บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 687 ดาบกรีดรัตติกาล
ตอนที่ 687: ดาบกรีดรัตติกาล
ตูม!
ฟ้าดินสั่นสะเทือน จนเกิดเป็นคลื่นทำลายล้างกวาดไปทั่ว
ตัวตนยิ่งใหญ่ทั้งหกในขอบเขตสยายวิญญาณถอยกระเด็นโซเซ
เมื่อเห็นฉากนี้ เหล่าผู้ชมล้วนตกตะลึง
“นี่…”
อวี้จิ่วเจินเบิกตากว้าง
“ช่างแข็งแกร่งยิ่ง!”
ความแข็งแกร่งของซูอี้นั้นเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของทุกคนอย่างชัดเจนแล้ว หลังจากที่ต่อสู้กับตงกัวเฟิงก่อนหน้านี้
แต่เมื่อตัวตนขอบเขตสยายวิญญาณเหล่านี้จากตระกูลตงกัวปรากฏกายขึ้น จิตใต้สำนึกของทุกคนก็เชื่อว่าซูอี้ได้มาถึงวาระแล้ว!
ท้ายที่สุดตัวตนขอบเขตสยายวิญญาณของตระกูลตงกัวหาใช่ตัวตนที่ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณยุคใหม่จะเทียบได้
ตระกูลตงกัวนั้นมีมรดกอันเก่าแก่และสมบูรณ์ อีกทั้งยังครอบครองเคล็ดลับการฝึกปรือแบบดั้งเดิมมากมาย
นี่คือช่องว่างระหว่างผู้ฝึกตนจากขุมกำลังโบราณและผู้ฝึกตนขุมกำลังยุคปัจจุบัน!
ตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดก็คือแม้ว่าระดับการฝึกฝนของตงกัวเฟิงจะอยู่เพียงแค่ระดับขอบเขตการแปรเปลี่ยนวิญญาณ แต่เขากลับสามารถสยบผู้อาวุโสใหญ่แห่งวังเทพสวรรค์เมฆาปราชญ์จิ้งไห่ให้ยอมรับความพ่ายแพ้โดยสมัครใจ!
ดังนั้นแล้ว ผู้ฝึกตนขอบเขตสยายวิญญาณทั้งหกจากตระกูลตงกัวเมื่อรวมกำลังเข้าด้วยกัน พวกเขาย่อมมีพลังการต่อสู้สูงเสียดฟ้าหาผู้ใดต้านทานได้ยาก
ตงกัวเฟิงผู้ซึ่งเป็นผู้นำคนรุ่นเยาว์ของตระกูลตงกัวตระหนักดีถึงประเด็นนี้มากที่สุด
แม้แต่ตัวเขาเองต่อให้สู้ด้วยทุกอย่างที่มีเขาก็ไม่แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานได้!
แต่ทว่าในเวลานี้…
ซูอี้ตวัดดาบเพียงครั้งเดียวกลับสามารถทำลายล้างการโจมตีของหกผู้อาวุโสแห่งตระกูลตงกัวได้อย่างง่ายดาย!
สิ่งนี้ทำให้จิตใจของตงกัวเฟิงสั่นสะท้าน สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่อยากจะเชื่อ “ปรากฏว่าเมื่อเขาใช้ดาบแล้ว… เขาน่ากลัวถึงเพียงนี้… นี่หมายความว่าการต่อสู้ที่ผ่านมาหากเขาจงใจฆ่าข้า ไม่ใช่ว่าข้าอาจจะตายโดยไม่รู้ตัวเลยอย่างนั้นหรือ?”
“เฟิงเอ๋อร์เจ้าเห็นหรือไม่? หากวันนี้เราปล่อยไอ้เจ้าตัวร้ายกาจผู้นี้รอดไปได้ อนาคตเมื่อมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าพวกเรามันจะกลายเป็นตระกูลตงกัวของเราที่พินาศเสียแทน!”
ตงกัวไห่พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
แม้แต่ชายชราก็ยังตกตะลึงกับฉากที่เกิดขึ้นนี้ ดวงตาของเขาสั่นไหว
ตงกัวเฟิงเงียบและภายในใจของเขาบังเกิดโทสะมากขึ้นเรื่อย ๆ
เรื่องการปล่อยให้เสือกลับภูเขามันไม่ควรเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ หรือต่อให้ซูอี้ต้องการแก้แค้น เขาคือคน ๆ เดียวที่ซูอี้ควรมาหาใช่ตระกูลตงกัวเสียหน่อย!
