บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 686 ดาบปรากฏ
ตอนที่ 686: ดาบปรากฏ
ผู้อาวุโสใหญ่!
เมื่อเขาเห็นชายชราชุดเหลือง ดวงตาของตงกัวเฟิงพลันหรี่แคบราวกับว่าคาดเดาอะไรบางอย่างได้ เช่นเดียวกับคิ้วของเขาที่เริ่มขมวดเข้าหากันอย่างเงียบ ๆ
ชายชราในชุดคลุมสีเหลืองนั้นชื่อตงกัวไห่ ผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลตงกัวผู้มีอำนาจอิทธิพลสูงส่ง
ส่วนคนอื่น ๆ ที่ตามมาอีกหกคนที่อยู่รอบตัวตงกัวไห่ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลสำคัญของตระกูลตงกัว
ในเวลานี้ตงกัวไห่และคณะบินมาถึงแล้ว
พวกเขาทั้งหมดต่างตกตะลึงเมื่อเห็นสภาพของตงกัวเฟิงซึ่งผมเผ้ากระเซอะกระเซิงและทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือด
“เฟิงเอ๋อร์ นี่เจ้า… แพ้จริงหรือ?” ตงกัวไห่ประหลาดใจ
หลังจากถาม ตงกัวไห่และทุกคนรอบตัวเขาก็เหลือบมองไปทางซูอี้
เมื่อพวกเขาเห็นว่าซูอี้ไม่ได้รับบาดเจ็บ สีหน้าของตงกัวไห่และคนอื่น ๆ ต่างก็มืดหม่น
ตงกัวเฟิงกล่าวอย่างใจเย็น “ลูกผู้ชายหล่อหลอมพัฒนาตนจากการต่อสู้ แพ้หรือชนะเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่ทราบว่าท่านมาที่นี่ด้วยเหตุผลใดกัน?”
ตงกัวไห่ถอนหายใจและพูดด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน “ผู้นำตระกูลกังวลว่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นแก่เจ้า ดังนั้นเขาจึงส่งพวกเรามาที่นี่ เฮ้อ… ไม่คิดเลยว่ามีเรื่องเกิดขึ้นจริง ๆ… ”
สีหน้าของผู้คนตระกูลตงกัวนั้นหดหู่
พวกเขาไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าตงกัวเฟิงผู้ซึ่งอยู่ในอันดับเจ็ดแห่งทำเนียบดารา และได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำคนรุ่นเยาว์ของตระกูลตงกัว… กลับมาพ่ายแพ้ต่อซูอี้อย่างยับเยินเช่นนี้!!
เมื่อซูอี้เห็นฉากนี้ เขาก็รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา
เขากวักมือเรียกเหวินซินจ้าวและกล่าวว่า “ซินจ้าว พวกเราไปกันเถิด”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ ผู้ชมทั้งหลายต่างตะลึง
ซูอี้ผู้นี้ไม่เห็นหรือว่าตงกัวไห่และคณะบุคคลยิ่งใหญ่จากตระกูลตงกัวเดินทางมาเสริมแล้ว สถานการณ์ทั้งหมดเปลี่ยนไปเช่นนี้ ตระกูลตงกัวย่อมไม่ปล่อยซูอี้ให้จากไปง่าย ๆ แน่
“อยากไปอย่างนั้นหรือ!? ไม่มีทาง!”
สีหน้าของตงกัวไห่ดุดันน้ำเสียงเย็นชา
ควับ!
สายตาของเหล่าตัวตนวิถีวิญญาณทั้งหกรอบตัวตงกัวไห่ต่างจับจ้องที่ซูอี้ แววตาของพวกเขาต่างมุ่งร้าย
บรรยากาศโดยรอบหนักอึ้งขึ้นอย่างฉับพลัน
“เห็นชัดว่าคนเหล่านี้ไม่ยอมจบเรื่องโดยง่าย”
หัวใจของเหวินซินจ้าวเต้นระส่ำ ความกังวลปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วของนาง
แต่นางยังคงไม่ลังเลใจและตัดสินใจเดินเข้าหาซูอี้
“ศิษย์พี่ซู ข้าขอพาอาจารย์และชิงหยาไปด้วยได้หรือไม่?”
