวินซินจ้าวก็รู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาอย่างประหลาด แล้วก็อดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ “เจ้าไม่กลัวหรือว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้?”
ตงกัวเฟิงตอบโดยไม่ต้องคิด “ข้าเป็นนักดาบ แม้แต่ความตายก็ยังไม่กลัว จะสนใจอะไรกับแพ้หรือชนะ”
“ยิ่งไปกว่านั้น คนที่แพ้อาจจะไม่ใช่ข้าก็ได้”
พูดจบ
เขาหมุนตัวกลับไป ฝีเท้ามั่นคง ร่างผอมสูงราวกับหอกค่อย ๆ เลือนหายไปท่ามกลางแสงตะวันยามเย็น
เมื่อเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้แล้ว อวี้จิ่วเจินถึงกับกล่าวรำพึงออกมา “ตงกัวเฟิงคนนี้ เป็นนักดาบที่น่ากลัวมากที่สุดคนหนึ่งที่ข้าเคยพบมา ไม่ไยดีต่อความรักความชัง สุขุมหนักแน่น คนเก่งทั่ว ๆ ไปในโลกหล้าไม่อาจเทียบเทียมได้”
เหวินซินจ้าวตะลึงนิ่ง ความรู้สึกเป็นห่วงผุดขึ้นมากลางใจอย่างบอกไม่ถูก
ชั่วขณะนี้ จู่ ๆ นางก็หวังขึ้นมาว่าซูอี้จะไม่รับคำท้า…
“ซินจ้าว เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป ข้ารู้ข่าวมาว่าเมื่อก่อนหน้านี้ตอนที่ซูอี้ปรากฏตัว ได้ฆ่าฉู่อวิ๋นเคอกับมหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณอีกห้าคนที่พรางตนอยู่ในหุบเขา ว่ากันว่า ซูอี้ในตอนนี้ก้าวสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้ว!”
จู่ ๆ อวี้จิ่วเจินก็ถ่ายทอดเสียงต่อมาอีกว่า “เจ้าอย่าลืมว่าตอนที่อยู่ขอบเขตรวบรวมดารา ซูอี้สามารถฆ่าผู้ร้ายกาจแห่งยุคโบราณขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณทั้งเก้าเช่นหวนเฉ่าโหยวได้ด้วยแรงกำลังของเขาเพียงคนเดียว ตอนนี้เขาย่างสู่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้ว พลังความสามารถของเขาจึงสูงกว่าแต่ก่อนมาก”
เหวินซินจ้าวตาลุกวาว ความกลัดกลุ้มภายในใจลดลงไปไม่น้อย
ที่แท้ ตอนนี้ซูอี้ก็เป็นมหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแล้ว!
…….
ดึกสงัด
หน้ากระท่อมที่สร้างขึ้นบนยอดเขา
ตงกัวเฟิงวางดาบลงตรงหน้า หลับตานั่งสมาธิ
ทุกครั้งที่เกิดเรื่องใหญ่รู้จักสงบ และก่อนที่จะมีการต่อสู้ครั้งใหญ่ในแต่ละครั้ง ตงกัวเฟิงจะวางดาบไว้ตรงหน้าและทำสมาธิเพื่อฝึกใจ
ดาบยาวสามศอกสองชุ่น กว้างสี่นิ้วมือ ดำขลับทั้งเล่มดุจน้ำหมึก หนักหน่วงไร้คม
ด้ามดาบแกะสลักอักษรตัวเล็ก ๆ ขนาดเท่ากับหัวแมลงวันว่า ‘ฆ่าใจ’ โนเวล-พีดีเอฟ
ฆ่าศัตรูนั้นง่าย ฆ่ามารในใจนั้นยาก!
ตงกัวเฟิงเคยศึกษาผลงานการต่อสู้ของซูอี้ และรู้ถึงรายละเอียดการฆ่ามหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณทั้งหก อย่างฉู่อวิ๋นเคอ ณ เมืองผีหลิงหลงของซูอี้ด้วยเช่นกัน
จิตใต้สำนึกบอกกับเขาว่า ซูอี้เป็นคู่ต่อสู้ที่อันตรายมากคนหนึ่ง!
ทว่า ยิ่งเป็นเช่นนี้ ตงกัวเฟิงก็ยิ่งตั้งตารอ
เหมือนดังที่เขากล่าวต่อเหวินซินจ้าว เขาเป็นนักดาบ ในอดีตไม่กลัวตาย ตอนนี้ไม่กลัวตาย วันข้างหน้าก็ไม่กลัวตายเช่นกัน!
