บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 684 ตัดสินผลแพ้ชนะในสามกระบวนท่
ตอนที่ 684: ตัดสินผลแพ้ชนะในสามกระบวนท่า
ฟ้าดินผืนนี้ราวกับตกอยู่ในห้วงรัตติกาลชั่วนิรันดร์
สายตาของผู้คนได้รับผลกระทบ
ผู้ที่พลังอ่อนแอแทบจะกลายเป็นคนตาบอด ตกอยู่ในความผวา
กระทั่งผู้คนที่มีพลังกล้าแกร่งก็ทำได้เพียงจับสัมผัสต่าง ๆ ด้วยจิตสัมผัส ก่อนจะค้นพบด้วยความตะลึงว่าม่านฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยรัตติกาลแทบจะตกอยู่ในการจองจำ เข้าสู่บรรยากาศเงียบเชียบชวนพิศวง
น่ากลัวเหลือเกิน!
สีหน้าฝูงชนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อรัตติกาลกลายเป็นหนึ่งในพลังที่ผู้ฝึกตนควบคุมได้ พื้นที่ที่ถูกปกคลุมนั้นย่อมถูกผู้ฝึกตนจองจำคุมขัง!
และใต้นภาผืนนี้
คล้อยตามการบุกทะลวงเข้ามาของตงกัวเฟิงผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ขึ้นและกำลังถือดาบ รัตติกาลจึงโถมทับเข้ามาปกคลุม
กลืนกินมิติ พรากแสงสว่างออกไป สะกดพลังทุกชนิดไว้!
ส่วนดาบฆ่าใจในมือตงกัวเฟิง มีเงาจำลองปีศาจสุดสยองขึ้นมาราง ๆ
ร่างม้า ใบหน้ามนุษย์ ลวดลายพยัคฆ์ ปีกวิหค!
เทพมารอิงเจา!
เงาร่างนี้อาบอยู่ในเงาแห่งรัตติกาลนิรันดร์ ประหนึ่งผู้พิพากษาแห่งความมืด พลังของมันเยียบเย็นน่าพรั่นพรึง
นัยน์ตาซูอี้แข็งทื่อไปนิดหน่อย
ผิวของเขาเจ็บแสบขึ้นมาเล็กน้อย พื้นที่บริเวณ ณ จุดที่ยืนอยู่นั้นราวกับถูกย้อมด้วยหมึกดำ กลายเป็นราตรีพิศวง
มองไปรอบ ๆ ทุกหนแห่งต่างกลายเป็นความทมิฬแสนสงัด
คนทั้งคนเหมือนตกอยู่ในกรงขังสีดำ!
เมื่อปราศจากแสง ย่อมมองไม่เห็นภาพใดอีกต่อไป
พลังจิตวิญญาณก็ถูกสะกดเช่นกัน ราวกับกลายเป็นคนตาบอดจริง ๆ
“แบบนี้สิถึงจะสนุก…”
ซูอี้อุทาน
“ตัด!”
เสียงคำรามลั่นดังสนั่น ตงกัวเฟิงฟาดฟันดาบเข้ามา
ท้องฟ้าปั่นป่วน คมดาบหนาทะมึน ฟาดฟันเข้ามาด้วยความเกรี้ยวกราดพร้อมทั้งพลังแห่งรัตติกาล
เพียงดาบเดียว อานุภาพนั้นก็เพิ่มพูนขึ้นจากเมื่อครู่อีกเท่าตัว!
ทว่าไม่ทันที่ปราณดาบจะฟันลงมา แรงกดดันอันน่าพรั่นพรึงกลับชิงกระจายออกไป
รัตติกาลนี้เปรียบดั่งน้ำตก ขวางกั้นการมองเห็นของผู้คน และทำให้กลุ่มชนไม่อาจมองเห็นความคมกล้าและความน่ากลัวของดาบนี้ได้ชัดเจน
ซูอี้หลับตา
จิตวิญญาณของเขาเปลี่ยนไปเงียบ ๆ จวบจนทัดเทียม ‘ดวงเนตรสุรโลก’ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เร้นลับอัศจรรย์ ทันใดนั้น ฟ้าดินที่รัตติกาลปกคลุมก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในหัวของซูอี้
เคล็ดวิชาจิตวิญญาณ… ญาณสวรรค์ระบุ!
นี่คือเคล็ดวิชาโบราณของผู้ฝึกจิตวิญญาณ เมื่อใดที่ใช้ จิตวิญญาณจะกลายเป็นกระจกที่ก่อเกิดจากพลังนภา สะท้อนสรรพสิ่งในโลกหล้า สามารถมองทะลุทุกสิ่ง เล็งเห็นแก่นแท้ความจริง
ประดุจเทพเทวะบนสวรรค์ชั้นเก้า มองลงมายังมนุษย์
ปุถุชน!
พริบตานั้น พลัง อานุภาพ การเปลี่ยนแปลง และความเร้นลับต่าง ๆ จากดาบนี้ของตงกัวเฟิงล้วนสะท้อนสู่สายตาซูอี้
ดาบนี้แกร่งมากจริง ๆ!
ลมปราณสังหารของมันหลอมรวมกับรัตติกาลสนิท ฟาดฟันออกมาด้วยพลังพรสวรรค์และพลังวิถีทั้งหมดของตงกัวเฟิงเอง สามารถปลิดชีพมหาปราชญ์สวรรค์ขอบเขตสยายวิญญาณอย่างกู้ซานตู เมิ่งจิ้งไห่ได้อย่างง่ายดาย
กระทั่งตัวซูอี้เอง… เขายังจำต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีโดยไม่กั๊กแต่อย่างใด!
เคร้ง!
ห้านิ้วของเขาทำท่าประสาน จังหวะวิถีเบญจธาตุหลอมรวม ลำแสงคมกริบเจิดจรัสพวยพุ่งออกมา ก่อนจะฟาดฟันออกไปอย่างแรง
นิ้วเสมือนดาบ คมดาบเบญจธาตุ!!
ตึง!!!
เมื่อคมดาบเบญจธาตุปะทะกับปราณดาบที่ตงกัวเฟิงฟาดฟันเข้ามา เสียงกระทบกันดังสั่นสะท้านปฐพี
ฟ้าดินผืนนั้นคล้ายจะถล่ม แสงเจิดจ้าถาโถมออกไป
ราวกับดอกไม้ไฟที่บังเกิดกะทันหันในความมืด!
พอมองเห็นได้ราง ๆ ว่าเงาปีศาจสวรรค์ที่สะท้อนออกมานั้นสลายหายไปท่ามกลางคลื่นพลังดุดันเจิดจ้า
ส่วนปราณดาบที่ตงกัวเฟิงฟาดฟันเข้ามา แหลกลาญไปทีละชุ่นอยู่เบื้องหน้าซูอี้!
ขณะเดียวกัน คมดาบที่ซูอี้ปล่อยออกไปก็ได้พุ่งใส่ตงกัวเฟิงอย่างแรงประหนึ่งแสงเดียวในรัตติกาลนี้!
“เขาไม่ได้รับผลกระทบจากพลังแห่งรัตติกาลเลยหรือ?”
ตงกัวเฟิงอึ้ง สภาพจิตใจเข้มแข็งดุจหินผาของเขาสะเทือนขึ้นมาเช่นกัน
วิชาที่เขาใช้อยู่ เป็นท่าไม้ตายที่ทรงพลังที่สุด เขาจะใช้ก็ต่อเมื่อต้องสู้ด้วยชีวิตเท่านั้น
กระทั่งภายในตระกูลตงกัวเอง พวกตาเฒ่าที่อยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณยังไม่กล้าประมือกับเขาในช่วงเวลานี้!
ทว่าบัดนี้ ซูอี้กลับไม่ถูกพันธนาการแต่อย่างใด!
ตั้งแต่ตงกัวเฟิงฝึกฝนพลังมา นับเป็นครั้งแรกที่พบเจอเหตุการณ์แบบนี้
เขาไม่มีเวลาไตร่ตรองนัก เปลี่ยนกระบวนท่าทันที
ดาบฆ่าใจหมุนคว้าง
ตึง!!!
