บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 681 เพลงดาบ ภาวะดาบ หัวใจแห่งดาบ
ตอนที่ 681: เพลงดาบ ภาวะดาบ หัวใจแห่งดาบ
อวี้จิ่วเจินสงบสติอารมณ์ ประสานมือคารวะพลางกล่าว “ไม่พบกันหลายเดือน สหายเต๋าซูยิ่งดูสง่างามมากขึ้น”
คำพูดประโยคเดียว ทำลายบรรยากาศที่อึดอัด
ผู้ชายวัยกลางคนกับคนอื่น ๆ ต่างก็มีสีหน้าสับสน
ร่วมเดินทางมาด้วยกันตลอดทาง น่าขันยิ่งนักที่มีคนเก่งใกล้ตัว กลับไม่รู้!
“พวกเจ้าจัดตั้งค่ายกลกันอย่างขะมักเขม้น หรือว่าคิดจะใช้มันจัดการกับข้า?”
ซูอี้เบนสายตามองไปที่เหล่าผู้ฝึกตนของวังเทพสวรรค์เมฆาที่ทำงานกันอย่างเต็มที่ตรงนั้น
“พวกข้ามิบังอาจ”
อวี้จิ่วเจินหัวเราะเจื่อน “เรียนสหายเต๋าตามตรง พวกเราซ่อมบำรุงค่ายกลเหล่านี้ ก็เพราะเกรงว่าหากสหายเต๋ากับใต้เท้าตงกัวสู้รบกัน จะทำให้วังเทพสวรรค์เมฆาพลอยได้รับความกระทบกระเทือนไปด้วยก็เท่านั้น”
ซูอี้ส่งเสียงร้องอ้อ ก่อนกล่าว “เช่นนี้ก็หมายความว่า หากครั้งนี้ข้าต้องการรับตัวแม่นางซินจ้าว จะต้องเอาชนะตงกัวเฟิงก่อนเช่นนั้นหรือ?”
อวี้จิ่วเจินลังเลสักครู่จึงตอบ “มีเรื่องที่สหายเต๋าไม่ทราบ เมื่อสองวันก่อน ใต้เท้าตงกัวเฟิงได้แสดงท่าทีออกมาชัดเจนแล้ว หากว่าซินจ้าวต้องการจะไปจากที่นี่ สามารถไปเมื่อไรก็ได้ จะไม่มีใครขัดขวางทั้งสิ้น ทว่าซินจ้าวเลือกที่จะอยู่ที่นี่เอง”
ซูอี้นิ่งตะลึง ก่อนเอ่ยถาม “เพราะเหตุใด?”
อวี้จิ่วเจินถอนใจพลางกล่าว “เด็กคนนี้รู้ว่าเพื่อนาง สหายเต๋าจึงเลือกที่จะรับคำท้า นางเลือกที่จะไปจากที่นี่ได้เช่นใดกัน?อย่างไรเสียก็เป็นเพราะห่วงสหายเต๋า”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา พลางกล่าว “ช่างเถิด เจ้าไปบอกกับตงกัวเฟิงว่า ข้าจะให้โอกาสเขาท้ารบกับข้า”
เมื่อพูดจบ เขาก็ชี้ไปที่ทะเลหมอกบนฟ้า “ข้าจะรอเขาอยู่ที่นั่น”
“นอกจากนี้ ไปบอกแม่นางซินจ้าว ให้นางเก็บข้าวของสัมภาระ หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลง ข้าจะพานางไปจากที่นี่”
ซูอี้กล่าวกำชับ
อวี้จิ่วเจิน “…“
เขาไหนเลยจะมองไม่ออกว่าซูอี้ไม่ได้มองตงกัวเฟิงอยู่ในสายตา?
