บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 680 คนอื่นว่าข้าเสียสติ
ตอนที่ 680: คนอื่นว่าข้าเสียสติ
เมื่อผู้ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพถามเช่นนี้ออกมา ชายหนุ่มทั้งหลายต่างก็มองไปที่ซูอี้
ในสายตาของพวกเขา คนหนุ่มชุดเขียวคนนี้ดูมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขา
ทว่าอากัปกิริยาที่แสดงออกมาของเขานั้นกลับไม่มีชีวิตชีวาของคนหนุ่มสาวเลย
แต่กลับให้ความรู้สึกว่าเป็นคนประหลาด ไม่เข้าพวกเสียมากกว่า
บางคนรู้สึกคน ๆ นี้มีความหยิ่งผยองเกินไป เจตนาวางท่า
และก็มีบางคนที่รู้สึกคน ๆ นี้ทำตัวเหมือนคนแก่ ถึงแม้จะเป็นคนหนุ่ม แต่กลับทำตัวเคร่งเครียด จึงทำให้ไม่มีใครอยากเข้าใกล้
บางคนถึงกับเดาว่า คนหนุ่มที่เดินทางเพียงลำพังคนเดียวนี้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนมีปมด้อย จึงทำให้ไม่อาจเข้ากับคนอื่น ๆ ได้…
ทว่าตลอดทางที่ผ่านมาไม่มีใครไปตอแยซูอี้
เพราะว่าผู้ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพกล่าวเตือนหนุ่มสาวเหล่านั้นไว้ว่า คนหนุ่มชุดเขียวที่ทำตัวปลีกแยกจากพวกเขาคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา
และยังกล่าวเตือนพวกเขาว่าห้ามไปตอแยกับอีกฝ่าย
“ผู้ยิ่งใหญ่แนะนำ?” ซูอี้นิ่งตะลึง
สาวน้อยในชุดสีเขียวกล่าวเสียงใส “เจ้าไม่รู้หรือว่าการจะเป็นศิษย์ของวังเทพสวรรค์เมฆา ข้อที่หนึ่งจะต้องมีคุณสมบัติและมีพื้นฐานสามารถผ่านการทดสอบของวังเทพสวรรค์เมฆา ส่วนข้อที่สองจะต้องการผู้ยิ่งใหญ่แนะนำ”
ซูอี้เข้าใจในทันใด ยิ้มพลางส่ายหน้า “ข้าไม่ได้มากราบเป็นศิษย์”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าไปทำอะไรที่นั่น?”
ทุกคนต่างก็คาดไม่ถึง
ซูอี้กล่าว “ไปรับคน”
รับคน?
กระทั่งผู้ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพก็ยังนิ่งตะลึงไปเช่นกัน
“หรือว่า คุณชายมีญาติอยู่ในวังเทพสวรรค์เมฆา?”
สาวน้อยในชุดสีเขียวคนนั้นถามเสียงใส
ซูอี้ส่ายหน้าพลางกล่าว “ไม่มี”
สาวน้อยในชุดสีเขียวกล่าวด้วยความสงสัย “ถ้าเช่นนั้นคนที่เจ้าไปรับคือใคร?”
ซูอี้ตอบ “เหวินซินจ้าว”
เหวินซินจ้าว!
ทุกคนต่างพากันตกตะลึง
นางคือมารดาบน้อยที่มีชื่อเสียงทั่วอาณาจักรต้าเซี่ย และยังเป็นนางเซียนผู้งดงามที่สุดในแคว้นเทียนหยางของพวกเขา!
ใครบ้างจะไม่รู้จักนาง?
เพียงแต่ว่า…. พวกเขาไม่อาจเชื่อมโยงเหวินซินจ้าวกับคนหนุ่มชุดเขียวคนนี้ได้
“นางฟ้าเหวินเป็นคนระดับใด เจ้านำมาพูดล้อเล่นได้อย่างไร?”
