บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 683 สายเลือดที่แท้จริงของปีศาจสวรรค์
ตอนที่ 683: สายเลือดที่แท้จริงของปีศาจสวรรค์
ทุกคนสติหลุดลอย
การโจมตีนี้ของซูอี้คล้ายกับเทพเซียนตบโต๊ะ สะเทือนแสงดาบจนกระจายหลุดร่วงดั่งดารา!
สง่าและง่ายดายถึงเพียงนั้น
แล้วยังรุนแรงถึงเพียงนั้น!
“หมอนี่…”
บรรดาผู้แข็งแกร่งแห่งตระกูลตงกัวต่างจ้องมองตาค้าง พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
ความเข้าใจที่พวกเขามีต่อซูอี้ยังหยุดนิ่งอยู่เมื่อหลายเดือนก่อน
เวลานั้น ซูอี้เลื่องชื่อไปทั่วต้าเซี่ย จนถูกขนานนามว่าเป็นตำนานแห่งยุค
ทว่าเขาในตอนนั้น ท้ายสุดก็อยู่แค่ขอบเขตรวบรวมดาราบนเส้นทางวิถีต้นกำเนิด
เมื่ออยู่ใต้หล้าผืนนี้ ไม่มีสิทธิ์มีชื่อในทำเนียบดาราด้วยซ้ำ
แม้กระทั่งสองวันก่อน ซูอี้เคยปลิดชีพฉู่อวิ๋นเคอ ผู้แข็งแกร่งอันดับเจ็ดสิบเก้าแห่งทำเนียบดารา ก็ไม่อาจทำให้ผู้แข็งแกร่งแห่งตระกูลตงกัวสนใจเขานัก
เพราะว่าตงกัวเฟิงนั้นติดอันดับเจ็ดบนทำเนียบดารา!
ผู้ใดติดสิบอันดับแรก ล้วนเป็นผู้ร้ายกาจสะท้านโลกาแห่งยุคนี้!
ทว่าบัดนี้ คล้อยตามการต่อสู้ที่ดำเนินไปเรื่อย ๆ ผู้แข็งแกร่งแห่งตระกูลตงกัวเหล่านี้ถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตนเคยเข้าใจนั้นผิดพลาดมหันต์
ซูอี้ในเวลานี้ แข็งแกร่งพอจะต่อกรกับตงกัวเฟิงที่ใช้พลังทั้งหมดแล้ว!!
ไม่เพียงแต่ผู้แข็งแกร่งแห่งตระกูลตงกัวเท่านั้น
ชั่วเวลา ณ ขณะนี้ คนใหญ่คนโตอย่างพวกอวี้จิ่วเจินและคนอื่น ๆ ในที่นี้ก็สัมผัสถึงความแกร่งของซูอี้ด้วยความสะท้าน
จากกันไปหลายเดือน ตำนานในวันวานยังอยู่ ทว่าความเกรียงไกรของมันไม่อาจนำไปเทียบกับอดีตได้อีกแล้ว!
ใต้นภา
ตงกัวเฟิงหรี่ตาลงเล็กน้อย
สีหน้าของเขาดูกลัดกลุ้มอย่างหาดูได้ยาก
คู่ต่อสู้เช่นนี้ส่งผลให้เขารู้สึกถูกท้าทายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!
เคร้ง!
ดาบฆ่าใจแผ่ซ่านจิตสังหารสะท้านฟ้าออกไป ส่องแสงเจิดจ้าไปทั้งแปดทิศ
ตงกัวเฟิงลงมืออีกครั้ง
ซ่า!
บนท้องฟ้า ปราณดาบเจิดจ้าวาดผ่านนภา ประกายดาราเจิดจรัสเรียงตัวเป็นสะพาน พาดผ่านผืนฟ้า แสงสีเงินสาดส่องลงมามากมายนับไม่ถ้วน
ปราณดาบไร้เทียมทานกระหน่ำออกไป ประหนึ่งลวดเหล็กที่พุ่งออกจากสะพานดาว หมายจะปิดผนึกพื้นที่โดยรอบที่ซูอี้อยู่ และสังหารตัวเขาในนั้นให้สิ้น
ดาบนี้ไม่ได้เจิดจรัสดั่งดอกเงินเพลิงพฤกษา ทว่าเหนือกว่าที่ความอึมครึมยิ่งใหญ่ ไม่อาจหยุดยั้ง!
ดาบนี้ ชื่อว่า ‘ลวดเหล็กสะพานดาวผนึกสิบทิศ’!