ครุ่นคิดสักครู่ อวี้จิ่วเจินกล่าว “สหายเต๋าซู ใต้เท้าตงกัวเฟิงไม่ใช่คนธรรมดา ข้าคิดว่าสหายเต๋าควรจะระวังไว้สักหน่อยจะเป็นการดี”
ซูอี้กล่าว “ข้าหวังว่าเขาจะแข็งแกร่งมากพอจริง ๆ”
อวี้จิ่วเจินนิ่งตะลึง
เขาไม่ได้พูดให้มากความอีก จากนั้นจึงรีบสั่งคนข้างกายให้นำความไปแจ้ง
ซูอี้กลับย่างเท้าขึ้นกลางอากาศ ลอยตัวออกไป เพียงแค่ไม่กี่พริบตาก็อยู่ท่ามกลางทะเลหมอกใต้ท้องฟ้าแล้ว
เมื่อเห็นภาพทั้งหมดนี้แล้ว สาวน้อยในชุดสีเขียวก็แสดงสีหน้าละอายแก่ใจออกมา พลางบ่นอุบอิบ “ที่แท้ ก่อนหน้านี้พวกเรามองผิดไป…”
หนุ่มสาวเหล่านั้นต่างก็นิ่งเงียบ
ผู้ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพกับผู้อาวุโสเหล่านั้นกลับหัวเราะเจื่อนและได้แต่ส่ายหน้า ลึก ๆ ภายในใจของพวกเขายังรู้สึกโชคดี
โชคดีที่ตลอดทางที่ผ่านมานี้ไม่ได้แสดงท่าทีดูแคลนซูอี้ผู้ยิ่งใหญ่ดุจตำนานคนนี้!
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ครั้งนี้พวกเรามาได้จังหวะเวลาพอดี จะได้เห็นการต่อสู้กันระหว่างใต้เท้าซูอี้กับใต้เท้าตงกัวเฟิง นี่เป็นเรื่องที่มีเกียรติมาก!”
หนุ่มน้อยในชุดหรูหรากล่าวด้วยความตื่นเต้น
เมื่อกล่าวเช่นนี้ออกไป คนอื่น ๆ ต่างก็แสดงความตื่นเต้นด้วยเช่นกัน ในใจเกิดความหวัง เพ่งสายตามองไปที่ใต้ฟ้าแห่งนั้น
เมฆฝนปั่นป่วน ไอหมอกโหมกระหน่ำ
ภูเขาสูงใหญ่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ท่ามกลางทะเลหมอกอันไร้ขอบเขต
ซูอี้ยืนอยู่กลางอากาศ ชื่นชมแผ่นดินอันงดงามประดุจภาพวาดนี้ มือหนึ่งถือกาสุรา ดื่มด้วยความสำราญใจ
ขณะเดียวกันนี้เอง…
ณ ยอดเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียน
“นายน้อย ซูอี้มาถึงแล้วขอรับ”
ผู้เฒ่าของตระกูลตงกัวปรากฏตัวขึ้นเงียบ ๆ ก้มหน้าพูดอย่างมีมารยาท
หน้ากระท่อม
ตงกัวเฟิงลืมตาขึ้นเงียบ ๆ เก็บดาบฆ่าใจที่วางอยู่ตรงหน้ากลับเข้าสำรับดาบ หลังจากที่ลุกขึ้นแล้ว เขาก็สะพายสำรับดาบขึ้นหลัง
จากนั้นเขาก็เบนสายตามองไปที่ทะเลหมอกอันห่างไกลออกไป ก่อนกล่าวตอบรับ “ข้ารู้แล้ว”
เสียงยังคงดังวนเวียน
ท่ามกลางทะเลหมอกที่ไกลโพ้น ซูอี้ราวกับรู้สึกสัมผัสได้ถึงสายตาที่เพ่งมองมาแต่ไกล
สายตาของคนทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ
ชั่วขณะนี้ ในสายตาที่ราบเรียบราวกับน้ำในบ่อของตงกัวเฟิงส่อประกายสว่างวาววับขึ้นมา ราวกับคมดาบที่ใสสว่าง
โดยไม่ต้องใช้ความคิด เขาก็รู้ได้ว่าคนหนุ่มในชุดสีเขียวหยกที่ยืนท่ามกลางทะเลหมอกก็คือซูอี้!
ราวกับเป็นจิตใต้สำนึกของนักดาบ ตงกัวเฟิงตระหนักแล้วว่าตั้งแต่เริ่มฝึกตนจนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็ได้พบกับ ‘พวกเดียวกัน’ ที่มีฝีมือความน่ากลัวในวิถีดาบที่เหมือนกับตัวเอง!
เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกยินดีขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมานาน
“ซูอี้ ข้ารอเจ้ามานานมากแล้ว!”