หนุ่มน้อยในชุดสีเงินกล่าวด้วยความไม่พอใจ ทำหน้าบึ้งตึง ไม่สนใจซูอี้อีก
คนอื่น ๆ ได้แต่ส่ายหน้า คิดว่าซูอี้กำลังคุยโตโอ้อวด อยากดีอยากเด่นจนเกินไป เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาจะแอบอ้างชื่อของเหวินซินจ้าว
ผู้อาวุโสที่อยู่ในกลุ่มคณะต่างก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะขึ้นมา
ในโลกนี้ มีคนหนุ่มคนใดบ้างที่ไม่ชอบนางฟ้าผู้งดงามอย่างเหวินซินจ้าว?
ไม่มีใครสนใจซูอี้อีก
แม้กระทั่งสาวน้อยในชุดสีเขียวก็ยังถอนใจเบา ๆ พลางกล่าว “คุณชาย พูดคุยสัพเพเหระเท่านั้น จะยกเอานางฟ้าเหวินมาพูดเป็นเล่นไม่ได้ อีกทั้งคำพูดเล่นของเจ้านี้ไม่เห็นสนุกด้วย”
พูดจบ นางก็ไม่สนใจซูอี้อีก
ซูอี้จึงได้แต่นิ่งเงียบไป
เขาไม่คิดว่าในใจคนหนุ่มคนสาวเหล่านี้ เหวินซินจ้าวจะมีความงดงามและสูงส่งถึงเพียงนี้
จนถึงขั้นไม่อาจนำมาพูดได้…
ผู้ชายวัยกลางคนสุภาพคนนั้นครุ่นคิดสักครู่ จากนั้นจึงยิ้มพลางถาม “สหายน้อย อย่าว่าละลาบละล้วงเลย เหตุใดต้องไปรับเหวินซินจ้าวด้วย?”
ซูอี้มองดูภูเขาไพรพนาไกล ๆ ที่มีสายฝนปกคลุม ก่อนกล่าว “วังเทพสวรรค์เมฆาในตอนนี้อยู่ในความดูแลของตระกูลตงกัว และข้ามีความแค้นกับตระกูลตงกัว จึงไม่อาจปล่อยให้ซินจ้าวอยู่ที่วังเทพสวรรค์เมฆาได้อีก”
ด้วยนิสัยใจเย็นของผู้ชายวัยกลางคนผู้มีท่าทางสุภาพ แม้แต่เขาก็ยังถึงกับนิ่งตะลึง
นิ่งเงียบไปนานมาก เขาจึงยิ้มพลางกล่าว “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
จากนั้นเขาก็ไม่สนใจซูอี้อีก
“คน ๆ นั้นบอกว่าตัวเองมีความแค้นกับตระกูลตงกัว… ฮ่า ๆ ข้าว่า ตระกูลตงกัวยังไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าคน ๆ นี้เป็นใคร”
“เฮ้อ คน ๆ นี้ช่างไม่เจียมตัวบ้างเลย บังอาจเรียกนางฟ้าเหวินว่า ‘ซินจ้าว’ อยากจะสั่งสอนให้เขาได้รู้สำนึกจริง ๆ เลย…”
“ช่างเถิด เพียงแค่คนขี้โม้ ชอบพูดเพื่อให้คนอื่นสนใจก็เท่านั้น อย่าไปสนใจเลย เพราะอย่างไรเสีย เขาก็แตกต่างไปจากพวกเรา”
หนุ่มสาวเหล่านั้นพูดซุบซิบขึ้นมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาวน้อยในชุดสีเขียว ซึ่งบ่นอุบอิบด้วยความไม่พอใจ “หน้าตาดีถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงชอบอวดอ้างตัวเองเช่นนี้ ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรงจริง ๆ เลย ข้าผิดหวังมากจริง ๆ”
ผู้อาวุโสเหล่านั้นต่างก็หัวเราะหึหึ ไม่ใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยนี้แม้แต่น้อย ดังนั้นจึงไม่เชื่อในสิ่งที่ซูอี้พูดมาเมื่อก่อนหน้า
ซูอี้จึงได้แต่หัวเราะ ไม่ใส่ใจคนเหล่านี้
เรื่องใด ๆ ในโลกก็เป็นเช่นนี้ จริงเท็จควบคู่กันไป ทุกคนล้วนเชื่อในสิ่งที่ตัวเองรู้เท่านั้น
——