เหวินซินจ้าวเอ่ยถาม
“ได้”
ซูอี้พยักหน้าพลางยิ้ม
ทั้งสองสนทนากันโดยเพิกเฉยต่อตงกัวไห่และตระกูลตงกัวคนอื่น ๆ อย่างสมบูรณ์
เมื่อเห็นเช่นนี้สีหน้าของพวกเขายิ่งมืดหม่น
“อวี้จิ่วเจิน คนเหล่านั้นเป็นคนของเจ้าวังเทพสวรรค์เมฆาใช่หรือไม่?”
ตงกัวไห่ถามด้วยน้ำเสียงสะกดข่ม
หัวใจของอวี้จิ่วเจินสั่นและเขาตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ไม่ผิด…”
ตงกัวไห่พ่นลมหายใจ “เจ้าคิดปล่อยให้เหล่าคนทรยศของเจ้าจากไปได้ง่าย ๆ เช่นนี้อย่างนั้นหรือ? ไป! จงรีบไปคร่ากุมตัวคนของเจ้าเหล่านั้นเอาไว้เสีย! อย่าให้ข้าต้องลงมือเอง!”
ผู้คนทั้งหมดของวังเทพสวรรค์เมฆาสีหน้าแปรเปลี่ยน
อวี้จิ่วเจินทั้งร่างแข็งค้าง สมองตื้อไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้เขาเป็นถึงประมุขของวังเทพสวรรค์เมฆา แต่เขากลับรู้สึกเศร้าโศกและจนใจอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
ถ้าเขาไม่เชื่อฟังคำสั่งมันจะหมายถึงว่าเขาตั้งตนแข็งขืนต่อตระกูลตงกัว
แต่ถ้าเขาเชื่อฟัง เขาจะทำให้ซูอี้ขุ่นเคืองอย่างไม่ต้องสงสัย
ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก!!
เมื่อเห็นฉากนี้ซูอี้ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
ทว่าก่อนที่ซูอี้จะได้ทันเอ่ยสิ่งใด ตงกัวเฟิงก็ได้พูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ผู้อาวุโสใหญ่! สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวังเทพสวรรค์เมฆา!”
สีหน้าของผู้นำคนรุ่นเยาว์ของตระกูลตงกัวนั้นบูดบึ้งอย่างเห็นได้ชัด “ยิ่งไปกว่านั้นข้าเคยลั่นวาจาเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าการต่อสู้วันนี้ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ความข้องใจระหว่างซูอี้และตระกูลตงกัวถือว่าสะสางหมดสิ้น!”
“หรือต่อให้เราต้องการแก้แค้นในอนาคต ข้าผู้นี้จะเป็นคนประกาศสงครามกับซูอี้ในชื่อของข้าเอง ข้าจะไม่ยินยอมให้ตระกูลเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้อีก ถ้าวันนี้ท่านสอดมือเข้ามาในสายตาของผู้คนทั่วหล้าย่อมต้องมองว่าข้าผู้นี้กลายเป็นคนตระบัดสัตย์ไปด้วย!”
คำพูดนี้ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
จิตใจของทุกคนสั่นไหว
ไม่มีใครคิดว่าคนแรกที่ต่อต้านคำสั่งของตงกัวไห่จะเป็นตงกัวเฟิง!
แม้แต่ซูอี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ตงกัวเฟิง
ทางด้านของตงกัวไห่และคนรอบกายเขา เมื่อได้ยินประโยคนี้ พวกเขาต่างก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
“เฟิงเอ๋อร์ ข้าเข้าใจว่าเจ้าเป็นคนเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร”
ตงกัวไห่พูดอย่างเฉยเมย “ทว่าความคิดอ่านของเจ้ายังเยาว์นัก อย่าได้ลืมว่าซูอี้ผู้นี้คือคนที่สังหารน้องชายของเจ้า เขาเป็นศัตรูของตระกูลตงกัวเรา เราต้องฆ่าเขา! เจ้าไปให้คำมั่นสัญญากับตัวตนน่ารังเกียจเช่นนี้ได้อย่างไร!”