แต่ตอนนี้…
มันสายเกินไปที่จะพูดอะไรแล้ว!!
“ตั้งค่ายกล!”
ตงกัวไห่ตะโกนสั่งด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
“รับทราบ!”
กลางอากาศ ผู้ฝึกตนขอบเขตสยายวิญญาณทั้งหกรวมกลุ่มกันอย่างรวดเร็วอีกครั้ง แต่ละคนโยนดาบกระดูกอสูรในมือออก
ครืน!
ดาบกระดูกอสูรหกเล่มลอยขึ้นไปกลางอากาศก่อนจะเรียงกันเป็นรูปแบบค่ายกลดาบหกประสาน
ดาบกระดูกอสูรแต่ละเล่มนั้นแผ่มวลพลังมืดมิดและมวลพลังมืดจากแต่ละเล่มค่อย ๆ ก่อเป็นรูปร่างอสูรสีดำ
ดาบห้าในหกเล่มฉายร่างอสูรสีดำมืดมิด แต่ทว่าดาบที่อยู่กึ่งกลางเป็นแกนของค่ายกลนั้นกลับฉายร่างมายาของอสูรที่ต่างออกไป
มันคือร่างมายาของวิญญาณอสูรสวรรค์!
ค่ายกลหกอสูรรัตติกาลผสาน!
นี่คือค่ายกลสังหารชั้นยอดของตระกูลตงกัวซึ่งสืบทอดมาตั้งแต่ยุคโบราณ ด้วยการใช้แก่นแท้เลือดของเทพมารอิงเจาเป็นสื่อนำ พลังแห่งรัตติกาลอันมืดมิดจึงก่อเกิด
ทันทีที่ค่ายกลนี้ก่อขึ้นเสร็จสิ้น ฟ้าดินมืดมิดอย่างฉับพลันประหนึ่งค่ำคืนนิรันดร์มาเยือน!
เหล่าผู้รับชมต่างหวาดกลัวกับความเปลี่ยนแปลงนี้จนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
อำนาจที่ค่ายกลสำแดงออกมันทรงพลังเสียจนไม่มีผู้ใดคิดจะต่อต้าน ทุกคนต่างรู้สึกสิ้นหวังและหมดหนทางอย่างไม่อาจควบคุม!
“แม้แต่ค่ายกลหกอสูรรัตติกาลผสานของตระกูลก็ยังถูกนำมาใช้อย่างนั้นหรือ…”
ดวงตาของตงกัวเฟิงเบิกกว้าง
เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าคราวนี้ผู้อาวุโสใหญ่และคนอื่น ๆ เตรียมการมาอย่างพร้อมสรรพ?
“สังหาร!”
ด้วยเสียงตะโกนก้องดังสนั่นฟ้าดิน ผู้ฝึกตนขอบเขตสยายวิญญาณทั้งหกขับเคลื่อนค่ายกลหกอสูรรัตติกาลผสานด้วยกำลังทั้งหมดที่พวกเขามี
ตูม!!
ดาบกระดูกอสูรทั้งหกเล่มเคลื่อนไหว
ภายในรัตติกาลอันมืดมิด ดาบกระดูกอสูรทั้งหกเล่มผสานเข้ากับร่างมายาขนาดใหญ่ของเหล่าอสูรสีดำมืด และพุ่งสังหารไปทางซูอี้
“ก็แค่กลเม็ดตื้นเขินแบบเดิม ๆ”
ดวงตาของซูอี้ฉายแววดูถูกเหยียดหยาม
ไม่ว่าค่ายกลสังหารนี้จะทรงอำนาจเพียงใด ทั้งหมดมันก็แค่สร้างจากการผสานกำลังของกลุ่มคน
สำหรับผู้ฝึกตนคนอื่น การหาจุดบกพร่องของค่ายกลนี้อาจเป็นเรื่องยาก
แต่ในสายตาของซูอี้ ค่ายกลนี้เต็มไปด้วยจุดอ่อนมากมาย!
ทันใดนั้นซูอี้ก็โคจรจิตสัมผัสและผสานใช้มันกับทักษะลับ ‘กฎวิถีครอบฟ้า’ ซึ่งเป็นราวกับคันฉ่องบนฟากฟ้าสะท้อนภาพทั่วฟ้าดิน
เคร้ง!
ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าคำรามก้องก่อนจะตัดออก
ปราณดาบแผ่ขยายกรีดตัดโลกรัตติกาลอันมืดมิด ทุกที่ที่พาดผ่านเกิดแสงสว่างจ้า!
ตูม!
ปราณดาบนั้นปกคลุมทั้งฟ้าดิน ยิ่งพาดผ่านค่ายกลยิ่งเสียหาย และภายในไม่ถึงอึดใจถัดมาม่านรัตติกาลอันมืดมิดซึ่งแต่เดิมปกคลุมทั่วฟ้าดินภูเขาและแม่น้ำพังทลายลง
ครืน!!
การมองเห็นของทุกคนที่อยู่บริเวณโดยรอบกลับมาแจ่มชัดเช่นเดิมและพวกเขาเห็นรอยแตกที่น่าตกใจปรากฏบนดาบกระดูกอสูรที่ควบคุมโดยหกผู้ฝึกตนขอบเขตสยายวิญญาณของตระกูลตงกัว
จากนั้นดาบกระดูกอสูรทั้งหมดระเบิดแหลกอย่างฉับพลัน!
ตูม!!
เสียงระเบิดแหลกดังก้องไปทั่วหล้า
หกผู้ฝึกตนขอบเขตสยายวิญญาณบาดเจ็บในทันที
เหล่าผู้ชมทั้งหลายต่างตกตะลึง
ดาบเดียวทำลายค่ายกลหกอสูรรัตติกาลผสาน!
ต้องแข็งแกร่งขนาดใดกันจึงจะสามารถสร้างผลลัพธ์อันน่าสะพรึงขนาดนี้ได้!?
ทันใดนั้นตงกัวเฟิงนึกขึ้นได้ ว่าตอนที่เขาเผชิญหน้ากับซูอี้ก่อนหน้านี้ อำนาจของ ‘เลือดแท้ของปีศาจสวรรค์’ ที่เขาครอบครองหาได้มีผลต่อซูอี้แม้แต่น้อย และเพราะเหตุนั้นเขาจึงพ่ายแพ้ต่อซูอี้อย่างสมบูรณ์
นี่มันเหมือนกับฉากนี้ไม่มีผิดเพี้ยน!
ในความโกลาหลอันน่าตื่นตะลึงนี้ซูอี้เริ่มล่าสังหาร
เสื้อคลุมสีเขียวของเขาโบกสบัดพลิ้วไหว ร่างของซูอี้เคลื่อนไหววูบวาบรวดเร็วเหมือนแสงและเงาลวงตา
พริบตาถัดมาซูอี้เข้าประชิดชายคนหนึ่งในชุดขาวประหนึ่งหยก
ดวงตาของชายชุดขาวเบิกกว้างอย่างกะทันหัน และปฏิกิริยาแรกของเขาคือการถอยหนี!
น่าเสียดายถึงแม้เขาจะถอยเร็ว แต่เขาหาได้เร็วเท่าปราณดาบที่กรีดผ่านอากาศมาถึงคอของเขา!
ฉัวะ!
ศีรษะเปื้อนเลือดปลิดปลิวขึ้นไปในอากาศ
แต่ความสยดสยองยังไม่หมดสิ้น อำนาจของปราณดาบนั้นรุนแรงเสียจนคลื่นปะทะที่ทิ้งท้ายบดขยี้ทั้งศีรษะและร่างกายของชายชุดขาวนั้นให้ท้ายที่สุดกลายเป็นเพียงหมอกเลือด
ผู้ฝึกตนขอบเขตสยายวิญญาณจากตระกูลตงกัวตายไปแล้วหนึ่ง!
ฉากนองเลือดนี้ทำให้เหล่าผู้รับชมสะดุ้งโหยง
ในทางกลับกัน สีหน้าของซูอี้ยังคงเฉยเมย และเขายังไล่ฆ่าผู้ฝึกตนขอบเขตสยายวิญญาณอีกห้าคนต่อไปอย่างไม่หยุดมือ
เมื่อการเข่นฆ่าเริ่มต้นแล้ว มีหรือเขาจะหยุดกลางคัน?
การต่อสู้กับตงกัวเฟิงก่อนหน้านี้เป็นเพียงการทดสอบแลกเปลี่ยนฝีมือ
ทว่าตอนนี้มันคือการประหัตประหาร!