สาเหตุที่วิถีดาบของเขามีความแข็งแกร่ง เป็นเพราะฝึกฝนจนได้จิตวิถีที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัว!
เวลาผ่านพ้นไปทีละนิด
สองวันให้หลัง
ช่วงเวลาเช้าตรู่ ขณะที่ฝนในช่วงวสันตฤดูสาดเทลงมา สายฝนโรยตัวประหนึ่งหมอกควันที่ปกคลุมไปทั่วภูเขาไพรพนาแฝงไว้ซึ่งความหนาวเย็นของต้นฤดูใบไม้ผลิ
ท่ามกลางสายฝนที่โอนเอียง ภายใต้การมาส่งของกลุ่มผู้อาวุโส ชายหนุ่มหญิงสาวกลุ่มหนึ่งก็เดินตรงไปยังภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียน
หนุ่มสาวเหล่านี้ต่างก็แต่งกายไม่ธรรมดา พวกเขาเป็นบุตรหลานตระกูลใหญ่ในแคว้นเทียนหยาง มีระดับการฝึกตนอยู่ในขอบเขตไร้เบญจธัญทั้งสิ้น
ผู้อาวุโสที่มาส่งพวกเขา บ้างก็อยู่ในขอบเขตเปิดทวาร บ้างก็อยู่ในขอบเขตรวบรวมดารา
ในจำนวนนี้มีผู้ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพสวมชุดยาวสีเหลือง เขามีระดับการฝึกตนในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ!
ซูอี้ก็อยู่ในกลุ่มคณะด้วยเช่นกัน
หลังจากที่เขามาถึงแคว้นเทียนหยางแล้ว สืบเสาะตำแหน่งที่ตั้งของภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียนแล้วจึงตรงมาที่นี่
และมาเจอกับกลุ่มคณะนี้ตอนที่พักผ่อน ณ จุดที่พักกลางทาง
หลังจากทราบว่าซูอี้ก็ต้องการจะมาภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียน ชายวัยกลางผู้นำขบวนคนนั้นก็เชิญให้ซูอี้ร่วมออกเดินทางด้วยกัน
มีคนนำทาง ซูอี้ย่อมไม่ปฏิเสธเป็นธรรมดา
“พวกเจ้าดูสิ ตรงนั้นก็คือภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียน!”
ผู้ชายท่าทางสุภาพวัยกลางคนชี้ออกไปไกล ๆ พร้อมกับยิ้มก่อนจะกล่าวขึ้น
หนุ่มสาวเหล่านั้นรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมา และต่างก็มองออกไปในทิศทางเดียวกัน
ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ณ ที่ ๆ ไกลออกไป ภูเขาลูกใหญ่ตั้งตระหง่านเป็นแนว ราวกับมังกรนอนตัวยาวอยู่บนแผ่นดิน
“ถึงแม้บัดนี้วังเทพสวรรค์เมฆาจะถือเป็นขุมกำลังอันดับสอง แต่อย่าลืมว่า วังเทพสวรรค์เมฆาเข้าสวามิภักดิ์ต่อตระกูลตงกัวผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคโบราณ มีต้นไม้ใหญ่หนุนหลังนั้นเย็นสบาย”
ผู้ชายวัยกลางคนที่มีท่าทางสุภาพคนนั้นกล่าว “หากว่าครั้งนี้พวกเจ้าสามารถเข้าฝึกตนในวังเทพสวรรค์เมฆาได้ ก็จะได้รับความคุ้มครองจากตระกูลตงกัวด้วยเช่นกัน”
“อีกทั้ง เมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างอุบัติขึ้น พวกเจ้าจะได้รับโชคชะตามหาวิถีได้ง่ายขึ้นด้วย”
หนุ่มสาวเหล่านั้นต่างแสดงสีหน้าคาดหวังรอคอย
การมาของพวกเขาในครั้งนี้ ก็เพื่อกราบเป็นศิษย์ของวังเทพสวรรค์เมฆา!
ชายวัยกลางคนผู้นั้นพลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงเบนสายตามองดูซูอี้ที่นิ่งเงียบมาตลอดทาง ก่อนกล่าวคำออก “ใช่แล้ว สหายน้อยมาวังเทพสวรรค์เมฆาในครั้งนี้ มีผู้ยิ่งใหญ่ท่านใดแนะนำเช่นนั้นหรือ?”