หลังจากหยุดชั่วครู่ตงกัวไห่เหลือบมองเหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ อย่างเย็นชา “และพวกเขาในฐานะที่เป็นคนของวังเทพสวรรค์เมฆาแท้ ๆ แต่กลับฝักใฝ่เข้าฝ่ายเดียวกับซูอี้ที่ชั่วร้ายเช่นนี้ ความผิดของพวกเขาควรถูกลงโทษอย่างรุนแรงเพื่อไม่ให้ผู้อื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่าง!”
“ถูกต้อง นั่นคือสิ่งที่ควรจะเป็น!”
เหล่าตัวตนใหญ่โตตระกูลตงกัวสำทับด้วยเสียงดังก้อง
จิตใจของเหล่าผู้ชมหนาวสั่น
ใครไม่รู้บ้างว่าตงกัวไห่ตั้งใจจะใช้โอกาสนี้เพื่อสังหารซูอี้?
ใบหน้าของตงกัวเฟิงซีดเผือด เขาโกรธจนแทบกระอักเลือดและพูดเสียงสั่น “ผู้อาวุโส! ท่าน…”
ตงกัวไห่ถอนหายใจยาวและขัดจังหวะ “เฟิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นเด็กดีที่หมกมุ่นอยู่แต่กับเพียงดาบจนเจ้าไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับเรื่องอื่นในโลกนี้ ดังนั้นแล้วมันไม่แปลกที่ตอนนี้เจ้าจะรู้สึกขุ่นเคืองและสับสนในใจ เอาเป็นว่าหลังจากข้าสังหารซูอี้เสร็จสิ้น ชายชราผู้นี้จะขอโทษเจ้าเป็นการส่วนตัวในภายหลัง”
ตงกัวเฟิงหัวเราะอย่างโกรธจัด
เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดคำต่อคำ “ข้าลั่นวาจาเอาไว้แล้วว่าบัญชีแค้นของน้องชายข้า ข้าจะเป็นผู้สะสางมันด้วยตนเองในอนาคต ถ้าวันนี้ท่านกล้าลงมือล่ะก็… เมื่อใดที่ข้ารับตำแหน่งขึ้นเป็นผู้นำตระกูล ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อลงโทษท่านให้จงได้!”
เสียงพูดของเขานั้นดังก้องกังวาน
ตัวตนยิ่งใหญ่ของตระกูลตงกัวอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เฟิงเอ๋อร์ แม้ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์ในวิถีดาบล้ำเลิศ แต่เรื่องเกี่ยวกับโลกหล้านั้นเจ้ายังไร้เดียงสาเกินไป”
ตงกัวไห่ถอนหายใจ “ไม่ว่าจะอย่างไรวันนี้ซูอี้ผู้นี้ต้องตาย ส่วนเรื่องลงโทษ เมื่อใดที่เจ้าได้รับตำแหน่งเป็นผู้นำตระกูลและเจ้าอยากจะลงโทษข้าจริง ๆ ตาแก่ผู้นี้จะยินยอมโดยไม่ปริปากโต้แย้งแม้ครึ่งคำ”
ตงกัวไห่แสดงสีหน้าแน่วแน่มุ่งมั่น
ทุกคนในตอนนี้จิตใจเต้นระทึก ตงกัวไห่ผู้นี้แน่วแน่ยิ่งนักไม่สนใจทั้งเหตุผลหรือคำขู่ของตงกัวเฟิงแม้แต่น้อย!
“ผู้อาวุโสลืมไปแล้วหรือว่าก่อนหน้านี้เป็นพี่ชายซูอี้เมตตาไว้ชีวิตตงกัวเฟิง!”
ในเวลานี้ชิงหยาตะโกนอย่างโกรธเคือง
ทันทีที่คำพูดนี้ดังออกไป เหล่าผู้ฝึกตนตระกูลตงกัวที่ได้รับชมการต่อสู้ก่อนหน้านี้ทั้งหมดต่างแสดงสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย
ตงกัวไห่พูพ่นลมหายใจอย่างเย้ยหยัน “ถ้าไม่ใช่เพราะซูอี้กังวลว่าจะถูกชำระแค้นโดยตระกูลตงกัว เขาจะเมตตาได้อย่างไร?”