“เร็วเข้า ใช้ทุกอย่างที่มีฆ่าเดรัจฉานตนนี้เสีย!” ชายชราในชุดปราชญ์กรีดร้อง
แขนเสื้อของเขากระพือพองและจากนั้นดาบบินสีทองสดใสก็ปรากฏออกและเขาคือผู้เริ่มนำการโจมตีเข้าใส่ซูอี้
“สำแดง!”
“ไป!”
“แทง!”
“ตัด!”
ผู้ฝึกตนขอบเขตสยายวิญญาณอีกสี่คนต่างระดมใช้ทักษะ สมบัติล้ำค่า ศาสตราวิญญาณหลายอย่างระดมโจมตีใส่ซูอี้
เมื่ออำนาจหลายอย่างถูกใช้ออกพร้อมเพรียง ฟ้าดินจึงปั่นป่วนดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดลงไม่ฉายแสงสว่างอย่างที่ควรเป็น
สีหน้าของซูอี้นั้นไม่แยแส ไม่เพียงเขาไม่หลบหลีกแต่กลับบินเข้าเผชิญหน้า!
เคร้ง!
ซูอี้ฟันดาบเข้าใส่ดาบบินสีทองเรียบง่าย แค่เพียงการฟันเดียวดาบบินสีทองอันน่าเกรงขามปลิวกระเด็นไปราวกับว่าวสายป่านขาด
จากนั้นซูอี้ก็ตวัดดาบอีกครั้งและส่งปราณดาบบินร่อนกรีดผ่านอากาศไปในระยะไกล
ฉัวะ!
ห่างออกไปสามสิบฉื่อ ชายวัยกลางคนสวมชุดสีเทาซึ่งกำลังเหวี่ยงแส้วิญญาณในมือ ทว่าปลายแส้ของเขายังพุ่งไปได้ไม่ถึงครึ่งทางจากตัวของซูอี้ ทันใดนั้นร่างของเขาก็ถูกปราณดาบของซูอี้แยกออกเป็นสองส่วน โลหิตสาดกระจายราวกับน้ำพุ ชิ้นร่างทั้งสองส่วนตกลงสู่พื้นดิน
ผู้ฝึกตนขอบเขตสยายวิญญาณตายแล้วสอง!
ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจมองผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เขาโบกมือรุนแรงส่งอำนาจลึกลับแผ่ออกไปทั่วทุกทิศทาง
ครืน!
มันราวกับกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดินถูกแทรกแซง สรรพวิชา ศาสตราวิญญาณ หรือแม้แต่สมบัติล้ำค่าที่โจมตีเข้าหาซูอี้จากทิศทางอื่นจู่ ๆ ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับว่าพวกมันถูกระงับ
“แย่แล้ว!”
ชายชราชุดดำสีหน้าซีดขาว และขณะที่เขากำลังจะถอนการโจมตีของตนเอง…
ตูม!
ปราณดาบอันทรงพลังราวกับคลื่นสมุทรสวรรค์กลืนกินชายชราชุดดำและพื้นที่โดยรอบเป็นบริเวณสิบจั้งในพริบตา
“ไม่!!!”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นและเงียบลงอย่างรวดเร็ว
ร่างของชายชราชุดดำแหลกเละกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยจากปราณดาบอันไร้ประมาณและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ฉากนองเลือดนี้ทำให้ผู้ชมทั้งหลายตกตะลึงและแทบไม่เชื่อสายตา
เกิดขึ้นเร็วเกินไป!
นับตั้งแต่ซูอี้ทำลายค่ายกลหกอสูรรัตติกาลผสาน เวลาเพิ่งผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น แม้ถูกวิชาลับและศาสตราวิญญาณมากมายล้อมโจมตี ทว่าตอนนี้ซูอี้หาได้มีรอยขีดข่วนไม่ แต่มันกลับกลายเป็นฝั่งของตระกูลตงกัวที่ตายไปแล้วถึงสามคนติดต่อกัน!
ดุจดั่งเชือดฆ่าไก่ฆ่าสุนัขไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น!
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร…”
ใครบางคนอุทานอย่างโง่งม
“เขา… ทำไมเขาถึงน่ากลัวเช่นนี้”
ใครบางคนไม่อาจทำใจ
หัวใจของผู้คนที่เฝ้ามองเต้นไม่เป็นจังหวะ พวกเขารู้สึกว่าซูอี้ในเวลานี้เป็นเหมือนดั่งเทพเซียนอมตะบนสวรรค์ ไร้เทียมทานไม่มีผู้ใดสามารถต่อกรด้วยได้!