“เยี่ยม!”
ซูอี้ชื่นชม ก่อนจะทะยานตัวขึ้น
ร่างสูงโปร่งของเขายืดออก ลมปราณขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณแผ่กระจายออกไปอย่างดุดัน ชายเสื้อพลิ้วไสว พลังทั่วร่างแกร่งกล้าขึ้น
ชิ้ง!
เขากรีดนิ้วเป็นดาบ มีมวลแสงวูบไหวอยู่ที่ปลายนิ้ว แสงสีใสลอยคลุ้ง
เขาฟาดฟันออกไปกลางอากาศ ตัดลงไปบนปราณดาบที่เปรียบดั่งลวดเหล็กสะพานดาว
อึดใจนั้น ราวกับมีดที่ตัดเต้าหู้
จุดกึ่งกลางของสะพานดาวหักออกจากกัน
จากนั้น ลวดเหล็กที่พุ่งออกจากสะพานดาวประหนึ่งไม้ไร้ราก สูญเสียจุดกำเนิดพลังทั้งปวง พลันหมดแรงร่วงหล่นราวกับอสรพิษชีวาวาย ทลายออกจากกันในบัดดล
อากาศว่างเปล่าสะเทือน
ในสายตาของทุกคน มันเปรียบดั่งสะพานเซียนที่พาดผ่านท้องฟ้าถล่มลงมาฉับพลัน หมอกควันแผ่ปกคลุมทั่วฟ้า แสงศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่าน
ทุกคนตาโตอ้าปากค้างกันหมด
ความแข็งแกร่งของซูอี้สะท้านความตระหนักรู้ของพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า!
“เขามีความสามารถในการสังเกตการณ์น่ากลัวเหลือเกิน มองปราดเดียวก็เห็นจุดที่อ่อนแอที่สุดของดาบนี้!”
ม่านตาของตงกัวเฟิงหดลง
การโจมตีนี้ของซูอี้ไม่นับว่าแข็งแกร่งเท่าใด ทว่าเลิศล้ำถึงขีดสุด จังหวะและน้ำหนักที่ลงมือเหมาะเจาะประหนึ่งจับวาง!
สิ่งนี้ทำเอาตงกัวเฟิงจิตใจหวั่นไหวขึ้นมา
หากใช้กระบวนท่าดาบย่อมมีจุดอ่อน ต่อให้แกร่งกล้าดุจจักรพรรดิดาบก็เช่นกัน
เพียงแต่คนทั่ว ๆ ไปไม่สังเกตถึงการมีอยู่ของจุดอ่อน
หรือต่อให้สังเกตเห็น ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้น ไม่อาจไขว่คว้าได้ทัน
แต่ซูอี้กลับดูเหมือนรับรู้ได้ก่อนจะมองเห็นเสียอีก พริบตาที่ดาบของเขาร่ายรำเป็นกระบวนท่า ก็เหมือนคาดการณ์แล้วว่าระหว่างการผกผันของกระบวนท่าดาบนี้ จะเกิดจุดอ่อนขึ้นวูบหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ อีกฝ่ายจึงทลายได้ในดาบเดียวอย่างสบาย ๆ
เรียกได้ว่าพยากรณ์กระบวนท่าของศัตรู แล้วจึงจู่โจมเข้าจุดอ่อน!
ต้องมีพลังวิถีดาบและสายตาแหลมคมปานใดกัน ถึงจะทำได้เท่านี้?
ตงกัวเฟิงหาได้คิดต่อ
เขาอยู่ในการต่อสู้ น้อยนักที่สภาพจิตใจจะถูกรบกวนด้วยความคิดฟุ้งซ่าน
ยิ่งซูอี้แข็งแกร่งเท่าใด กลับยิ่งกระตุ้นความต้องการรบของเขาให้ลุกโชนยิ่งขึ้นเท่านั้น
ตงกัวเฟิงฟันดาบออกไปอีกครั้ง ร่างผอมบางนั้นราวกับภูเขาศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนไหว ดาบฆ่าใจในมือเปล่งแสงเจิดจ้าสะท้านโลกา ก่อนจะฟาดฟันออกไป
เปรี้ยง!
ใต้ผืนนภา ภาวะดาบดั่งคลื่น กระเทือนจนมิติแห่งนี้สะเทือนหวั่นไหว มวลเมฆบนนภาทลายออกไป
ซูอี้ไม่ได้หลบหลีก แต่กลับสะบัดแขนเสื้อ เข้าห้ำหั่นกับมัน
เพียงไม่กี่อึดใจ ทั้งคู่ก็ประมือไปแล้วนับร้อยหน เข่นฆ่ากันจนนภาผืนวินาศ ปราณดาบดุดันหลั่งไหลกระจายออกไปจนขุนเขาลำธารพากันสั่นไหว สรรพสิ่งหมองหม่น
การต่อสู้สะท้านโลกาเช่นนี้ ต่อให้เป็นที่อาณาจักรต้าเซี่ยก็หาดูได้ยากยิ่ง และส่งผลให้ฝูงชนต่างวิงเวียนและอึ้งงัน
ความแข็งแกร่งของตงกัวเฟิงนั้นไม่จำเป็นต้องคลางแคลงแต่อย่างใด
เขาที่ลงมือด้วยกำลังทั้งหมดที่มีประหนึ่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่บีบอัดลงมาจากสวรรค์ ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ทั้งรุกและรับ
ส่วนวิถีดาบของเขาเจิดจรัสและดุดันยิ่ง เสมือนแสงศักดิ์สิทธิ์ที่สาดกระจายลงมาซึ่งกำลังว่ายวนร่ายรำ
ทุกกระบวนท่าล้วนสะเทือนปฐพี ทุกดาบล้วนแฝงไว้ด้วยพลังเข่นฆ่า!
ผู้ใดได้พานพบคู่ต่อสู้ระดับนี้ สิ่งที่ต้องเผชิญคือภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน ไม่อาจทำให้สั่นคลอน
ทว่าต่างต้องรู้สึกอึดอัด ต่ำต้อย หายใจลำบาก
ความแข็งแกร่งนั้น เกรียงไกรระดับที่อาจปราชัยได้โดยไม่ต้องต่อสู้!
และแสดงให้เห็นอย่างหมดจดว่าผู้ร้ายกาจอันดับเจ็ดแห่งทำเนียบดาราผู้นี้สมฉายาจริง ๆ!
ทว่าคล้อยตามการต่อสู้ที่ดำเนินต่อไป ผู้คนกลับค้นพบด้วยความตะลึงว่าเทียบกับตงกัวเฟิงแล้ว ความเก่งกาจที่ซูอี้แสดงให้เห็นในตอนนี้น่าทึ่งและน่าเหลือเชื่อยิ่งกว่า!
ตั้งแต่แรกจนจบ เขาใช้เพียงมือเปล่า ท่าทางสง่างดงาม ประหนึ่งเทพเซียนที่ไม่อยู่ใต้กฎเกณฑ์ ทุกกระบวนท่าแฝงไว้ด้วยพลานุภาพ
ระหว่างการต่อสู้ ต่อให้ตงกัวเฟิงใช้กระบวนท่าพิฆาตเพียงใด ก็มักจะถูกซูอี้ทลายได้อย่างง่ายดายทุกครั้งไป
ความเกรียงไกรปานนี้ ผู้ใดเล่าจะไม่ตะลึง?
กระทั่งผู้แข็งแกร่งแห่งตระกูลตงกัวที่เป็นปรปักษ์กับซูอี้ยังต้องยอมรับเลยว่า หนนี้นายน้อยของพวกเขาได้เผชิญกับศัตรูที่ร้ายกาจทีเดียว!
“ศึกนี้ ไม่ว่าสุดท้ายแล้วผู้ใดแพ้ผู้ใดชนะ ล้วนมีชื่อจารึกในประวัติศาสตร์ ได้เป็นหนึ่งในสุดยอดการต่อสู้ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ!”
อวี้จิ่วเจินอุทานกับตัวเอง
อึดใจนี้ เขาพลันพบว่าตัวเองแก่แล้ว
เมื่อได้ดูการประลองสะท้านโลกเช่นนี้ เขาหาได้จิตใจเต็มตื้นเลือดร้อนพลุ่งพล่านไม่ ไร้ซึ่งความรู้สึกใฝ่ฝันถึง ทว่ากลับเกิดความรู้สึกเศร้าหมองและโดดเดี่ยว
หวนนึกถึงอดีต อวี้จิ่วเจินผู้นี้เป็นถึงประมุขแห่งวังเทพสวรรค์เมฆา มหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณที่ผู้ฝึกตนในใต้หล้าเคารพนับถือ ประดุจตำนาน ผู้คนในใต้หล้ามีโอกาสพบเห็นเขาน้อยครั้งนัก
ทว่าบัดนี้…
คนยิ่งใหญ่รุ่นใหญ่อย่างเขาตกต่ำถึงขนาดที่จำต้องแหงนมองมหาปราชญ์สวรรค์วิถีวิญญาณหนุ่มในยุคนี้เสียแล้ว
ช่างเป็นความรู้สึกผกผันที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว!