หลังจากหยุดครู่หนึ่งตงกัวไห่ก็พูดอีกครั้งช้า ๆ ว่า “ทว่าเพื่อเห็นแก่ความดีที่คนแซ่ซูกระทำ ดังนั้นข้าจะไม่ถือสาเด็กสาวอย่างเจ้าที่เอ่ยวาจาแทรกธุระของผู้อาวุโส ไม่เช่นนั้นเพียงแค่อาศัยคำพูดที่เจ้าเอ่ยออกเมื่อครู่นี้โทษของเจ้าคือตายสถานเดียว!”
“ไร้ยางอาย!”
ชิงหยากัดฟันอย่างโกรธจัด
เมื่อเห็นฉากนี้ซูอี้ก็อดหัวเราะไม่ได้และพูดว่า “สาวน้อย อย่าได้มีโทสะไปเลย หลังจากข้าบั่นคอเขาเสร็จ ข้าจะมอบศีรษะของเขาให้เจ้าเตะเล่นระบายโทสะดีหรือไม่?”
ทุกคนต่างสับสนและโง่งม
ขณะนี้ซูอี้ยังหัวเราะได้อีกหรือ?
ชิงหยาพ่นลมหายใจ “พี่ชายซูอี้ ข้าไม่อยากจะเตะหัวไร้ยางอายนี้ ข้าแค่ต้องการให้ทั้งร่างและดวงวิญญาณของเขาระเบิดแหลกเละและหายไปเพื่อไม่ให้ดวงตาของข้าได้เห็นตัวตนที่สกปรกต่ำช้าอย่างเขาอีก”
ทุกคน “…”
สีหน้าของตงกัวไห่และเหล่าผู้คนของตระกูลตงกัวยิ่งมืดหม่น
“เช่นนั้นก็ได้” ซูอี้พยักหน้า
เมื่อรับคำจบ ซูอี้จึงโผบินขึ้นไปกลางอากาศเข้าหาตงกัวไห่และคณะ ด้วยท่าทางไร้กังวลราวกับกำลังเดินในสวนหลังบ้าน
“ข้าจะคอยดูเฟิงเอ๋อร์ไว้ ไม่ปล่อยให้เขาทำสิ่งใดบุ่มบ่าม ส่วนพวกเจ้าทั้งหมดจงไปกำจัดมารร้ายตนนี้เสีย!”
ตงกัวไห่สั่ง
“รับทราบ!”
ตัวตนขั้นวิถีวิญญาณที่อยู่รอบกายตงกัวไห่รับคำสั่งอย่างพร้อมเพรียง
ตงกัวไห่บินไปที่ด้านข้างของตงกัวเฟิงและกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน “เฟิงเอ๋อร์เจ้าบาดเจ็บสาหัสยิ่ง อย่าขยับกายให้มากนัก”
ตงกัวเฟิงลอบกำหมัดของเขาอย่างเงียบ ๆ เส้นเลือดที่ขมับปูดโปนจนเห็นชัด
พรสวรรค์อันเลิศล้ำในวิถีแห่งดาบของเขานั้นทำให้เขาไม่ยี่หระต่อความตาย แม้ตัวตายก็ไม่เคยถอยหนีต่อการต่อสู้ แต่ทว่าเวลานี้หัวใจของเขาจมดิ่งสู่ความเศร้าโศกและความโกรธอันอธิบายไม่ได้
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ข้ารู้สึกไร้พลัง!! โนเวล-พีดีเอฟ
ตงกัวไห่ปลอบโยน “เด็กน้อย หลังจากเหตุการณ์วันนี้เจ้าจะยิ่งเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นอย่างแน่นอน”
ตงกัวเฟิงเงียบ
ภายใต้ท้องฟ้าระยะไกล
ผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณหกคนเข้าล้อมซูอี้ ดวงตาของแต่ละคนฉายแววเจตนาฆ่าอย่างชัดเจน ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายกดดันล้ำลึก
ในหกคนนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณขั้นปลาย ส่วนผู้ที่อ่อนแอสุดอยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณขั้นต้น! ความแข็งแกร่งระดับนี้มันทำให้ผู้รับชมทั้งหลายต่างรู้สึกหนาวไปถึงขั้วกระดูก
“วันนี้ตำนานของซูอี้คงไม่แคล้วจบลงอย่างสมบูรณ์…”
อวี้จิ่วเจินถอนหายใจอย่างลับ ๆ
เซียนหานเยียนกำมือแน่น ใบหน้าของเขาเคร่งเครียด
เหวินซินจ้าวขบริมฝีปากแน่น และถือยันต์ลับผีเสื้อแปรสวรรค์ที่ซูอี้เคยมอบไว้ให้
มีเพียงชิงหยาเท่านั้นที่ดูเหมือนจะไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ นางมองที่ซูอี้ด้วยดวงตาเปล่งประกาย ใบหน้างดงามของนางฉายชัดถึงความตื่นเต้น
“ฆ่า!”