ควรรู้ว่าผู้ฝึกตนจากขุมอำนาจโบราณนั้นแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปอย่างไม่อาจเทียบกัน แต่ตอนนี้ผู้ฝึกตนขอบเขตสยายวิญญาณของตระกูลตงกัวที่ร่วมกำลังกันยังถูกซูอี้ฆ่าเหมือนหั่นแตงโมสับผัก ใครเล่าจะไม่ตกใจ? ใครเล่าจะไม่กลัว?
“เมื่อครั้งที่ข้าเจอเขาคราแรก ข้าไม่ต่างจากกบที่ก้นบ่อ ไม่รู้เลยว่าที่นอกบ่อนั้นกว้างใหญ่เพียงไร แต่ตอนนี้ข้าเห็นเขาอีกครั้ง… ข้าก็ยัง…”
เซียนหานเยียนพึมพำ ร่างกายและจิตใจได้รับความกระทบกระเทือน
“อาจารย์ ท่านไม่ใช่กบที่ก้นบ่อหรอกเจ้าค่ะ มันเป็นเพียงว่าคุณชายซูเปลี่ยนไปมากจนเราไม่อาจจินตนาการได้”
ดวงตาของเหวินซินจ้าวกะพริบปริบ ๆ นางเก็บยันต์ลับที่ซูอี้เคยมอบให้ก่อนจะผ่อนคลายมือที่เคยเกร็งลุ้นมาโดยตลอด
ในเวลานี้นางเห็นว่าไม่จำเป็นต้องเตรียมสิ่งใดเผื่อสถานการณ์ไม่คาดฝันอีกแล้ว
“พี่ชายซูอี้เก่งที่สุด!”
ชิงหยาปรบมือดีใจอย่างตื่นเต้น
ตั้งแต่ต้นมีเพียงสาวน้อยผู้นี้ที่ไม่เคยกังวลเลย นางเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจในตัวซูอี้
“นี่น่ะหรือคือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา…”
ตงกัวเฟิงหัวใจสั่นคลอน มือและเท้าของเขารู้สึกเย็นเยียบ เขารู้สึกละอายยิ่งเมื่อนึกถึงคำพูดใหญ่โตของตนเองยามที่เขาต่อสู้กับซูอี้ก่อนหน้านี้
“บัดซบ!!”
ในตอนนี้ตงกัวไห่ตื่นตระหนกขึ้นมาแล้ว สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง และไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกแล้ว
ร่างกายของเขาส่งเสียงดังลั่นด้วยปราณวิญญาณอันหนาแน่น ทว่าก่อนที่เขาจะทันได้โผบินขึ้นไปช่วยคนของตน ซูอี้ได้ตวัดดาบส่งปราณดาบไร้ประมาณเข้าใส่ผู้ฝึกตนขอบเขตสยายวิญญาณทั้งสามเสียแล้ว
“หนีเร็ว!”
ผู้ฝึกตนขอบเขตสยายวิญญาณทั้งสามคนจากตระกูลตงกัวที่ยังเหลือรอดกรีดร้องด้วยความกลัว พวกเขาสัมผัสได้ชัดเจนว่าอันตรายถึงตายกำลังพุ่งเข้าหา สัญชาตญาณเอาตัวรอดของพวกเขากรีดร้อง ทั้งหมดนี้เมื่อรวมกันพวกเขายังจะกล้าอยู่ต่อไปอีกได้อย่างไร?
ต้องหนีไปจากที่นี่ทันที!
แต่ในขณะที่พวกเขากำลังหลบหนี ปราณดาบก็ปรากฏขึ้นปกคลุมเต็มฟากฟ้าเสียแล้ว และปราณดาบนับไม่ถ้วนร่วงหล่นลงประหนึ่งห่าฝนประหัตประหาร มันคล้ายกับน้ำตกดาบที่ไหลลงจากสวรรค์ตกลงมาสู่โลก
ผู้ฝึกตนขอบเขตสยายวิญญาณทั้งสามคนเปรียบเสมือนเส้นฟางในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ในชั่วพริบตาพวกเขาทั้งหมดถูกกลืนกินอยู่ใต้คลื่นดาบที่โหมกระหน่ำ
วิญญาณหลุดลอยไปหมดสิ้น!