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม
คนกลุ่มนี้ก็มาถึงหน้าประตูสำนักวังเทพสวรรค์เมฆา
ประตูสำนักกว้างใหญ่ ม่านหมอกวนเวียน
เมื่อมองเข้าไปข้างใน หมู่ยอดเขาตั้งตระหง่าน อาคารโบราณตั้งเรียงราย ฝูงกระเรียนขาวโบยบินอยู่ใต้ฟ้า ส่งเสียงร้องดังกังวานไปทั่ว
ตามการฟื้นคืนของปราณวิญญาณแห่งฟ้าดิน ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียนจึงเกิดความเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด เมฆสวยนภาใส ปราณวิญญาณกลมกลืน ถือเป็นดินแดนอันดับหนึ่งในโลกก็ว่าได้
เมื่อคณะที่ซูอี้ติดตามมาด้วยเดินทางมาถึง ผู้ฝึกตนจำนวนมากกำลังขี่ดาบฉวัดเฉวียนอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียน เป็นภาพที่คึกคักมาก
“นี่คือลักษณะของผู้เป็นเซียนเช่นนั้นหรือ?”
“วันข้างหน้าหากได้มาฝึกตนอยู่ที่นี่จริง คงจะเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจมาก….”
หนุ่มสาวเหล่านั้นต่างก็แสดงอาการใฝ่ฝันรอคอย
ทว่าพวกเขากลับดูสงบและสำรวมขึ้น ไม่กล้าพูดคุยกันอีก
ต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่อย่างคนในวังเทพสวรรค์เมฆาเช่นนี้ ภูมิหลังและพื้นเพของพวกเขาแลดูต่ำต้อยนัก
“น้องเริ่น ในที่สุดพวกเจ้าก็มากันแล้ว”
ผู้ชายในชุดขนนก ในมือถือแส้ขนม้าเดินออกมาจากประตูสำนัก สาวเท้าก้าวใหญ่ ๆ ออกมาต้อนรับ
ผู้ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพที่เป็นหัวหน้าคณะประสานมือแสดงความคารวะ ยิ้มพลางกล่าว “พี่เหว่ย ไม่ได้เจอกันนาน!”
เหว่ยถิง
ผู้อาวุโสสายในของวังเทพสวรรค์เมฆา
“น้องเริ่น พวกเจ้ามาผิดเวลา”
เหว่ยถิงหัวเราะเจื่อน “ระยะเวลานี้ ไม่อาจให้พวกเจ้าเข้าไปทำการทดสอบในสำนักได้”
ทุก ๆ คนต่างก็นิ่งตะลึง
ผู้ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพถาม “เพราะเหตุอันใด?”
เหว่ยถิงชี้ไปที่ผู้ฝึกตนที่กำลังทำงานอย่างขะมักเขม้นอยู่ห่าง ๆ เหล่านั้น พลางกล่าว “ตอนนี้ ทุกคนในวังเทพสวรรค์เมฆากำลังเตรียมตัวรับศึกใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสำนัก หรือว่าผู้แข็งแกร่งในสำนัก ล้วนทำการซ่อมแซมค่ายกลปกป้องภูเขาของสำนักกัน”
ชายวัยกลางคนถามด้วยความตระหนก “ศึกใหญ่? หรือว่าช่วงระยะนี้มีศัตรูร้ายกาจบุกโจมตีเช่นนั้นหรือ?”
สายตาของเหว่ยถิงดูประหลาดไป เขาส่ายหน้าพลางกล่าว “ไม่ใช่ศัตรูร้ายกาจ และไม่ใช่ศัตรูของวังเทพสวรรค์เมฆาของข้าด้วย แต่เป็นศัตรูคู่แค้นในสายตาของตระกูลตงกัว”
“ใครกัน?”
“ซูอี้”
ชื่อนี้ราวกับมีมนต์ขลัง ทำให้บรรยากาศโดยรอบสงบเงียบลงในทันใด
ผู้ชายวัยกลางคนกับหนุ่มสาวเหล่านั้นต่างพากันตะลึง
“ซูอี้หายตัวไปตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ?”
ผู้ชายวัยกลางคนคนเดิมอดกล่าวขึ้นมาไม่ได้
“น้องเริ่นไม่เคยได้ยินหรอกหรือว่า เมื่อสองวันก่อน ซูอี้เคยปรากฏตัวอยู่ที่เมืองผีหลิงหลง ฆ่ามหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณที่พรางตนในหุบเขาอย่างฉู่อวิ๋นเคอกับคนอื่น ๆ ทั้งสิ้นหกคนตาย”
เหว่ยถิงกล่าวเสียงเข้ม “และวันเดียวกันนั้น ซูอี้เคยรับปากว่าจะมาวังเทพสวรรค์เมฆาเพื่อต่อสู้กับใต้เท้าตงกัวเฟิง!”
ซี้ด!
ทุกคนในเหตุการณ์ส่งเสียงสูดปาก
ต่างก็ตกตะลึง
เรื่องนี้เป็นเรื่องน่ากลัวมาก เพียงแค่คิด พวกเขาก็รู้สึกสันหลังวาบแล้ว
เพราะอย่างไรเสียก็ดี ไม่ว่าจะเป็นซูอี้ หรือว่าตงกัวเฟิง ต่างก็เป็นบุคคลในตำนานซึ่งมีชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วอาณาจักรต้าเซี่ย
ใครกันจะคาดคิดว่า พวกเขาทั้งสองจะเปิดศึกต่อสู้กันบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียนแห่งนี้?
“เจ้ากล่าวผิดแล้ว”
เวลานี้ จู่ ๆ มีเสียงราบเรียบเสียงหนึ่งดังขึ้น
เมื่อมองเห็นว่าคนที่พูดคือซูอี้ ผู้ชายวัยกลางคนกับคนอื่น ๆ ต่างก็สีหน้าเปลี่ยน
“สหายน้อย อย่าได้พูดพร่ำเพรื่อ!”
ผู้ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพส่งเสียงดุ
หนุ่มสาวเหล่านั้นก็แสดงท่าทีไม่พอใจออกมาด้วยเช่นกัน คนขี้โม้โอ้อวดคนนี้ต้องการจะ ‘พูดโอ้อวด’ อีกแล้วเช่นนั้นหรือ?
“ข้าพูดผิดไปเช่นนั้นหรือ?”
เหว่ยถิงถึงกับตะลึง ยิ้มพลางถาม “ถ้าเช่นนั้นขอเรียนถามสหายน้อย ข้าพูดผิดตรงไหน?”
ซูอี้ตอบ “ข้ามาภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียนในครั้งนี้ เพียงเพื่อรับตัวซินจ้าวเท่านั้น ไม่ได้มาเพื่อต่อสู้กับตงกัวเฟิง”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา ทุก ๆ คนต่างก็รู้สึกตะขิดตะขวงขึ้นมา เขา… เขากำลังแอบอ้างตัวเป็นซูอี้?
สาวน้อยในชุดสีเขียวอดทนต่อไปไม่ไหว จึงกล่าวด้วยความโกรธ “คุณชาย ก่อนหน้านี้เจ้าคุยไว้ว่าต้องการจะมารับตัวนางฟ้าเหวิน เดิมทีก็พูดเกินเหตุมากพอแล้ว เหตุใดตอนนี้จึงแอบอ้างตัวเป็นใต้เท้าซูอี้อีก เช่นนี้ไม่ใช่พูดล้อเล่นแล้ว แต่หาเรื่องตายใส่ตัวชัด ๆ รู้หรือไม่?”
หนุ่มสาวคนอื่น ๆ ต่างก็ขมวดคิ้วแน่น
ซูอี้หัวเราะเสียงหลง “ข้าจำเป็นต้องแอบอ้างเป็นตัวเองด้วยหรือ?”
