บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 682 ดอกเงินเพลิงพฤกษาเจิดจ้าเก้าชั้นสวรรค์
ตอนที่ 682: ดอกเงินเพลิงพฤกษาเจิดจ้าเก้าชั้นสวรรค์
ตู้ม!
หมู่เมฆพันจั้งสลาย แสงสวรรค์สาดลงมา
ฝนวสันตฤดูที่เคยเจือจางดั่งหมอกและควันพลันถูกแทนที่ด้วยแสงอันเจิดจ้า ฟ้าดินที่เคยอึมครึมสดใสเป็นสีสันขึ้นมาในทันใด
ทุกคนหรี่ตาลงด้วยสัญชาตญาณ
ตงกัวเฟิงที่เคยดูโปร่งและผอมบาง บัดนี้ราวกับตัวใหญ่ขึ้นมากะทันหัน ประหนึ่งเทพเทวะที่อยู่เหนือขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นเก้า
ภาวะดาบตกผลึก ถาโถมออกไปสู่ขุนเขาลำธารรัศมีพันจั้ง
ทุกคนต่างรู้สึกอึดอัดขึ้นมาจนแทบหายใจไม่ออก
นั่นคือบารมีข่มขวัญที่แท้จริง กำราบโดยไม่ต้องต่อสู้ สะท้านทั้งกายและใจ!
“นี่มันจะแข็งแกร่งเกินไปแล้ว…”
แววตาของเหวินซินจ้าววูบไหว
“ครานั้น ผู้อาวุโสของสำนักเราเป็นฝ่ายยอมแพ้เองก็เพราะเผชิญกับบารมีแกร่งกล้าไม่อาจทัดเทียมของท่านตงกัวเฟิงในการต่อสู้นี่ล่ะ…”
สายตาของอวี้จิ่วเจินฉายหลากหลายอารมณ์ ทั้งสะท้านใจ ทั้งนับถือ
ไม่ว่าผู้ใดเมื่อเผชิญกับตงกัวเฟิง ก็เหมือนเผชิญกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์จากบรรพกาลที่แข็งแกร่งจนไม่อาจสั่นคลอนด้วยพลังอันน้อยนิดของตัวเอง
“ผู้นำตระกูลเคยกล่าวว่า วันหน้า นายน้อยย่อมมีโอกาสกลายเป็นจักรพรรดิในวิถีดาบ หล่อหลอมดาบอันเป็นนิรันดร์ออกมา ซูอี้ผู้นี้เมื่อเทียบกับนายน้อย แค่รัศมีก็ด้อยกว่าหลายขุมนัก!”
บรรดาผู้แกร่งตระกูลตงกัว ล้วนมีสีหน้าภาคภูมิทระนง
ส่วนเหล่าบัณฑิตวัยกลางคนและหนุ่มสาวที่ร่วมทางมากับซูอี้ต่างยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิม ท่าทีประหนึ่งได้พบเทพเทวะในตำนาน นึกว่าฝันไป
ตูม!
ตงกัวเฟิงเคลื่อนไหว ฝีเท้าของเขาไม่เร็วไม่ช้า แต่ละก้าวที่ย่างออกไปล้วนบางเบาดุจขนนก ระยะห่างของแต่ละก้าวล้วนแม่นยำราวกับวัดมาแล้ว ไม่ต่างกันแม้แต่นิดเดียว
และคล้อยตามการก้าวเดินของเขา บารมีในตัวเปรียบดั่งภูผาที่ผุดพรวดขึ้นจากพสุธา ไต่ขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดหย่อน แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ แผ่แรงกดดันจนมวลอากาศโดยรอบเริ่มสั่นไหว
คลื่นอากาศที่ลอยวนอยู่ส่งเสียงกู่ร้องแหลมเสียดหู
ราวกับต้านแรงบารมีจากตัวตงกัวเฟิงไม่ไหว!