นี่คือความจริงอันโหดร้ายที่คนแก่คนเฒ่าในโลกนี้ล้วนต้องยอมรับ…
หลังจากนี้ ใต้หล้าผืนนี้ย่อมมีผู้ยิ่งใหญ่ปรากฏตัวขึ้นมานับไม่ถ้วน ชักนำกระแสการหมุนเวียนแห่งโลกใบนี้
ส่วนบรรดาคนแก่คนเฒ่าล้วนถูกกำหนดให้ก้าวสู่ฉากจบท่ามกลางความหม่นหมอง…
ผู้ที่เกิดความคิดเช่นนี้ ไม่ได้มีเพียงอวี้จิ่วเจิน
สำหรับเหล่าผู้ฝึกคนรุ่นเยาว์ในที่นี้ การได้มองดูศึกนี้บางทีอาจทำให้พวกเขารู้สึกละอาย แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้พวกเขาเลือดร้อนพลุ่งพล่าน!
แสงสว่างแห่งโลกกว้างกำลังจะมาถึงแล้ว วิถีของพวกเขาทุกคนล้วนมีโอกาสก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด!
“ความเลิศล้ำของพลังสหายเต๋า ข้าตงกัวเฟิงไม่เคยพบผู้ใดทัดเทียมเลยในชีวิตนี้”
ใต้ท้องนภา ตงกัวเฟิงเอ่ยเสียงเข้มขึ้นมาฉับพลัน
เขาถือดาบมือหนึ่ง สายตาจ้องมองซูอี้จากระยะไกล สีหน้าหนักอึ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เสียงของเขาฉายแววเด็ดเดี่ยว
“หลังจากนี้ ข้าจะสู้โดยเอาชีวิตเข้าแลก! ใช้ทุกวิถีทางเพื่อฆ่าสหายเต๋า!” โนเวล-พีดีเอฟ
ทุกคำที่เอื้อนเอ่ยประหนึ่งสายฟ้าฟาด สะท้านอยู่ท่ามกลางขุนเขาลำธาร
ทุกคนในที่นี้มีสีหน้าเปลี่ยนกันหมด รู้ตัวว่าตงกัวเฟิงสู้อยู่นานยังปราชัยไม่ได้ จนเขาพร้อมเอาชีวิตเข้าแลกแล้ว!
และนี่เป็นการบ่งบอกว่าอย่างน้อยในการต่อสู้ห้ำหั่นก่อนหน้านี้ ต่อให้ตงกัวเฟิงใช้กำลังทั้งหมดที่มี ก็ไม่อาจทำร้ายซูอี้ได้!
เมื่อตระหนักถึงข้อนี้ เหล่าผู้แข็งแกร่งแห่งตระกูลตงกัวต่างวิตกขึ้นมา จนไม่อาจคงท่าทีสบายดังเก่า นอกจากจะมีสีหน้าอึ้งงันแล้ว ยังเจือแววกังวลด้วย
ก่อนศึกนี้ปะทุ ผู้ใดเล่าจะคิด การดำรงอยู่ระดับตงกัวเฟิงจะเอาชนะซูอี้ไม่ได้สักที
ที่น่าหวั่นใจที่สุดคือ จวบจนบัดนี้ ตงกัวเฟิงยังไม่อาจบีบบังคับให้ซูอี้ใช้ดาบคู่กายเลย…
สถานที่นั้นฮือฮากันหมดด้วยความตะลึงระคนสงสัย
มีเพียงเหวินซินจ้าว เซียนหานเยียน และชิงหยาที่เบาใจลงไม่น้อย หน้าตาเปี่ยมด้วยความฮึกเหิมปีติ
ซูอี้ยิ้ม “รีบลงมือเถิด”
ตงกัวเฟิงพยักหน้าเบา ๆ
ตู้ม!
ฉับพลันนั้น มีแสงทิพย์สีดำพุ่งทะยานขึ้นไปสู่นภา จากนั้นกระจายตัวออกไป
พริบตานั้น ราวกับรัตติกาลมาเยือน ส่งผลให้ปฐพีแห่งนี้ถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึม
แคร๊ก! แคร๊ก!
