บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 685 พ่ายแพ้!
ตอนที่ 685: พ่ายแพ้!
ควันและฝุ่นฟุ้งเต็มอากาศ
เมฆฝนและหมอกที่ปกคลุมภูเขาและแม่น้ำแต่เดิมได้หายไปนานแล้ว
แสงแดดแห่งวสันตฤดูอันสดใสและบริสุทธิ์อาบคลุมฟ้าดิน ทว่าไม่อาจขจัดความหนาวเหน็บในใจของเหล่าผู้รับชมได้
ก่อนเริ่มการต่อสู้ครั้งนี้แทบทุกคนคิดว่าหากซูอี้มาที่นี่ เขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะท้ายที่สุดคู่ต่อสู้ของซูอี้ก็คือตงกัวเฟิง ผู้ร้ายกาจที่มีฝีมือเลิศล้ำแข็งแกร่งท้าทายสวรรค์ซึ่งอยู่ในอันดับเจ็ดแห่งทำเนียบดารา
ทว่าในเวลานี้ผู้คนถึงตระหนักได้ว่าพวกเขาคิดผิดอย่างมหันต์!
ซูอี้ เจ้าของตำนานอันโด่งดังเมื่อหลายเดือนก่อน ในขณะนี้ได้สร้างผลลัพธ์อันแตกต่างไปจากที่พวกเขาคิดอย่างสิ้นเชิงหลังจากเงียบหายไปพักใหญ่!
นี่คือการสานต่อตำนาน!
“ข้ารู้ว่าตั้งแต่ศิษย์พี่ซูกล้ามา เขาย่อมมั่นใจว่าจะชนะ”
เหวินซินจ้าวเอ่ยออกด้วยแววตาเป็นประกายแวววาว
สีหน้าเซียนหานเยียนซับซ้อน ทว่าเห็นด้วยอย่างสุดซึ้ง
สำหรับชิงหยา ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ได้กังวลเลย
นางคงความสงบตั้งแต่เริ่มจนบัดนี้เนื่องจากนางเชื่อเสมอว่าซูอี้ไม่มีวันพ่ายแพ้แก่ผู้ใดไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน ๆ…
กลางอากาศ
ซูอี้วางมือข้างหนึ่งไพล่หลังพลางมองไปที่ตงกัวเฟิงในระยะไกลแล้วพูดว่า “เจ้าต้องการสู้ต่ออีกหรือไม่?”
ตงกัวเฟิงไออย่างรุนแรงครู่หนึ่ง ก่อนสูดหายใจเข้าลึกสองสามครั้งติดต่อกัน แล้วเช็ดคราบโลหิตที่มุมริมฝีปากของตนเองอย่างเงียบ ๆ …ร่างของเขากลับมายืนตรงดั่งภูผาอีกครั้ง
โลหิตยังคงไหลออกจากบาดแผลทั่วร่างของเขาไม่หยุด ทว่าเขานั้นหาได้ใส่ใจไม่
ตงกัวเฟิงมองไปที่ซูอี้ในระยะไกล สีหน้าท่าทางสงบและมั่นคงอีกครั้งก่อนจะกล่าวว่า “สำหรับข้า ชีวิตและความตายหาใช่สิ่งที่กลัวเกรงไม่! สหายเต๋าออกกระบวนท่าที่สามมาได้เลยไม่จำเป็นต้องเวทนาข้า!”
คำพูดนั้นเฉียบขาดประหนึ่งดาบคำรามก้องไปทั่วสวรรค์ทั้งเก้า
ผู้คนต่างตกตะลึง
ในตอนนี้ตงกัวเฟิงบาดเจ็บสาหัสอย่างไม่ต้องสงสัย แต่กลิ่นอายของเขากลับไม่อ่อนแอ ทว่ามีแต่จะน่าเกรงขามขึ้นกว่าแต่เก่าก่อน!
“นายน้อยโปรดอย่าได้บุ่มบ่าม! ชีวิตของท่านมีค่านัก ให้เรารับกระบวนท่านี้แทนท่านเถิด!”
ชายชราชุดเทาจากตระกูลตงกัวกล่าวอย่างกังวล
ตงกัวเฟิงสีหน้าเรียบสงบ เอ่ยถ้อยคำย้ำชัด “ผู้ใดก็ตามที่กล้าเข้ามายุ่มย่ามในการต่อสู้ครั้งนี้ของข้า หากข้ารอดตายไปข้าจะไม่ไว้ชีวิตของมันผู้นั้น!”
ผู้รับชมทั้งหลายต่างพูดไม่ออก
ใจทุกคนสั่นไหว
เหล่าผู้ฝึกตนแห่งตระกูลตงกัวต่างตกตะลึงและไม่รู้จะทำเช่นไร
“เป็นตายไม่หวาดหวั่น ไม่เสียใจแม้ตนจะต้องตาย…”
ซูอี้พึมพำกับตัวเอง แววตาแสดงอารมณ์ลึกล้ำ
พรสวรรค์ของตงกัวเฟิงผู้นี้อาจไม่ดีเท่ากับเหล่าอัจฉริยะชั้นเลิศในเก้ามหาแดนดิน
แต่ความกล้าของหัวใจดาบนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้อัจฉริยะชั้นเลิศเหล่านั้นด้อยกว่าสามส่วน!
“ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการเลิกราเช่นนั้นข้าจะสนองให้”
ซูอี้ไม่ลังเลอีกต่อไป แขนเสื้อของเขาพองลม ฝ่ามือเหยียดตรงประหนึ่งดาบก่อนแทงออกไปซึ่งหน้า!
ชิ้ง!
ปราณดาบสีใสดั่งผลึกแก้วพุ่งผ่านอากาศด้วยอำนาจอันไร้เทียบเทียม เป้าหมายของมันคือตงกัวเฟิง
การออกดาบนี้เรียบง่าย เป็นท่าการ ‘แทง’ ธรรมดาสามัญดังนั้นปราณดาบนี้จึงไร้ซึ่งสีสันตระการตา
ทว่าความธรรมดานี้ทำให้เหล่าผู้ที่รับชมอยู่ต่างสงสัย เป็นไปได้ไหมว่าซูอี้แสดงความเมตตาในกระบวนท่าที่สามนี้?
แต่แท้จริงแล้วมีเพียงตงกัวเฟิงเท่านั้นที่รู้ว่าซูอี้หาได้แสดงความเมตตาใด ๆ ไม่
ปราณดาบนี้แม้ดูภายนอกธรรมดาสามัญ แต่ถ้าหากผู้ใดได้มาเผชิญกับมัน คนผู้นั้นจะรู้ได้อย่างชัดเจนว่าดาบนี้เลิศล้ำอย่างไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้
มันคล้ายกับดาบนี้คือการรวมทุกสิ่งเข้าไว้ ไม่ว่าจะเป็นรากฐานการบ่มเพาะ เต๋าแห่งดาบ พละกำลังจากกายหยาบและความกล้าแกร่งแห่งดวงวิญญาณ ทุกอย่างถูกรวมเข้ากับดาบนี้โดยสมบูรณ์ โดยไม่มีพลังส่วนใดเล็ดลอดไปอย่างเสียเปล่า
ผู้ใดที่เผชิญหน้ากับดาบนี้ ทั้งร่างกายและจิตใจของเขาจะคล้ายถูกตรึงไว้ หรือพูดอีกอย่างก็คือดาบนี้เรียกได้ว่าอัศจรรย์ล้ำลึกไม่อาจจะต้านรับก็ว่าได้!
ดวงตาของตงกัวเฟิงเป็นประกายราวกับกำลังลุกไหม้ เขาไม่กลัวต่อความตายที่คืบคลาน ความคิดหลบเลี่ยงไม่มีแม้แต่น้อย
ฮ่า!