“เขาเพียงไม่ขยับเท่านั้น เมื่อใดที่ขยับเปรียบประดุจภูเขาศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนตัว ดุดันแกร่งกล้าเทียบเท่าปฐพี วิถีดาบของคนผู้นี้ประสานเข้ากับพลังลมปราณของตัวเอง ไม่ธรรมดาจริง ๆ”
ซูอี้พยักหน้ากับตัวเอง
ต่อให้อยู่ที่เก้ามหาดินแดน ความสามารถของตงกัวเฟิงก็สามารถต่อสู้กับศิษย์เอกในกลุ่มขุมกำลังต่าง ๆ ได้แล้ว
สิ่งนี้สร้างความประหลาดใจให้ซูอี้ไม่น้อย
เดิมที เขาไม่เคยเก็บคนอันดับเจ็ดจากทำเนียบดาราขอบเขตเดียวกันอย่างตงกัวเฟิงมาใส่ใจ ที่มาวังเทพสวรรค์เมฆาคราวนี้ก็เพื่อรับเหวินซินจ้าวไปเท่านั้น
ทว่าบัดนี้ เมื่อรู้สึกถึงความปราดเปรื่องในวิถีดาบของตงกัวเฟิงแล้ว ซูอี้พลันคันไม้คันมือขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เมื่อมาอยู่ในระดับเขา การได้พบคนที่พอเข้าตาในขอบเขตเดียวกันนั้นยากเย็นเหลือเกิน
ทุกครั้งที่ได้พบ เป็นโอกาสที่เขาอยากถนอมเอาไว้อย่างยิ่ง
ตู้ม!
ในระยะที่ห่างจากซูอี้เพียงสิบจั้งเท่านั้น
ตงกัวเฟิงฟันดาบออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
พริบตานั้น ดาบฆ่าใจเล่มหนักและไร้คมดาบนั้นพลันฉายแสงเจิดจ้าแยงตา เสียงของดาบดั่งพายุสายฟ้ากระหน่ำ ฟาดฟันลงมาพร้อมกับบารมีแกร่งกล้าเหลือแสน
อากาศโดยรอบสะเทือน ภูผาลำธารล้วนสั่นไหว
ดาบนี้สะท้านไปทั้งผืนฟ้าและปฐพี!
จิตวิญญาณทุกคนผวา รู้สึกคล้ายจะหมดลมหายใจและสติแตก
ประหนึ่งแมลงที่พานพบภูเขาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งถล่มลงตรงหน้า ประหวั่นพรั่นพรึง สิ้นหวังไม่อาจช่วยเหลือตัวเองได้
กระทั่งผู้แข็งแกร่งอย่างอวี้จิ่วเจินยังเสียวสันหลังวาบ เหงื่อเม็ดเย็นผุดพรายออกจากหน้าผาก
เขาเคยประมือกับตงกัวเฟิง ถึงแม้พ่ายแพ้ในสามกระบวนท่า แต่ก็ถือว่าเคยประจักษ์ในความเก่งกาจของตงกัวเฟิงแล้ว
ทว่า เมื่อได้เห็นดาบนี้กับตา อวี้จิ่วเจินถึงตระหนักได้เรื่องหนึ่ง…
เมื่อครั้งที่ตัวเองปะทะกับตงกัวเฟิง อีกฝ่ายออมมือให้เยอะทีเดียว!
“ดาบสะท้านฟ้าเช่นนี้ เจ้าซูอี้จะปัดป้องอย่างไร!?”
เหล่าผู้แกร่งตระกูลตงกัวล้วนมีสีหน้าคาดหวัง ราวกับได้เห็นภาพซูอี้พ่ายแพ้และถูกกำราบในหัวแล้ว
มือเรียวของเหวินซินจ้าวกำแน่น
นางเองก็เป็นนักดาบ ถูกขนานนามว่ามารดาบน้อย ซ้ำยังเคยได้รับคำชี้แนะจากซูอี้
แต่ลองถามตัวเองจริง ๆ หากเป็นนางที่เผชิญกับดาบนี้ของตงกัวเฟิง นางก็ไม่มีหวังที่จะชนะเลย…
ท่ามกลางหมู่เมฆ
คล้อยตามการฟาดฟันของดาบตงกัวเฟิง ชุดคลุมสีเขียวของซูอี้ส่งเสียงดังเปรี๊ยะปร๊ะ ผมยาวปลิวสยาย นัยน์ตาลึกล้ำเป็นประกายขึ้นมาเงียบเชียบ
น่าสนใจ!