เสียงตะโกนอันดังเปิดโหมโรงการต่อสู้
ผู้ฝึกตนขอบเขตสยายวิญญาณทั้งหกต่างเผยใช้สมบัติและศาสตราวิญญาณของตนเองเพื่อสังหารซูอี้ในทันที
ตูม!
ฟ้าดินสั่นสะเทือน ภูเขาและแม่น้ำปั่นป่วน
สรรพวิชา สมบัติล้ำค่า ทั้งไม้บรรทัดหยก ดาบบิน แส้… สมบัติวิเศษและศาสตราวิญญาณมากมายซึ่งมากล้นไปด้วยอำนาจทำลายล้างเข้าห้อมล้อมปกคลุมซูอี้เพียงผู้เดียว
ฉากแห่งการทำลายล้างฆ่าฟันนี้เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้ฝึกตนขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณทุกผู้รู้สึกหวาดกลัวและสิ้นหวัง
“เรื่องราวกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร…”
ตงกัวเฟิงรู้สึกเศร้าในใจ แววตาของเขาสลดยิ่ง
ขณะนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส และกอปรกับตงกัวไห่คอยจับตาดูอยู่ใกล้ ๆ เขาจึงไม่มีอำนาจที่จะหยุดยั้งเรื่องนี้ได้เลย!
ตงกัวไห่ดูฉากนี้พลางยิ้ม
เคร้ง!
ทว่าทันใดนั้นเสียงคำรามดาบก็ดังก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้า
ในเวลานี้เองที่ตงกัวเฟิงเห็นดาบของซูอี้เป็นครั้งแรก
มันยังไม่ใช่ศาสตราวิญญาณ แต่เป็นดาบสีดำสนิทราวกับราตรีกาลสะท้อนแสงและเงาแจ่มชัด ใบดาบบางราวกับปีกของจักจั่น และมีเงาราง ๆ ของนกปีศาจที่น่าสยดสยอง
“เหตุใดเขาจึงยังไม่ขัดเกลาดาบเล่มนี้ให้เป็นศาสตราวิญญาณ…”
ดวงตาของตงกัวเฟิงฉายแววสงสัย
ดาบเล่มนี้ยังไม่ใช่ศาสตราวิญญาณซึ่งแน่นอนว่ามันย่อมด้อยกว่าดาบฆ่าใจของเขามาก!
แต่ทว่าเมื่อเขาสังเกตคลื่นพลังที่แผ่ออกจากร่างของซูอี้อีกครั้ง ตงกัวเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงใจ
เพียงมีดาบในมือ ซูอี้คล้ายเปลี่ยนเป็นคนละคนจากเดิม ซูอี้ดูราวกับคล้ายเทพสวรรค์มองลงมายังโลกปุถุชน กลิ่นอายสูงส่งแผ่ออกจากร่างไม่ขาดสาย!
ซูอี้ตวัดดาบของเขาโจมตีตอบโต้รอบด้านอย่างเรียบง่าย
ปราณดาบอันเฉียบคมปรากฏออกทั่วทุกทิศรอบด้าน มันเปล่งแสงเจิดจ้าราวกับแสงรุ่งอรุณสาดส่องไปทั่วท้องฟ้า
ตูม!
ฟ้าดินสั่นสะเทือนอีกครั้งใหญ่ ภายใต้การจ้องมองของสายตาหลายคู่ที่หวาดหวั่น ปราณดาบของซูอี้ทำลายอำนาจของผู้ฝึกตนทั้งหกของตระกูลตงกัวจนย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี!