บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 68 จี้หยกสามชุ่น คลังสมบัติสวรรค์สามฉื่อ
ตอนที่ 68 จี้หยกสามชุ่น คลังสมบัติสวรรค์สามฉื่อ
“ข…ข้าขออภัย เป็นข้าผิดเองที่เผลอเรอปล่อยอารมณ์ครอบงำจนหุนหันหยาบคาย…”
ภายใต้สายตาของทุกคน สตรีในชุดทหารกล่าวด้วยน้ำเสียงขื่นขม
นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางก้มศีรษะ กล่าวคำขออภัยต่อผู้อื่น ความรู้สึกเกิดซับซ้อน ทั้งยังเกิดเป็นความสับสน
มันถือเป็นราคาที่ต้องจ่ายเพื่อการเติบโตงั้นหรือ?
เมื่อเห็นดังนี้ อาหย่งก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หว่างคิ้วปรากฏร่องรอยความยินดี
เขากล่าวกับซูอี้ด้วยความนอบน้อม “ท่านเซียน คุณหนูของข้าถูกตระกูลตามใจมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวในโลก จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำตัวบุ่มบ่ามไปบ้าง โปรดท่านให้อภัยด้วย!”
ผู้คุ้มกันคนอื่นเองก็รีบน้อมคำนับ กล่าวขอซูอี้ให้อภัย
ซูอี้มองไปยังสตรีในชุดทหาร ไม่กล่าวคำใดตอบ ก่อนจะหันมองตรงซากศพหยินหกสมบูรณ์ และเริ่มพิจารณามัน
เขาไม่คิดสนใจโต้เถียงกับสตรีน้อยผู้นี้
และดั่งเช่นถ้อยคำที่เขาเพิ่งเอ่ยออกไป จุดประสงค์การเดินทางครั้งนี้คือซากศพหยินหกสมบูรณ์ การช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ ก็เพียงแค่ทำไปตามสถานการณ์
เขาไม่คิดใส่ใจเรื่องที่อีกฝ่ายสำนึกบุญคุณใดทั้งสิ้น
พบเห็นซูอี้ทำทีไม่แยแส อาหย่งและคณะคนต่างโล่งใจ ที่ซูอี้หาได้ใส่ใจเรื่องที่คุณหนูของพวกเขาล่วงเกินไปเมื่อครู่
โดยไม่ทราบว่าฝนอันหนักหนาหยุดตกไปเมื่อใด เมฆครึ้มบนฟากฟ้าเลือนหาย ฟ้าดินที่เคยมืดประดุจยามราตรี หวนคืนสู่แสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง
ที่พบเห็น คือแสงอาทิตย์อัสดงอยู่ปลายขอบฟ้า
ขณะนี้ใกล้พลบค่ำแล้ว
อาหย่งและผู้อื่น รวมถึงสตรีในชุดทหารกลับเข้าโถงใหญ่เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
ซูอี้ยืนที่ลานกว้าง รับชมพัดซึ่งเพิ่งหยิบขึ้นจากพื้น
ตัวพัดหล่อขึ้นจากวัตถุวิญญาณ ‘เหล็กวิญญาณด่างหมึก’ ใบของพัดถักทอด้วยไหมสีเลือด พร้อมลวดลายอักขระวาดปรากฏบนด้านบน เป็นรูปลักษณ์ของผีภูเขาทั้งสิบแปดตน
“สิ่งนี้คงถูกสร้างโดยพรรคมารหยิน เคล็ดวิธีสร้างหยาบกร้าน จนเป็นเหตุให้วัตถุวิญญาณเสียเปล่า”
ซูอี้เกิดนึกเสียดาย
ตัวพัดเสียหายหนักจนเกือบแตกสลาย หากไม่แล้วอาจนำวัตถุวิญญาณออกมาตีเป็นดาบที่ดีสักเล่มหนึ่งได้
เขาโยนมันทิ้ง ก่อนจะมองซากศพหยินหกสมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง
กระนั้นแล้ว มันไม่มีสิ่งใดปรากฏ
เขาลอบขมวดคิ้ว วิญญาณร้ายตนนี้ตื่นรู้สติปัญญา หากมันจัดการคนของพรรคมารหยินไปแล้ว มันก็ควรที่จะเก็บเกี่ยวหญ้าหกหยินและดอกไม้แสงตะวันเอาไว้กับตัวเรียบร้อย และยิ่งไม่อาจตัดความเป็นไปได้ที่ว่า ชีพจรวิญญาณหยินก็ตกอยู่ในมือของมันเช่นกัน
กระนั้นเวลานี้ ซากของมันกลับไร้ซึ่งของล้ำค่า
“หรือวิญญาณร้ายตนนี้จะสร้างรังเอาไว้ และซ่อนสมบัติล้ำค่าเอาไว้ที่นั่น?”
ซูอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนำแท่งจุดเพลิง*[1]ออกมา และโยนมันใส่ซากศพหยินหกสมบูรณ์ จนกระทั่งเกิดเป็นเพลิงลุกไหม้
ควันดำหนาลอยขึ้นไปในอากาศ
กระทั่งซากที่เหลืออยู่ก็กลายเป็นเถ้าถ่าน ซูอี้ที่เกือบจะหันเดินกลับไปที่โถงใหญ่ ทันใดดวงตาของเขาพลันต้องลุกวาว
เมื่อดูกองขี้เถ้าบนพื้น พลันได้พบเห็นจี้หยก ขนาดของมันราวฝ่ามือเด็ก เป็นสีดำสนิท หากไม่พิจารณาให้ดีจะยากพบเห็น
ซูอี้เก็บมันขึ้นมา พิจารณาสำรวจมอง มุมปากถึงกับเผยรอยยิ้มออกมา
จี้หยกนี้มีเนื้อสัมผัสละเอียดอ่อน แกะสลักด้วยภาพทิวทัศน์ เป็นสีดำราวน้ำหมึก หรูหราและเรียบง่าย
สำคัญกว่าอื่นใด คือการที่มันคืออุปกรณ์มิติเก็บสมบัติ!
จากความทรงจำของซูอี้ อาณาจักรโจวมีอุปกรณ์มิติเช่นนี้น้อยชิ้น แม้แต่ขอบเขตปรมาจารย์บางคนยังไม่มีในครอบครอง
ซูอี้ไม่นึกคาดคิด ว่าซากศพหยินหกสมบูรณ์ตนนี้จะมีอุปกรณ์มิติในครอบครอง
สำรวจดูโดยคร่าว ฝ่ามือซูอี้จับจี้หยกสีดำและถูอย่างเบามือ ไม่ช้าผนึกอันอ่อนแรงที่ปรากฏคงอยู่ จึงสลายหายโดยทันที
ไม่ช้าจึงรับรู้ได้ พื้นที่ภายในแคบเล็ก ประมาณเพียงสามฉื่อ ไม่พอแม้ลังไม้อันใหญ่
ที่ภายใน มีของหลายอย่างเก็บไว้ เช่น ขวดหยกที่แตกร้าว สมุนไพรวิญญาณ ศิลาวิญญาณ ม้วนตำราและของอื่น ๆ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซากศพหยินหกสมบูรณ์นั้นซ่อนสมบัติทั้งหมดไว้ในจี้หยกอันนี้
ทั้งหญ้าหกหยินและดอกไม้แสงตะวันซึ่งเป็นสาเหตุที่ซูอี้ขึ้นภูเขามารดาภูตผีเพื่อตามหา ก็คงอยู่ในนี้เช่นกัน
กระนั้นแล้ว เขากลับไม่พบชีพจรวิญญาณหยิน ไม่ทราบว่าเป็นเพราะซากศพหยินหกสมบูรณ์ใช้งานไปแล้ว หรือซุกซ่อนเก็บไว้บนภูเขามารดาภูตผีและยังไม่ถูกพบ
เพียงไม่นาน ซูอี้ก็ตรวจสอบทรัพย์สินที่มีด้านในจนหมดสิ้น
สมุนไพรวิญญาณเก้าอย่าง ห้าต้นเป็นระดับที่หนึ่ง สองต้นเป็นระดับสอง และอีกสองต้นเป็นระดับสาม
อย่างไรก็ตาม แม้หญ้าหกหยินและดอกไม้แสงตะวันจะเป็นสมุนไพรวิญญาณขั้นที่สาม แต่ด้วยประโยชน์ที่มันมีอย่างใหญ่ยิ่งต่อปรมาจารย์ขอบเขตหลอมกำเนิดในการใช้บ่มเพาะ ราคาของมันจึงสูงล้ำยิ่งกว่าสมุนไพรวิญญาณขั้นที่สามทั่วไปอย่างไม่อาจเทียบ
ยกตัวอย่างเช่นผู้บ่มเพาะชั้นปรมาจารย์เช่นเซียวเทียนเชวี่ย ก็ยังมาที่ภูเขามารดาภูตผีแห่งนี้ ก็เพื่อค้นหาหญ้าหกหยิน และนำไปขัดเกลาวิถีของตน