ตงกัวเฟิงเอ่ยขึ้น
แต่ละคำหนักหน่วง ราวกับเสียงฟ้าผ่าที่ดังก้องไปทั่วปฐพี
ทุกคนในวังเทพสวรรค์เมฆาต่างก็หยุดงานที่ทำ
แลเห็นภาวะดาบอันคมกริบและหนักหน่วงผุดขึ้นฟ้า ทะยานสู่ชั้นเมฆราวกับสายฟ้า สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่ว
ชั่วขณะนั้น จู่ ๆ ก็มีความหนาวสะท้านหยั่งลึกถึงกระดูกผุดขึ้นมาท่ามกลางสายฝนแห่งวสันตฤดูที่คล้ายกับไอหมอก
“แกร่งมาก!”
นอกประตูสำนัก ผู้ชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพกับคนอื่น ๆ ต่างก็แสดงอาการตื่นตระหนก ราวกับมองเห็นเทพดาบอุบัติ
“พลังเช่นนี้ ไม่เสียแรงที่เป็นนักดาบสุดยอดอันดับเจ็ดในทำเนียบดารา…”
อวี้จิ่วเจินชื่นชม
ผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ข้างกายเขาเหล่านั้นแต่ละคนล้วนหรี่ตาเพิ่งมองไปบนท้องฟ้า
ท่ามกลางหมอกฝน ร่างผอมบางของตงกัวเฟิงย่างก้าวขึ้นกลางอากาศ มาอยู่บนทะเลหมอก
ทุกหนแห่งที่เขาผ่านมา อากาศราวกับเกิดเป็นรอยคลื่นน้ำ เมฆพลัดหายแยกย้าย!
ภาวะดาบอันหนักหน่วงที่ถาโถมโหมกระหน่ำในตัวเขาราวกับต้องการจะทับอากาศให้ทรุดตัว
“เพลงดาบยิ่งใหญ่ประดุจภูเขา ภาวะดาบหนักหน่วงประดุจเหล็ก เห็นได้ชัดว่าฝีมือด้านวิถีดาบของตงกัวเฟิงคนนี้ ถึงขั้น ‘จิตขยับตามภาวะ’ แล้ว”
ซูอี้ถึงกับแสดงสีหน้าตระหนกออกมา
พลังแห่งวิถีดาบ หนึ่งดูที่เพลงดาบ สองดูที่ภาวะดาบ สามดูที่หัวใจแห่งดาบ
เพลงดาบคือพลังที่ภาวะดาบแสดงออกมา เวลาที่ขับเคลื่อนพลังปราณ
เปรียบได้กับตงกัวเฟิง เมื่อปราณเคลื่อน เพลงดาบประดุจขุนเขา ถาโถมหนักแน่น ครอบคลุมไปทั่ว มีพลังสามารถสร้างความตื่นกลัวให้แก่เทพและผีได้
ภาวะดาบ คือพลังวิถีดาบที่ขัดเกลาจากความหมายลึกลับในมหาวิถีที่ตนเองช่ำชอง
ส่วนหัวใจแห่งดาบ ก็คือการแสดงออกของพลังลมปราณในตัวนักดาบ!
ยิ่งขัดเกลามันให้แข็งแกร่งเท่าใด ความช่ำชองและการควบคุมภาวะดาบกับเพลงดาบก็จะยิ่งมีความน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น
สำหรับซูอี้แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด คือหัวใจแห่งดาบโดยไม่ต้องสงสัย
เพราะอย่างไรเสีย ไม่ว่าจะเป็นเพลงดาบหรือภาวะดาบล้วนถือเป็นกลและวิธีของนักดาบ ทว่าหัวใจแห่งดาบจึงจะเป็นรากฐานว่านักดาบแกร่งหรือไม่
ตงกัวเฟิงเป็นนักดาบที่มีความแข็งแกร่งมากคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
เพลงดาบกับภาวะดาบของเขาสามารถเคลื่อนย้ายได้ตามใจ มีความเป็นธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องอวดตน ทุกกิริยาท่าทางล้วนแสดงพลังอันยิ่งใหญ่ออกมา
กลางทะเลหมอก
ขณะที่อยู่ห่างจากซูอี้สามสิบจั้ง ตงกัวเฟิงหยุดยืนนิ่ง ๆ
ขณะนั้นเอง ทั่วทั้งภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียน สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปที่ตัวของพวกเขาทั้งสองโดยพร้อมเพรียงกัน
คนหนึ่งเป็นคนหนุ่มในตำนานที่มีชื่อเสียงโด่งดังในใต้หล้าตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน ถึงแม้จะหายเงียบไปนานหลายเดือน ทว่าเมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้ง ก็ไม่มีผู้ใดบังอาจเพิกเฉยการดำรงอยู่ของเขาได้
การตายของมหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณทั้งหกเช่นฉู่อวิ๋นเคอเป็นหลักฐานที่มีน้ำหนักที่สุด!
อีกคนหนึ่งคือผู้ร้ายกาจยุคโบราณที่มีความยิ่งใหญ่ในอาณาจักรต้าเซี่ย ตอนนี้ราวกับดวงตะวันที่แผดกล้า เคยสยบคนทั้งหมดในวังเทพสวรรค์เมฆาด้วยตัวเอง และเบียดตัวเข้ามาอยู่ในอันดับเจ็บของทำเนียบดารา!
ทว่าตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งยิ่งใหญ่อย่างคนทั้งสองกำลังจะทำการต่อสู้ประลองกันกลางทะเลหมอกบนน่านฟ้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียน!
จะให้เพิกเฉยได้เช่นใด? จะให้ไม่ตั้งตารอได้เช่นใด?
“ในที่สุดศิษย์พี่ซูก็มา…”
ดวงตาใสสว่างประดุจน้ำของเหวินซินจ้าวเกิดประกายความยินดี เป็นห่วง และตื่นเต้นขึ้นมา
กลางทะเลหมอก ชายหนุ่มในชุดเขียวคนนั้นงามสง่าประดุจเซียนเดินดินเหมือนดังเคย
เซียนหานเยียนกับชิงหยาต่างก็ยืนข้างกายเหวินซินจ้าว สายตาจับจ้องดูซูอี้ ในใจของพวกนางทั้งสองก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน
“ไม่รู้เช่นกันว่า เขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของตงกัวเฟิงได้หรือไม่?” เซียนหานเยียนมีสีหน้ากังวล
ความแข็งแกร่งของตงกัวเฟิง คนใต้หล้าต่างก็เห็น!
แม้กระทั่งผู้แข็งแกร่งอย่างปราชญ์จิ้งไห่ผู้อาวุใหญ่แห่งวังเทพสวรรค์เมฆา ซึ่งเป็นบุคคลขอบเขตสยายวิญญาณก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
เช่นนี้จะให้เซียนหานเยียนไม่กังวลได้อย่างไรกัน?
“ศิษย์พี่ซูจะต้องชนะอย่างแน่นอน!”
ทว่าชิงหยากลับเชื่อมั่นมาก ดวงตาคู่นั้นลุกวาว “ต้องรู้ว่า จนถึงตอนนี้ศิษย์พี่ซูอี้ยังไม่เคยมีประวัติพ่ายแพ้มาก่อน!” ราวกับติดเชื้อมองโลกในแง่ดีของชิงหยา เหวินซินจ้าวกับเซียนหานเยียนต่างก็หัวเราะขึ้นมา
เป็นดั่งที่ว่าโดยแท้… นับแต่อดีตซูอี้ก็ไม่เคยมีประวัติพ่ายแพ้!
บนทะเลหมอก
ตงกัวเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “คนรุ่นหลังของตระกูลตงกัวนามว่าตงกัวเฟิง นักดาบขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นสมบูรณ์ คารวะสหายเต๋า”
ซูอี้พยักหน้า “ด้วยฝีมือวิถีดาบของเจ้า มีคุณสมบัติที่จะต่อสู้กับข้า และที่หาได้ยากก็คือเจ้าไม่เคยใช้ชีวิตของแม่นางซินจ้าวมาข่มขู่ข้า เอาเช่นนี้ ประเดี๋ยวสู้กัน ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา ผู้ยิ่งใหญ่อย่างอวี้จิ่วเจิดต่างก็มองหน้ากัน ซูอี้… ยังคงอหังการเหมือนดังที่เล่าขานกันมา…
มองดูใต้หล้าในตอนนี้ มีคนใดบ้างที่กล้าพูดเช่นนี้กับตงกัวเฟิง?
“ฮึ! สวรรค์ต้องการให้ตาย ก็ต้องตาย ซูอี้คนนี้ความตายมาอยู่ตรงหน้าแล้ว ยังไม่รู้ตัวเองอีก!”