ตงกัวเฟิงคำรามลั่นราวกับเสียงฟ้าร้อง โดยไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตนเอง จากนั้นจึงโคจรพลังทุกมวลในร่างไปยังดาบในมือของตนจนแม้แต่ผิวหนังของเขาเริ่มทนไม่ไหวปริแตกออกทีละชุ่น
เขาหาได้สนใจสภาพของตนเองในตอนนี้ไม่ ดาบของซูอี้ทำให้เขารู้สึกถึงความปรารถนาอันหาที่เปรียบไม่ได้ และเขาไม่ลังเลเลยที่จะใช้ชีวิตของตนเองเพื่อทดสอบความหมายที่แท้จริงของมัน!
“สลาย!”
ตงกัวเฟิงตะโกนเสียงดัง น้ำเสียงของเขาสะท้านก้องเปี่ยมล้นไปด้วยความแน่วแน่
เคร้ง!
ดาบฆ่าใจอันหนาหนักและแหลมคมจ้วงแทงออกอย่างรุนแรง อำนาจพลังที่สำแดงเปรียบเสมือนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เคลื่อนที่ในแนวนอนบีบอัดจนทำให้อากาศโดยรอบส่งเสียงระเบิดดังสนั่น
หัวใจของผู้รับชมมากมายรู้สึกเจ็บปลาบ พวกเขาไม่สามารถลืมตาจ้องมองฉากที่เกิดขึ้นได้ มีเพียงเฉพาะตัวตนที่มีฐานการฝึกฝนสูงส่งเท่านั้นที่สามารถทนต่อความรุนแรงของการต่อสู้นี้ได้
อึดใจถัดมา เมื่อปราณดาบสองเล่มพุ่งผ่านอากาศเข้าชนกัน พลันเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง คลื่นปะทะกวาดไปทั่วทุกทิศไม่มีที่สิ้นสุด
จากนั้น ภายใต้การจ้องมองอย่างหวาดเกรงของทุกคน ปราณดาบของตงกัวเฟิงที่แทงออกอย่างแน่วแน่ระเบิดสลายไปทีละชุ่นโดยปราณดาบอันไร้ประมาณของซูอี้
เสียงของการระเบิดนี้รุนแรงจนแม้แต่ฟ้าดินยังสั่นสะเทือน
เคร้ง!!!
ดาบวิญญาณซึ่งอยู่เคียงข้างตงกัวเฟิงมาหลายปี ขณะนี้คล้ายกับถูกทุบด้วยหมัดแห่งเทพสวรรค์ มันกระเด็นหลุดลอยไปอย่างไม่อาจควบคุม
กร๊อบ!
นิ้วทั้งห้าของตงกัวเฟิงแตกและข้อมือของเขาก็บิดเบี้ยวผิดรูป
เมื่อมาถึงจุดนี้ ตงกัวเฟิงได้ไร้ซึ่งการป้องกันโดยสิ้นเชิง!
แย่แล้ว!!
หัวใจของทุกคนเต้นไม่เป็นจังหวะ
เหล่าตัวตนใหญ่โตของตระกูลตงกัวต่างรีบบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างพร้อมเพรียงเพื่อเข้าช่วยเหลือ
แต่ดาบของซูอี้นั้นแข็งแกร่งเกินไป อำนาจที่แผ่ออกทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใกล้ได้ดั่งใจหวัง
ในขณะเดียวกันนี้ตงกัวเฟิงนั้นกลับปราศจากซึ่งความกลัว ดวงตาของเขาสว่างไสวราวกับดวงดาว เปี่ยมล้นไปด้วยความเสน่หาจนวาววับ
เช่นเดียวกับเมื่อเด็กเห็นของเล่นชิ้นโปรดความรักจึงล้นเอ่อออกมาจากใจอันบริสุทธิ์และปราศจากมลทิน
น่าแปลกที่ช่วงเวลานี้กลับคล้ายยืดยาวกว่าที่ควรเป็น
ภาพความทรงจำมากมายในอดีตผุดขึ้นในหัวของตงกัวเฟิง
นึกถึงการจู้จี้ของเหล่าบรรพบุรุษโดยกล่าวว่าวิถีแห่งการบ่มเพาะในโลกอันทรงพลังที่สุดคือวิถีแห่งดาบ!