ร่างของเขายืนนิ่งไม่ไหวติง มีเพียงมือขวาที่ยื่นออกไป นิ้วเรียวขาวผ่องกวาดออกไปกลางอากาศ
ประหนึ่งพุทธองค์คีบดอกไม้ ราวกับเทพเซียนบรรเลงพิณ
ไม่เจือกลิ่นอายฆราวาสเลยสักนิด
ทว่ากลับมีปราณดาบสีใสพวยพุ่งออกมา วูบไหวอยู่กลางอากาศ
แคร็ก!!
เสียงดังสนั่นแสบแก้วหูระเบิดกลางนภา เล่นเอาทุกคนหูอื้อ เห็นดาวเต็มไปหมด
และได้เห็นปราณดาบแกร่งกล้าสะท้านฟ้าดินของตงกัวเฟิงขาดออกจากกันตรงที่ห่างจากซูอี้ราวสามฉื่อ
พริบตานั้น ประดุจเสาค้ำฟ้าหักเป็นสองท่อน ดันให้อากาศว่างเปล่ารอบ ๆ ถล่มลงมาฉับพลัน ก่อให้เกิดคลื่นอันดุดันอานุภาพทำลายล้างกระหน่ำออกไป
หมู่เมฆมหาศาลที่เกิดขึ้นพังทลายอย่างสิ้นเชิง
แสงสวรรค์เจิดจ้าสะท้อนกับชุดคลุมสีเขียวหยกของซูอี้ ส่งผลให้ร่างของเขาเปล่งแสงเจิดจรัสจนไม่อาจทนมองได้ไหว
ทั้งหมดสะท้าน
“นี่มัน…”
ความตื่นเต้นดีใจบนใบหน้าของเหล่าผู้แข็งแกร่งแห่งตระกูลตงกัวแข็งทื่อเสียอย่างนั้น
คนใหญ่คนโตอย่างอวี้จิ่วเจินตาโตอ้าปากค้างกันหมด
พวกเขาย่อมรู้ดีว่าซูอี้ไม่ใช่พวกดาด ๆ ความแข็งแกร่งของเขาเลื่องลือไปทั่วสิบสามแคว้นแห่งต้าเซี่ย สร้างความแตกตื่นไม่รู้เท่าไร
ทว่าให้ตายอย่างไรพวกเขาก็คิดไม่ถึงเลยว่า ดาบระดับนั้นของตงกัวเฟิงจะโดนซูอี้สลายได้อย่างง่ายดาย!
เหวินซินจ้าว เซียนหานเยียน และชิงหยาต่างตาลุกวาว
การโจมตีง่าย ๆ เพียงหนึ่งครั้งก็ทำให้พวกนางตระหนักได้ว่า ซูอี้ที่หายไปนานหลายเดือนไม่ใช่คนเดิมในอดีตอีกต่อไป!
บนหมู่เมฆ ตงกัวเฟิงยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่แปลกใจเลย มีเพียงสายตาที่คมกล้าหนักแน่นยิ่งขึ้น พลังรอบกายดุดันแกร่งกล้ายิ่งขึ้น
“สหายเต๋าซูฝีมือดียิ่ง!”
เขาถอนหายใจเบา ๆ “น่าเสียดาย วันนี้ข้าจำต้องฆ่าสหายเต๋า มิฉะนั้นแล้ว ข้าก็อยากจะดื่มสุราร่วมสนทนาวิถีดาบกับสหายเต๋าจริง ๆ”
ซูอี้เอ่ยราบเรียบ “ไม่ต้องถึงขั้นดื่มสุราร่วมสนทนาหรอก ฉวยโอกาสตอนนี้ เจ้าจงแสดงฝีมือทั้งหมดออกมาก็พอ ไม่เช่นนั้น แค่พลังจากดาบนี้ไม่เพียงพอให้ข้าชักดาบหรอกนะ”
“ได้”
ตงกัวเฟิงพยักหน้า
พลังลมปราณจากตัวเขาพลันส่งเสียงกู่ร้องดังอื้ออึง ราวกับทวีคูณขึ้นหลายเท่าในพริบตาเดียว พลังแกร่งกล้าในทีแรกเปลี่ยนแปลงไป
ให้ความรู้สึกเหมือนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สูงพันจั้ง สกัดออกมาจนกลายเป็นดาบเทพยาวจั้งกว่า
แค่แสงของคมดาบนั้น ก็เพียงพอจะฉีกผืนฟ้าออกจากกัน!