นอกจากสมุนไพรวิญญาณ ยังมีศิลาวิญญาณขั้นที่หนึ่งห้าสิบห้าก้อน ขวดสิบใบที่บรรจุเม็ดยาหยินเยือกแข็ง ของเหล่านี้ภูตผีจะใช้เพื่อเสริมพลังแก่ตัวมันเอง หาได้มีค่าใดต่อซูอี้ แต่กระนั้นเขาก็ยังสามารถเก็บพวกมันไว้ให้ชิงหว่านใช้ฝึกฝนได้
หนึ่งสิ่งสุดท้ายคือตำรา ซึ่งทำมาจากผืนหนังสัตว์ เก่าเก็บและเป็นสีเหลืองคร่ำคร่าโบราณ
สิ่งที่บันทึกภายในนั้นคือเคล็ดวิชาลับนาม ‘พลังหยินลึกล้ำเก้ามาร’
นามฟังดูชวนขนลุก กระนั้นเมื่อซูอี้พลิกอ่าน กลายเป็นต้องส่ายศีรษะผิดหวัง
มันไม่มีอะไรมากไปกว่ากระบวนการ ‘ขัดเกลาซากศพ’ ที่เป็นแขนงหนึ่งในการฝึกภูตผี
ช่วงท้ายของการฝึกฝน อาจฝึกได้ถึงการ ‘ยืมศพรวมร่าง แปรเปลี่ยนคล้ายดั่งมนุษย์’ ซึ่งมีอำนาจแข็งแกร่งแค่พอเทียบได้กับผู้บ่มเพาะขั้นวิถีที่สอง วิถีต้นกำเนิดก็เท่านั้น
หากเทียบเปรียบ ‘เคล็ดวิชามหาวิญญาณทศทิศ’ ที่เขาสอนให้ชิงหว่าน มันยังนับว่าห่างไกลกันราวสวรรค์และหุบเหว
พูดอีกอย่างคือมันเป็นเพียงตำราไร้ค่าเท่านั้น
“ด้วยการฝึกฝนของข้าตอนนี้ แต่ละวันจะต้องใช้สมุนไพรวิญญาณระดับที่หนึ่งจำนวนหนึ่งต้น แม้รวมสมุนไพรวิญญาณที่เก็บมาได้ครั้งนี้ อย่างมากก็แค่พอใช้สำหรับราวครึ่งเดือน…”
“และหากคิดฝึกฝนระดับขั้น ‘ขัดเกลากระดูก’ จนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ครึ่งเดือนอาจไม่มากพอ”
“ถัดจากนี้ก็ยังคงต้องตามหาสมุนไพรวิญญาณต่อไป…”
ซูอี้พึมพำในใจ “อย่างไรเสีย จี้หยกอันนี้ก็คุ้มค่าที่เดินทางมาแล้ว”
เขาหยุดครุ่นคิด ก่อนจะแขวนจี้หยกไว้ที่เอว
ด้วยคลังมิติชิ้นนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องแบกของหนักในยามออกเดินทางท่องโลกหล้าในภายหน้า
นับเป็นหนึ่งในเรื่องที่ทำซูอี้พึงพอใจไม่น้อย
สนธยาล่วงเลย ราตรีกาลมาเยือน
ในโถงก่อกองไฟขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ขณะซูอี้ก้าวเดินเข้าไปด้านในโถง อาหย่งและคณะพลันรีบลุกขึ้นยืนกล่าวคำทักทาย
“ท่านเซียนซู ขณะนี้มืดค่ำแล้ว ข้าขอรินสุราให้ท่านเพื่อคำนับแสดงความขอบคุณ ขอเชิญท่านนั่งก่อน”
อาหย่งเผยยิ้มกล่าวคำเชิญ
บริเวณกองไฟ อาหารและเครื่องดื่มมากมายถูกเตรียมไว้ พื้นที่กว้างขวางและค่อนข้างสว่าง เห็นชัดว่าเตรียมไว้ต้อนรับซูอี้
“เช่นนั้นไม่ขอเกรงใจ”
ซูอี้ไม่คิดมากเรื่องราว นั่งลงกับพื้น พร้อมยืดกายแสวงความสบายสู่ตัว
พบเห็นทุกคนยังยืน เขากล่าวคำบอก “นั่งกันได้แล้ว ไม่ต้องมากพิธี ข้าไม่สนใจเรื่องยิบย่อย”
อาหย่งและคณะต่างหัวเราะเบาก่อนจะนั่งตาม
นับตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ สตรีในชุดทหารคล้ายยังไม่หลุดพ้นจากภวังค์ ตัวนางยังคงก้มหน้า ซีดขาว และนิ่งเงียบ ราวกับยังไม่ได้สติจากเรื่องราว รวมไปถึงความทะนงอหังการที่เคยมีมาโดยตลอดก่อนหน้านี้ก็ได้เลือนหายไปหมดสิ้น
ซูอี้หาได้ใส่ใจไม่ว่านางคิดสิ่งใดอยู่ ขณะนี้เพียงกินและดื่มของที่เตรียมไว้
พบเห็นซูอี้ไม่ถือตัวมากมารยาท อาหย่งและผู้อื่นจึงค่อยผ่อนคลายลงได้มาก พร้อมเริ่มกินดื่มและพูดคุยร่วมกับซูอี้
ซูอี้ไม่คิดปฏิเสธน้ำใจผู้อื่น เพียงแต่พูดน้อยไปบ้าง
แม้กระนั้น ท่าทีไม่ถือตัวเหล่านี้ก็มากพอให้อาหย่งและคณะต่างเกิดโล่งใจ
พวกเขาแท้จริงยังจดจำดาบอันชวนสะพรึงที่สับฟันใส่ซากศพหยินหยกสมบูรณ์นั้นได้ชัดเจน แต่นี่นับว่าไม่แปลก เพราะดาบนั้นอัศจรรย์เกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะเข้าใจได้ แค่ได้เห็นเพียงครั้งเดียว มันย่อมเปรียบดังฝันร้ายที่ไม่มีผู้ใดสามารถลบเลือนออกจากหัว
กัวปิ่งนึกยินดีไม่น้อยเช่นกัน
ภาพฉากที่ได้เห็นวันนี้ นับเป็นการเปิดหูเปิดตาแก่เขา ทั้งยังเกิดเชื่อในตัวซูอี้มากยิ่งขึ้น ในเรื่องช่วยเยียวยาร่างกายของเขาจนหายขาด
ระหว่างบทสนทนา อาหย่งไม่คิดปิดบังใดอีก เขากล่าวแนะนำตัวทีละคน กระทั่งเผยเป้าหมายการเดินทางครั้งนี้จนหมดสิ้น
ซูอี้ได้ทราบก็ตอนนี้ว่าอีกฝ่ายมาจากตระกูลหยวน เป็นหนึ่งในสี่ยอดตระกูลของเขตปกครองอวิ๋นเหอ
สตรีในชุดเครื่องแบบนามว่าหยวนลั่วซี เป็นบุตรีคนสุดท้องของหยวนอู่ทงผู้นำตระกูลหยวน กล่าวได้ว่าเป็นบุตรีสุดรักสุดหวงแห่งตระกูลหยวน และถูกตามใจตั้งแต่เด็ก
นามแท้จริงของอาหย่งคือเฉิงอู้หย่ง เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสแห่งตระกูลหยวน ครั้งนี้รับหน้าที่เป็นผู้นำคณะคุ้มกันแก่หยวนลั่วซี
คณะผู้คุ้มกันเหล่านี้ต่างเป็นมือดีจากตระกูลหยวน ส่วนใหญ่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตโคจรโลหิตขั้นสามขัดเกลาเส้นเอ็น บ้างก็ขั้นสี่ขัดเกลากระดูก พวกเขาล้วนมีประสบการณ์มากมาย ชำนาญการสู้รบเป็นเลิศ
พวกเขาเดินทางสู่ภูเขามารดาภูตผี ก็เพื่อค้นหา ‘หญ้าหกหยิน’ โดยหยวนลั่วซีปรารถนาจะใช้สมุนไพรวิญญาณนี้ นำไปมอบเป็นของขวัญวันเกิดแก่หยวนอู่ทง บิดาของนาง
ได้ยินรับฟัง ซูอี้เกิดเลิกคิ้วขึ้นพลางถาม “ทราบได้เช่นไรว่าภูเขามารดาภูตผีแห่งนี้มีหญ้าหกหยิน?”
เมื่อในอดีตตอนที่เขาเจอกับจื่อจิ่น ผู้เป็นนายเหนือหัวแห่งเขตปกครองหลิงเหยา บอกกับเขาว่าทั้งเขตปกครองอวิ๋นเหอ มีคนเพียงน้อยนิดที่ทราบว่าภูเขามารดาภูตผีมีหญ้าหกหยินคงอยู่
หยวนลั่วซีในชุดเครื่องแบบทหารที่นิ่งเงียบมาอย่างยาวนาน เอ่ยคำขึ้น “ไม่นานมานี้ ปู่เซียวมาเยือนตระกูลเรา เขาบังเอิญกล่าวถึงมันระหว่างสนทนากับบิดาข้า เป็นเหตุให้ข้าจดจำได้อย่างขึ้นใจ”
นางที่พูดกล่าว กลับยังคงก้มศีรษะ น้ำเสียงแผ่วเบา
“เซียวเทียนเชวี่ย?” ซูอี้เอ่ยถาม
หยวนลั่วซีชะงัก นางเงยหน้าขึ้นมอง ถ้อยคำกล่าวถามด้วยความงุนงง “เจ้…แค่ก ๆ ท…ท่านเซียนรู้จักท่านปู่เซียวด้วยงั้นหรือ?”
แม้สรรพนามเรียกหาก็แปรเปลี่ยน
เรื่องนี้บ่งชี้ ว่าความคิดในใจของเด็กสาวที่มีต่อซูอี้ขณะนี้แปรเปลี่ยนไปแล้วโดยเงียบงัน
“ข้าย่อมทราบ ไม่นานมานี้ เขาเพิ่งพาหลานมาเยือนภูเขามารดาภูตผี ได้รับบาดเจ็บเพราะถูกซากศพหยินหกสมบูรณ์เล่นงาน หากระหว่างทางไม่พบข้า ก็คงตกตายไปแล้ว”
ซูอี้กล่าวบอกออกมา
เฉิงอู้หย่งและคณะผู้คุ้มกันต่างตื่นตกใจ
พวกเขาทราบว่าตัวตนของเซียวเทียนเชวี่ยยิ่งใหญ่เพียงใด ครั้งมาเยือนเป็นแขกของตระกูลหยวน ก็ยังนับเป็นแขกทรงเกียรติที่ผู้นำตระกูลต้องเข้าพบเป็นการส่วนตัว!
หยวนลั่วซีราวคิดอะไรออกบางอย่าง ถ้อยคำอุทานออกอย่างตกตะลึง “หรือว่าท่านเซียนจะเป็นยอดฝีมือที่ท่านปู่เซียวเคยกล่าวถึง?”
สายตาที่นางมองซูอี้แปรเปลี่ยน ทั้งตกใจและเหลือเชื่อ ทว่าขณะเดียวกัน มันยังแฝงไว้ด้วยความยำเกรง
“หากเจ้าหมายถึงคนที่ช่วยชีวิตเขาไว้ แน่นอนว่านั่นคือข้า”
ซูอี้ตอบอย่างไม่นึกใส่ใจ
แต่คำพูดของหยวนลั่วซีทำให้เขาได้ทราบ เรื่องของหญ้าหกหยินหลุดจากปากเซียวเทียนเชวี่ย เป็นเหตุให้หยวนลั่วซีและคณะเดินทางมาในครั้งนี้
[1] แท่งจุดเพลิง เป็นอุปกรณ์จุดไฟแบบจีนโบราณ เป็นแท่งที่ต้องเปิดให้เชื้อไฟโดนอากาศ แล้วไฟจะลุกไหม้