ผู้ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ตั้งตาพินิจมองดูซูอี้ใหม่อีกครั้ง
“น้องเริ่น หรือว่าสหายท่านนี้จะเป็น…”
เหว่ยถิงตื่นตระหนก รีบสอบถาม
ผู้ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพหัวเราะเจื่อนพลางกล่าว “พี่เหว่ย ข้ากับท่านนี้…. รู้จักกันระหว่างทาง ไม่ได้รู้ประวัติที่มาฐานะของเขา”
เหว่ยถิงสีหน้าสับสน
ในขณะนี้เอง เสียงเคร่งขรึมเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากไกล ๆ “ผู้อาวุโสเหว่ย มีเรื่องอันใดที่หน้าประตูสำนักเช่นนั้นหรือ?”
เมื่อเสียงดังขึ้น ห่างไกลออกไปร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
คน ๆ นี้สวมชุดเต๋า มีท่าทางสุขุม
ด้านหลังยังมีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากติดตาม ยิ่งแลดูสถานะของเขาไม่ธรรมดา
เมื่อเห็นคน ๆ นี้แล้ว ผู้ชายวัยกลางคนกับผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ต่างก็ตัวสั่น แสดงสีหน้าเคารพนบนอบอย่างพร้อมเพรียงกัน พลางโน้มตัวลงแสดงความคารวะ
“คารวะท่านเจ้าสำนักจิ่วเจิน!”
คนในชุดเต๋าคนนั้นก็คือเจ้าสำนักวังเทพสวรรค์เมฆา อวี้จิ่วเจินนั่นเอง
ภาพเช่นนี้ทำให้เหล่าบรรดาหนุ่มสาวทั้งหลายถึงกับตื่นตะลึง
อวี้จิ่วเจิน!
สำหรับพวกเขาแล้ว ตัวตนอย่างเหว่ยถิงเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่พวกเขาได้แต่ชะเง้อคอมองเท่านั้น ดังนั้นเจ้าสำนักวังเทพสวรรค์เมฆาจึงเปรียบได้กับเทพเซียนบนสวรรค์!
“ยังจะมัวตะลึงอะไรกันอีก พวกเจ้ายังไม่รีบกราบคารวะผู้อาวุโสจิ่วเจินอีก!?”
ผู้ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพส่งเสียงเตือนเบา ๆ
หนุ่มสาวเหล่านั้นราวกับตื่นจากฝัน ตั้งสติขึ้นได้ก็รีบโน้มตัวแสดงความคารวะ แต่ละคนมีท่าทีสงบเสงี่ยม
เมื่อเป็นเช่นนี้ ซูอี้ที่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนดุจดังนกกระเรียนยืนท่ามกลางฝูงไก่จึงแลดูขัดลูกนัยน์ตาเป็นพิเศษ
สายตาของผู้ยิ่งใหญ่กับสายตาของอวี้จิ่วเจินจึงมองมา
เมื่อมองเห็นซูอี้อย่างชัดเจนแล้ว อวี้จิ่วเจินถึงกับนิ่งตะลึง ทันใดกล่าวตะกุกตะกักขึ้นมา “ซูอี้!? เจ้า… มาถึงตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
เห็นได้ชัดว่าเจ้าสำนักวังเทพสวรรค์เมฆาท่านนี้ทำท่าตื่นตระหนกจนเสียกิริยา
เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาเกิดความระส่ำระสาย ไม่อาจสงบใจลงได้
ใครกันจะคาดคิดว่าจู่ ๆ ซูอี้ก็มา?
ไม่มีลางบอกเหตุเลยสักนิด!
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของพวกอวี้จิ่วเจินแล้ว…
เหว่ยถิง “…”
ผู้ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพ “…”
หนุ่มสาวเหล่านั้น “…”
ทุกคนล้วนพากันตาค้าง!
เวลานี้บรรยากาศก็เปลี่ยนไป รู้สึกอึดอัดขึ้นมา
ทั่วผืนปฐพี ฝนตกปรอย ๆ ราวไอหมอก
คนหนุ่มยืนมือไพล่หลังท่ามกลางหมอกฝน ชุดสีเขียวประดุจหยก ให้ความรู้สึกลึกลับมากขึ้น