และในมือของเขา ดาบฆ่าใจเปล่งพลานุภาพซึ่งไม่อาจต้านทานออกมาฉับพลัน เจิดจรัสดุจดวงตะวัน ส่องสว่างสะท้อนสรรพสิ่ง!
ทุกคนฮือฮากันหมด เสียงอึกทึกครึกโครมจากฝูงชนดังไปทั่ว
“นี่ต่างหาก พลังวิถีดาบที่แท้จริงของนายน้อย!”
“ซูอี้ผู้นี้ทำให้นายน้อยต้องแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา นับว่าเก่งกาจไม่เบา”
เหล่าผู้แข็งแกร่งตระกูลตงกัวต่างพากันอุทานออกมาอย่างสะท้อนใจ
“นี่ต่างหากคือพลังวิถีดาบที่แท้จริงของตงกัวเฟิงอย่างนั้นหรือ?”
พวกอวี้จิ่วเจินสะดุ้งกันหมด
พวกเขาต่างจำได้ดีว่าเมื่อครั้งตงกัวเฟิงบีบให้ปราชญ์จิ้งไห่ให้ต้องยอมแพ้ หาได้ใช้พลังระดับนี้ไม่…
และในตอนนั้น ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ในที่นี้เจ็บตา ใจสั่นกันหมด ไม่อาจทอดมองตงกัวเฟิงที่อยู่ใต้นภาได้อีกต่อไป
คนของเขาเจิดจ้าแยงตา จิตสังหารพลุ่งพล่านอยู่ในปฐพี น่ากลัวยิ่งนัก!
“ไม่เลว ไม่เลว เส้นทางแห่งวิถีดาบเปรียบดั่งวงจรของสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ชะล้างความฟู่ฟ่าท่ามกลางความเจิดจรัส แม้ว่ากลับคืนสู่ความเรียบง่าย ก็ยังส่องแสงเปล่งประกายได้”
ซูอี้สะท้อนใจ “ข้าคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าในโลกนี้ จะได้พบนักดาบที่มองทะลุสิ่งจอมปลอม รู้แจ้งถึงความลึกล้ำเช่นเจ้า หากให้โอกาสเจ้า ไม่เกินร้อยปี โลกนี้ย่อมมีผู้ที่มีเส้นทางวิถีดาบขอบเขตจักรพรรดิของตัวเองเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน”
เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าตงกัวเฟิงบำเพ็ญวิถีดาบมาถึงขั้นนี้แล้ว
วาจานี้เสมือนผู้ใหญ่ให้ความเห็นผู้น้อย
ส่งผลให้บรรดาผู้แข็งแกร่งแห่งตระกูลตงกัวไม่พอใจอย่างยิ่ง คนหนุ่มผู้หนึ่งบังอาจออกคำโตลงความเห็นให้ผู้นำรุ่นเยาว์ของตระกูลตงกัว ช่างน่าขันเสียนี่กระไร
ทว่าตงกัวเฟิงกลับหรี่ตาลง สีหน้าขึงขังจริงจังยิ่งขึ้น “สหายเต๋าตาดีจริง!”
ความตระหนักรู้ในวิถีดาบของซูอี้ทำเอาเขาทึ่งเช่นกัน
โดยเฉพาะประโยคที่ว่ามองทะลุสิ่งจอมปลอม รู้แจ้งถึงความลึกล้ำ ส่งผลให้ตงกัวเฟิงอึดอัดขึ้นมานิดหน่อย รู้สึกเหมือนโดนมองทะลุปรุโปร่งไปถึงภายใน
ทว่า จิตใจของตงกัวเฟิงแข็งแกร่งยิ่ง
เพียงชั่วพริบตาเดียว เขาก็ตั้งสติและกลับมาสุขุมอีกครั้ง “แต่ไม่รู้ว่าฝีมือวิถีดาบระดับนี้ของข้า คุ้มต่อการชักดาบของสหายเต๋าหรือไม่?”