พลังดาบที่ซูอี้ปล่อยออกมาแหลกสลายไปทันที
แต่ร่างของตงกัวเฟิงสะเทือนจนถอยกรูด พลังพลุ่งพล่านในตัว สีหน้าหนักอึ้งขึ้นไปอีก
เมื่อต่อสู้กันถึงตอนนี้ มีหรือที่ตงกัวเฟิงไม่รู้ว่าหากตัดสินด้วยผลการฝึก เขาพ่ายแพ้ลงแล้ว
อย่างไรเสีย ผลการฝึกของอีกฝ่ายก็อยู่ที่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นต้น
ส่วนเขาอยู่ที่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณขั้นปลาย
ห่างกันสองขั้น!
ทว่าตั้งแต่แรกจนตอนนี้ ซูอี้ยังไม่เคยใช้ดาบคู่กาย ไม่เคยสู้ด้วยชีวิต และไม่เคยใช้เคล็ดวิชาท่าไม้ตายจริง ๆ!
เมื่อเทียบกันแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยเลยว่าชัยชนะเป็นของผู้ใด
แต่นี่ไม่ใช่การประชันฝีมือกันบนเวทีประลอง ตงกัวเฟิงย่อมไม่ยอมรามือแค่นี้
อย่างที่เขาเคยลั่นวาจากับเหวินซินจ้าว ตั้งแต่ที่เขาได้ฝึกฝนจวบจนบัดนี้ ไม่เคยกลัวตายเลยสักครั้ง!
และเพราะไม่กลัวตาย ถึงขัดเกลาหัวใจแห่งดาบแกร่งกล้าดุจหินผาของเขาออกมาได้
“ขึ้น!”
ทันใดนั้น ตงกัวเฟิงสูดหายใจเข้าลึก นัยน์ตาเปล่งประกายสีทองแห่งปีศาจสุดสะพรึง ดาบฆ่าใจในมือคำรามเสียงดังราวกับพายุสายฟ้าที่กระหน่ำ ก่อนจะพุ่งโจมตีออกไป
และในตอนนั้น ซูอี้หัวเราะ “ข้าพอเห็นความสามารถของเจ้าแล้ว ตัดสินผลแพ้ชนะได้ในสามกระบวนท่านี้ล่ะ”
ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น…
ซูอี้ก้าวออกไปฉับพลัน ฟ้าดินที่ปกคลุมด้วยรัตติกาลกู่ร้องขึ้นมาในบัดดล ราวกับต้านทานพลังยิ่งใหญ่จากตัวซูอี้ไม่ไหว
การต่อสู้เข่นฆ่าก่อนหน้านี้ ซูอี้เป็นฝ่ายรับมาโดยตลอด ไม่เคยเป็นฝ่ายบุกแม้แต่ครั้งเดียว
เหตุผลก็เพราะบีบให้ตงกัวเฟิงแสดงพลังที่แกร่งกล้าที่สุดออกมา ทดสอบยอดอัจฉริยะวิถีดาบผู้นี้ที่พอเข้าตาอยู่บ้างว่าฝึกฝนวิถีดาบได้ถึงขั้นใด
และในเวลานี้ เมื่อตงกัวเฟิงเริ่มสู้ด้วยชีวิต ซูอี้ก็พอจะตัดสินได้แล้วว่าขีดจำกัดของความสามารถวิถีดาบที่อีกฝ่ายมีอยู่ตรงไหน
และแน่นอนว่าเขาไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไป
“กระบวนท่าที่หนึ่ง!”
ท่ามกลางเสียงราบเรียบนั้น ซูอี้ชูแขนขวา ชี้นิ้วแทนดาบ ฟันออกไปกลางอากาศ
ปราณดาบยาวเป็นจั้งลุกพรึ่บ ขึ้นดั่งอาชาทะยานนภา ลงดั่งน้ำตกจากลำธารสวรรค์!
ภายในปราณดาบนั้น ล้อมรอบด้วยจังหวะวิถีเบญจธาตุ เปี่ยมด้วยพลังชีวิต วนเวียนเป็นวัฏจักร
ส่งผลให้อานุภาพของดาบนี้สำแดงจังหวะเทวะสมบูรณ์ไร้เทียมทาน
และในขณะเดียวกัน ตงกัวเฟิงสะบัดดาบบุกเข้ามา
เมื่อพลังวิถีดาบที่แตกต่างกันปะทะเข้าด้วยกัน บนท้องฟ้ารัศมีนับหมื่นจั้งเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ภูผาลำธารบนผืนดินสั่นไหว
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์อวิ๋นเทียนซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดยังสะเทือนด้วยแรงกระแทกอันน่าประหวั่นพรั่นพรึง จนสั่นไหวอย่างรุนแรง
ตู้ม!
ฟ้าดินผืนนี้ที่ปกคลุมด้วยม่านพลังแห่งรัตติกาลอันแหลกออกจากกันในบัดดล
แสงอุบัติขึ้นอีกครั้ง
ผู้คนแสบตากันหมด สะท้านไปทั้งกายและใจ พริบตาเดียวก็กลับคืนจากคืนมืดมิดนิจนิรันดร์สู่กลางวันส่องแสงสว่างอีกครั้ง
เมื่อแหงนหน้ามองไป ก็เห็นร่างหนักแน่นดั่งขุนเขาของตงกัวเฟิงใต้ขอบฟ้าถอยกรูดออกไป กระเทือนออกไปไกลกว่าสิบจั้ง
เมื่อเขาทรงตัวได้แล้ว อากาศใต้เท้าถล่มลงฉับพลัน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การปะทะครานี้ ตงกัวเฟิงถูกโจมตีอย่างน่ากลัว ส่งผลให้หลังจากเขาถอยออกไปด้วยแรงกระเทือนแล้วยังต้องใช้พลังวิถีในตัวเพื่อปลดพลังสุดสยองที่เขาแบกรับเอาไว้ จนทำให้อากาศใต้เท้าถล่มลงอย่างน่าหวั่นใจ
เมื่อหันมองตัวตงกัวเฟิง พบว่าผมยาวกระเซอะกระเซิง หน้าซีดลงนิดหน่อย ดาบฆ่าใจในมือสั่นสะเทือนอื้ออึงไม่หยุด ราวกับกำลังกู่ร้องด้วยความอาดูร!
ทั้งหมดเงียบสงัด ต่างตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ตงกัวเฟิงผู้สู้ด้วยชีวิตกลับไม่ได้เปรียบใด ๆ ซ้ำยังต้องถอยเพราะแรงกระเทือนอีก!
อวี้จิ่วเจินตกใจจนเหงื่อซึม ทั้งสะท้านใจทั้งรู้สึกยินดี
ยินดีที่ก่อนหน้านี้เขาซ่อมแซมบูรณะมหาค่ายกลคุ้มกันไปแล้ว มิเช่นนั้น ด้วยการต่อสู้ระดับนี้ รังของพวกเขาวังเทพสวรรค์เมฆาต้องพรุนเป็นแน่…
“บัดซบ!”
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้…”
“ซูอี้ผู้นี้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
บรรดาผู้คนจากตระกูลตงกัวมีสีหน้าวูบไหว ตะลึงระคนโกรธเคือง ล้วนไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ได้เห็นเป็นความจริง
ฟู่!
ใต้ท้องนภา
ตงกัวเฟิงสูดหายใจเข้าลึก นัยน์ตายังคงเข้มแข็งดุจเหล็ก ทว่าเมื่อหันมองซูอี้ ดวงหน้าเป็นคมเป็นสันของเขาเปี่ยมไปด้วยความเคร่งเครียด
เขาไม่เคยดูถูกหรือประเมินซูอี้ต่ำเลย
แต่คิดไม่ถึงเลยว่า ซูอี้จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!
ซูอี้ไม่พูดพร่ำในความสะท้อนใจ เมื่อเห็นตงกัวเฟิงปัดป้องกระบวนท่าแรกของตัวเองได้ เขาเพียงแต่พยักหน้าและลงมืออีกครั้ง
“กระบวนท่าที่สอง”
เขาสะบัดชายเสื้อโบกแขนขึ้น จิ้มออกไปกลางอากาศ
ประหนึ่งเทพเซียนบนสรวงสวรรค์สะบัดพู่กัน โลกใบนี้เปรียบเสมือนผืนผ้าให้เขาได้ละเลงหมึกวาดภาพ
ตู้ม!
ปราณดาบสายหนึ่งปรากฏขึ้น ผสานมหาหยินมหาหยางเข้าด้วยกัน แสดงให้เห็นถึงความอัศจรรย์ของการหลอมรวมความใสและความขุ่น
นภา ปราณใสทะยาน
พสุธา ปราณขุ่นดำดิ่ง
เมื่อดาบนี้ได้ฟาดฟันลงไป ให้ความรู้สึกรุนแรงราวกับฟ้าดินพลิกผัน หยินหยางกลับตาลปัตร!
ในที่สุดสีหน้าของตงกัวเฟิงก็เปลี่ยนไป
เขาในฐานะนักดาบ มีหรือจะไม่รับรู้ถึงความน่ากลัวของดาบนี้?
แทบจะผสานพลังทั้งหมดของฟ้าดินไว้ในดาบนี้ ขุนเขาลำธารมากมาย สรรพสิ่งในโลกหล้า ต่างศิโรราบให้กับดาบนี้
และการต่อสู้กับมัน ก็เปรียบเสมือนต่อสู้กับฟ้าดิน ขุนเขาลำธาร และสรรพสิ่งในโลกใบนี้ ให้ความรู้สึกถูกฟ้าดินเนรเทศ ถูกปฐพีทอดทิ้ง
นี่มันน่าหวาดกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย!
ทว่าตงกัวเฟิงหาได้ถอยไม่
นัยน์ตาเขาเด็ดเดี่ยวขึ้น หมุนเวียนพลังวิถีให้ถึงขีดสุด นอกจากไม่ถอยแล้วเขายังก้าวออกไปรับ
“ตัด!”
ราวกับดาบฆ่าใจรับรู้ถึงหัวใจวิถีสุดแกร่งที่ไม่มีสิ่งใดมาพังทลายได้ มันเปล่งบารมีออกไปอย่างเกรียงไกร พร้อมฟาดฟันออกไปอย่างรุนแรง
มองข้ามเรื่องความเป็นความตาย ไม่มีสิ่งใดต้องพะวง
ทุกคนทึ่งอย่างบอกไม่ถูก
หากถามใจตัวเอง ในเวลานี้ ผู้ใดเล่าจะทำได้อย่างตงกัวเฟิง บุกโจมตีโดยพร้อมสละชีวิต?
ตู้ม!!!
ฟ้าดินสั่นคลอน ตะวันจันทรามัวหมอง
ท่ามกลางพลังทำลายล้างที่เข้าปะทะ ร่างของตงกัวเฟิงกระเด็นออกไปอย่างแรงราวกับตั๊กแตนที่หมายเอาตัวเข้าขวางรถ
ผู้พร้อมสละชีวิตในการต่อสู้ ปราศจากความหวาดกลัว
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าการพร้อมตายจะพลิกสถานการณ์ได้!
เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังกล้าแกร่งขั้นสุด เป็นเพียงความพยายามที่สูญเปล่าเท่านั้น
ปึง!
เมื่อตงกัวเฟิงทรงตัวได้แล้ว สภาพของเขาผมเผ้ากระเซิง กระอักเป็นเลือดไม่หยุด
หน้าเขาซีดราวกระดาษ ผิวกายมีรอยร้าวคืบคลานมากมาย โลหิตหลั่งริน
พริบตาเดียวก็กลายเป็นมนุษย์เลือด
ไม่ว่าผู้ใดก็ดูออก แม้ว่าท้ายที่สุดตงกัวเฟิงหยุดดาบนี้ไว้ได้ แต่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส!
ส่งผลให้ผู้คนตะลึงและสติหลุดลอยอย่างอดไม่ได้
พลังวิถีดาบที่ซูอี้สำแดงเรียกได้ว่าช่วงชิงพลังแห่งโอกาสวาสนาทั้งปวง แกร่งกล้าเหนือจินตนาการ!
“นายน้อย!!!”
ส่วนบรรดาผู้แกร่งตระกูลตงกัวต่างก็อดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป ต่างร้องเสียงหลงด้วยหน้าตากังวล ร้อนใจกันถ้วนหน้า