เสียงกระดูกขัดถูดังออกจากร่างกายของตงกัวเฟิง ร่างที่เคยผอมบาง เวลานี้ขยายใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว กลายเป็นล่ำสันกำยำ นัยน์ตาคู่นั้นเปล่งแสงสีทองเย็นเยียบชั่วร้าย
จิตสังหารดุดันน่ากลัวพลันแผ่ออกมาจากตัวตงกัวเฟิง จนชั้นบรรยากาศกู่ร้องสั่นสะเทือน
“นี่มัน…”
เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นรอบบริเวณ ไม่รู้ว่าคนเท่าใดอุทานด้วยความตื่นตระหนก และรู้สึกหวาดกลัวอันตรายถึงชีวิต
ตงกัวเฟิงในตอนนี้รูปร่างองอาจดุจภูผา ราวกับเทพปีศาจที่ก้าวเดินออกจากรัตติกาลมืดมิด บารมีที่แผ่ซ่านออกมาเปลี่ยนกลางวันเป็นกลางคืนได้ ทำให้ท้องฟ้าผืนนี้ทมิฬตลอดกาล!
เทียบกับก่อนหน้านี้ เขาแข็งแกร่งขึ้นไม่รู้กี่เท่า!
“นายน้อยเขา… ใช้ ‘สายเลือดที่แท้จริงของปีศาจสวรรค์’ ที่ติดตัวมาแต่กำเนิดเลยหรือ…”
บรรดาผู้แข็งแกร่งแห่งตระกูลตงกัวล้วนมีแสดงอารมณ์ที่หลากหลายผ่านสีหน้าของแต่ละคน
ตระกูลตงกัวถือเป็นตระกูลโบราณในวิถีจักรพรรดิ ซ้ำยังเป็นทายาทของปีศาจสวรรค์ ‘เทพมารอิงเจา’!
เทพมารอิงเจา ปีศาจสวรรค์สุดโหดเหี้ยม การดำรงอยู่ที่ทัดเทียมกับสัตว์วิญญาณที่แท้จริง เรียกกันว่าปฐมญาณสวรรค์
และในตัวตงกัวเฟิง ก็มี ‘สายเลือดที่แท้จริงของปีศาจสวรรค์’ ซึ่งติดตัวมาแต่กำเนิด!
พรสวรรค์ระดับนี้ ครอบครอง ‘พลังแห่งรัตติกาล’ โดยสายเลือด ไร้ผู้ใดทัดเทียม
“สายเลือดที่แท้จริงของเทพมารอิงเจา…”
เมื่อได้เห็นภาพนี้ ซูอี้ก็เลิกคิ้วขึ้นโดยไม่รู้ตัว “มิน่าเล่า พลังแห่งรัตติกาลเรียกได้ว่าเป็นแก่นแท้ชั้นยอด กระทั่งในเก้ามหาดินแดนก็พบได้ยาก”
เขาย่อมรู้ดีกว่าปีศาจสวรรค์อย่างอิงเจาแข็งแกร่งปานใด
เพียงพอจะเทียบเทียมกับสัตว์วิญญาณสุดโหดเหี้ยมอย่างมังกรคบเพลิง อสรพิษวิหค เซี่ยจื้อ และอื่น ๆ
ทว่า ท้ายที่สุดแล้วตงกัวเฟิงก็ไม่ใช่สายเลือดบริสุทธิ์ของอิงเจา ทว่ามีสายเลือดเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น จึงถือว่าเป็นทายาทสายสาขาของอิงเจาเท่านั้น
ไม่เช่นนั้น หากเป็นเลือดบริสุทธิ์ของอิงเจา หนนี้ซูอี้จะไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายไปแน่!
เพราะปีศาจสวรรค์สุดโหดเหี้ยมเช่นนี้ ทั้งเนื้อทั้งตัวนับเป็นสมบัติล้ำค่า…
เคร้ง!
ขณะที่ซูอี้กำลังใช้ความคิด เสียงดาบพลันกู่ร้องดังสะท้านพิภพ
และก็เห็นตงกัวเฟิงเหาะเหินเดินอากาศ ร่ายดาบบุกเข้ามา
รัตติกาลเปรียบดั่งฉากกั้นที่ระบายลงในชั้นบรรยากาศ บดบังแสงสวรรค์ทั้งปวง
ชั่วขณะนั้น ทั้งปฐพีนี้ตกอยู่ในความมืดมิด!