ซูอี้ยิ้ม “ยังขาดตกไปนิดหน่อย”
ฝูงชน “…”
พลังบารมีของตงกัวเฟิงในตอนนี้สะท้านไปทั่วปฐพี เจิดจ้าดุดันปานใด แค่มองไกล ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีคมดาบจ่อคออยู่ จนเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเสียเฉย ๆ
แต่ซูอี้กลับคิดว่ายังไม่พอ จึงไม่ยอมชักดาบออกจากฝัก ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
บรรดาผู้แข็งแกร่งแห่งตระกูลตงกัวโมโหจนแทบหัวเราะออกมา
“เอาเถิด ข้าไม่ต้องการเอาชนะในเรื่องนี้ หลังจากนี้ ข้าย่อมสู้ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี จบหนี้แค้นในครานี้ เพื่อให้วิญญาณของน้องชายข้าได้ไปสู่สุคติ”
ตงกัวเฟิงส่ายหัว
ซูอี้ชักดาบหรือไม่ ไม่อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจเขาอีกต่อไป
เขาในนาทีนี้แน่วแน่เด็ดเดี่ยวเช่นเดียวกับดาบ ประสงค์เพียงสังหาร!
เคร้ง!
เสียงดาบดังสนั่นไปทั่วฟ้า ตงกัวเฟิงเหาะเหินเดินอากาศ บุกเข้ามาพร้อมดาบ
เขาเปรียบดั่งพระอาทิตย์ ผงาดอยู่บนนภา สาดแสงออกไปทั่วสารทิศ
ส่วนดาบเล่มนี้ มาพร้อมกับภาวะดาบคมกล้าเหลือหลาย ฟาดฟันเข้ามากลางอากาศ
ฟึ่บ!
ชั่วพริบตานั้น แสงดาบนับพันหมื่นส่องสว่างอยู่กลางนภา เจิดจ้าประหนึ่งดอกเงินเพลิงพฤกษา
ทุกประกายดาบล้วนแฝงไว้ด้วยความดุดันอันไม่อาจทำลาย บนท้องฟ้าผืนนั้น มีรอยร้าวยาวพาดผ่านไปมา
จนทุกคนแทบเกิดความสงสัยว่าภายใต้ดาบนี้ ดินแดนผืนนี้อาจถูกแยกออกเป็นรอยร้าวนับไม่ถ้วน!
ความคมกริบของมันช่างน่าสะพรึง
ดาบนี้เรียกว่า ‘ดอกเงินเพลิงพฤกษาเจิดจ้าเก้าชั้นสวรรค์’!
เมื่อเผชิญกับดาบนี้…
ซูอี้ลอบโคจรพลังปราณในตัว ความกระหายรบที่นิ่งสงบอยู่ในใจมาเนิ่นนานลุกโชนประหนึ่งได้พบกับกองเพลิงช่วงโชติ
วิถีดาบระดับนี้ คุ้มค่าให้เขาใช้พลังที่แท้จริง
แขนเสื้อของเขาพลิ้วไหว หน้าตาเปี่ยมด้วยความจองหองผยอง
ห้านิ้วขวาแผ่ออก ตบอากาศเบื้องหน้าที่ห่างออกไปสามฉื่อเช่นเดียวกับท่านเซียนตบโต๊ะ
ตู้ม!
ท้องฟ้าทั้งสิบทิศพลันถล่มลงมา
แสงดาบเจิดจรัสประดุจดอกเงินเพลิงพฤกษานั้นราวกับโดนลมฝนฟ้าคะนองเข้าโถมทับ หม่นหมองสั่นไหว และค่อย ๆ ทลายออกจากกันในชั่วพริบตา
ราวกับดอกไม้ไฟที่ผ่านช่วงเจิดจ้าไปแล้ว ค่อย ๆ ปลิดปลิวลงจากท้องฟ้าอย่างหมองหม่น
และคล้ายกับสายลมบูรพาที่ปัดเป่าดวงดาราจนร่วงหล่นลงมาดุจสายฝน!
ดาบสะท้านโลกาสุดคมกล้าของตงกัวเฟิง สลายหายไปทั้งอย่างนั้น
ท้องฟ้าปั่นป่วน พายุโหมกระหน่ำ
หลังจากได้เห็นภาพอันเจิดจรัสที่หม่นหมองลงไปแล้ว ทุกคนในภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียนนิ่งค้างไปประหนึ่งรูปปั้น
ต่างสะท้านใจและสติหลุดลอย!