นึกถึงความลำบากและความทุกข์ยากที่เคยเผชิญมาเพื่อไล่ตามมรรคาแห่งดาบ…
จากนั้นท้ายสุด ภาพที่ปรากฏในหัวทั้งหลายก็เหลือเพียงภาพเดียว
เด็กน้อยผู้หนึ่งกำลังพูดพล่ามภายใต้สายตาที่จับจ้องของเหล่าผู้เฒ่า มือเล็ก ๆ นั้นกำดาบไม้ไว้แน่น
“ข้าตงกัวเฟิงเกิดมาเพียงเพื่อแสวงหามรรคาแห่งดาบ การได้ตายภายใต้ดาบอันเลิศล้ำที่ข้าปรารถนา… ข้าไม่เสียใจเลย…”
ตงกัวเฟิงพึมพำ
เป็นความสบายใจไร้กังวล
แต่ทันใดนั้นตงกัวเฟิงก็ตกตะลึง
ปราณดาบของซูอี้หยุดอยู่ห่างจากลำคอของตงกัวเฟิงราวสามชุ่น
จากนั้นภายใต้แววตาที่สับสน ปราณดาบของซูอี้ค่อย ๆ สลายหายไปอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเห็นฉากนี้ทุกคนจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนตระกูลตงกัว พวกเขาทั้งหมดคล้ายกับเพิ่งยกภูเขาออกจากอก เสื้อผ้าของพวกเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อที่เย็นเยียบ ทั้งรู้สึกปีติยินดีและโล่งใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ทั้งหมดนี้เนื่องจากซูอี้ยอมยั้งมือปล่อยให้นายน้อยของพวกเขามีชีวิตต่อไป!
ใต้ฟากฟ้า
ตงกัวเฟิงมองซูอี้ด้วยสายตาซับซ้อน “เหตุใด… เหตุใดเจ้าถึงไม่สังหารข้าเสีย?”
เสื้อผ้าขาดวิ่น ผมยุ่งเหยิง และร่างกายของเขาอาบโชกไปด้วยโลหิต
ซูอี้กล่าวตอบ “ข้าพูดไปก่อนหน้านี้แล้ว สำหรับข้ามันยากที่จะได้พบผู้ที่เข้าตาน่าสนใจ ส่วนสังหารเจ้าหรือไม่นั้นมันขึ้นอยู่กับหัวใจข้าเพียงผู้เดียวเจ้าไม่เกี่ยว”
หลายคนไม่เข้าใจความคิดอ่านที่ซูอี้แสดงออกมาในขณะนี้
ต้องรู้ว่าสาเหตุที่ตงกัวเฟิงท้าสู้ในวันนี้ เป็นเพราะต้องการให้ล้างแค้นให้น้องชายของเขาตงกัวอวิ๋น!
นี่คือการต่อสู้ซึ่งใช้ชีวิตและความตายเป็นตัวตัดสิน!
ใครจะเลือกเมตตาภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เพียงเพราะอีกฝ่าย ‘โดดเด่น’?
ตงกัวเฟิงสูดหายใจเข้าลึก “ถ้าเจ้าไม่ฆ่าข้าตอนนี้ ในอนาคตข้าจะแก้แค้นเจ้าอีกแน่ เจ้าไม่กังวลเลยหรือ?”
ซูอี้ยิ้มและกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต”
ตงกัวเฟิงคือศัตรูหรือไม่?
ใช่!
แต่คนเช่นตงกัวเฟิงคือผู้ที่ทำสิ่งใดตรงไปตรงมาไม่คุกคามชีวิตของบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง และจะไม่ทำสิ่งที่น่ารังเกียจใด ๆ
นี่คือสิ่งที่หายากซึ่งซูอี้ชื่นชมหัวใจดาบที่กล้าหาญของคนเช่นนี้อย่างแท้จริง โนเวล-พีดีเอฟ
คิดได้เช่นนี้เขาจึงไม่อยากสังหารอีกฝ่าย
ตงกัวเฟิงรู้สึกสับสน
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เต๋าแห่งดาบที่ข้าหมายปองนั้นไม่มีสิ้นสุด แม้ว่าวันนี้เจ้าไม่ฆ่าข้า แต่ข้าคงไม่ขอสำนึกในความเมตตานี้ ในอนาคตหากมีโอกาสเมื่อใดข้าจะแก้แค้นแทนน้องชายของข้าตงกัวอวิ๋นให้จงได้!”
ซูอี้พยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าจะรอ ข้าหวังว่าวันหนึ่งจ้าจะทำให้ข้าชักดาบออกจากฝักได้”
แววตาของตงกัวเฟิงหม่นหมองลง เขาพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ
ในการต่อสู้ครั้งนี้ตั้งแต่ต้นจนจบซูอี้ไม่เคยใช้ดาบของตนเองเลย
ในตอนนี้ตงกัวเฟิงเข้าใจแล้วว่าไม่ใช่เพราะซูอี้ไม่อยากใช้ แต่มันเป็นเพราะเขาต่างหากที่ไม่สามารถบังคับให้ซูอี้ใช้ดาบได้…
คงต้องบอกว่าความจริงนี้เป็นเรื่องราวที่สะเทือนใจ
ถ้าไม่ใช่เพราะหัวใจเต๋าดาบอันแข็งแรงของตงกัวเฟิง ป่านนี้เขาคงต้องทนทุกข์ทรมานจากสภาวะหัวใจเต๋าพลังทลาย
บรรดาผู้รับฟังเมื่อได้ยินบทสนทนาทั้งหมดต่างก็แสดงสีหน้าโง่งมออกมา
ซูอี้ไม่ฆ่าตงกัวเฟิง แต่ตงกัวเฟิงยังคงต้องการแก้แค้นในอนาคต
ที่น่าเหลือเชื่อไปกว่านั้นคือซูอี้ดูเหมือนจะไม่แยแสเลย!
วูบ! วูบ! วูบ!
ในขณะเดียวกันนั้น บนท้องฟ้ามีเสียงแหวกอากาศดังมาจากระยะไกล
ทุกคนแหงนหน้ามอง และเห็นผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งกำลังบินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ผู้ฝึกตนเหล่านี้มีเจ็ดคนทั้งบุรุษและสตรี แต่ละคนมีกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัว แม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มก็ยังอยู่ในวิถีวิญญาณ
โดยเฉพาะชายชราร่างสูงผอมในชุดคลุมสีเหลืองซึ่งน่าจะเป็นผู้นำกลุ่มนั้นดูน่าหวาดเกรงอย่างยิ่งยวด
ยังไม่ทันที่จะบินมาถึงแต่กลิ่นอายของพวกเขานั้นน่าสะพรึงกลัวมากเสียจนทำให้ทุกคนที่รับชมอยู่ระยะไกลต่างตัวสั่น
ดวงตาของซูอี้แสดงความประหลาดใจ
ชายชราในชุดคลุมสีเหลืองสดใสนี้คือผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตสยายวิญญาณอีกเพียงก้าวเดียวจะก้าวข้ามเข้าสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณ!
“ผู้อาวุโสใหญ่มาแล้ว!”
ในเวลาเดียวกัน เหล่าผู้ฝึกตนของตระกูลตงกัวต่างก็รู้สึกยินดีปรีดา
แต่อวี้จิ่วเจินและบุคคลสำคัญอื่น ๆ ของวังเทพสวรรค์เมฆาต่างสีหน้าแปรเปลี่ยนและมีลางสังหรณ์ว่าเรื่องราวครั้งนี้น่าจะจบลงไม่ง่ายนัก!