ผู้แข็งแกร่งของตระกูลตงกัวที่กระจายตัวอยู่ในภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียนเหล่านั้นต่างก็พากันหัวเราะเยือกเย็น ไม่มีท่าทีปกปิดความคับแค้นใจที่มีต่อซูอี้แม้แต่น้อย
“ข้าเป็นพี่ชายของตงกัวอวิ๋น เขาตายไปแล้ว ข้าจะต้องชำระแค้นแทนเขา”
ตงกัวเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “สหายเต๋าก็ทราบดีว่า การต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่รู้แพ้รู้ชนะเท่านั้น ยังจะต้องสู้กันจนตายไปข้าง ข้ารับปากว่า การต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ว่าสุดท้ายใครเป็นฝ่ายรอดและใครเป็นฝ่ายที่ต้องตาย บุญคุณความแค้นระหว่างข้าตงกัวเฟิงกับสหายเต๋าจะจบสิ้นลงเพียงเท่านี้”
ซูอี้หัวเราะพลางกล่าว “สำหรับเจ้าแล้วเป็นการชำระความแค้นต้องตายกันไปข้าง แต่สำหรับข้า เพียงแค่เจอคู่ต่อสู้ที่เข้าตาคนหนึ่งเท่านั้น ฆ่าหรือไม่ฆ่าเจ้า ล้วนเป็นความต้องการของข้า”
ตงกัวเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ทันใดจึงกลับสู่ความสงบ
ชิ้ง!
ด้านหลังของเขา สำรับดาบส่งเสียง ฉับพลันดาบวิถีเล่มหนึ่งก็พุ่งขึ้น
ดาบมีความยาวสามศอกสองนิ้ว หนักและหนา ไร้คมดาบ
“ดาบนามว่าฆ่าใจ สหายเต๋าโปรดชี้แนะ”
เมื่อมีดาบอยู่ในมือ พลังบนตัวตงกัวเฟิงก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น เพลงดาบยิ่งใหญ่ประดุจขุนเขา ทะเลหมอกบริเวณใกล้ ๆ ต่างก็เดือดดาล กระจายตัวหายไป
“ฆ่าคนล้วงใจ?”
ซูอี้เลิกคิ้ว
ตงกัวเฟิงส่ายหน้าตอบ “ไม่ ดาบเล่มนี้ฆ่าศัตรู ยิ่งกว่านั้นฆ่ามารในใจข้า”
“ชื่อดี”
ซูอี้แสดงสีหน้าชื่นชมออกมา
นักดาบที่แท้จริง สำคัญที่สุดคือขัดเกลาภาวะจิต
จากชื่อของดาบเล่มนี้ เห็นได้ว่า วิถีดาบของตงกัวเฟิงไม่ใช่สิ่งที่นักดาบส่วนใหญ่ในโลกนี้จะเทียบเทียมได้
ขณะที่พูด ซูอี้ผายมือออกไปทำท่าเชิญ “ออกดาบได้”
ตงกัวเฟิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางกล่าว “ข้าได้ยินมาว่าสหายเต๋ามีฝีมือยอดเยี่ยมในวิถีดาบ เหตุใดจึงไม่ชักดาบเล่า?”
ซูอี้ตอบ “ก็ต้องดูว่าเจ้าเก่งพอที่จะบีบให้ข้าชักดาบได้หรือไม่”
“คน ๆ นี้ช่างบังอาจเสียจริง!”
ผู้แข็งแกร่งของตระกูลตงกัวเหล่านั้นต่างก็แสดงท่าทีไม่พอใจ กิริยาอาการของซูอี้เช่นนั้นทำให้พวกเขารู้สึกขัดลูกนัยน์ตายิ่งนัก
ผู้ยิ่งใหญ่อย่างอวี้จิ่วเจินกับคนอื่น ๆ ต่างก็ชายตามอง ไม่คาดคิดเช่นกันว่า เผชิญหน้ากับผู้ร้ายกาจที่มีความน่ากลัวอย่างตงกัวเฟิงเช่นนี้แล้ว ซูอี้ยังกล้าดูแคลนได้ถึงเพียงนี้อีก
มีแต่ตงกัวเฟิงเท่านั้นที่ยังคงมีสีหน้าราบเรียบดังเดิม ไม่มีอาการสะทกสะท้านแม้แต่น้อย
เขาไม่พูดพล่ามต่ออีก
ครืน!
ภาวะดาบคมกริบที่สั่งสมรอเวลามานานถูกปล่อยออกมาจากร่างของตงกัวเฟิง
ทะเลหมอกพันจั้งสั่นสะเทือนอย่างแรง
…จนฟ้าดินสั่นสะท้าน!