บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 688 ระเบิด
ตอนที่ 688: ระเบิด
ปราณดาบดื้อดึงเยี่ยงสมุทร กวาดแสงสว่างเจิดจ้าไปบนนภานับพัน ๆ จั้ง
ตัวตนในขอบเขตสยายวิญญาณทั้งสามล้วนร่างแหลกวิญญาณสลายไปด้วยกัน!!
ทั่วเขตแดนเงียบสงัด
ทุกคนที่ยืนอยู่ต่างตะลึงงัน
ภาพนี้ทำให้ตงกัวไห่ซึ่งกำลังโจมตีไม่อาจหยุดมือได้ทัน
ภาพที่เห็นนี้ทำให้กระทั่งผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลตงกัวซึ่งใกล้ย่างเข้าสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณรอมร่อชะงักราวถูกอสนีบาตฟาด
“เป็นไปได้เช่นไร…”
เขาอุทาน
กาลก่อน ตงกัวไห่นั้นแข็งแกร่งอหังการ เขาถือซูอี้เป็นภัยมหันต์ต่อลูกหลาน จึงข่มขู่เอาชีวิตซูอี้เสียวันนี้
เขากระทั่งถือว่าพวกเหวินซินจ้าวเป็นคนทรยศซึ่งควรลงโทษสถานหนัก
ยามนั้น การวางตัวของเขาช่างโหดเหี้ยมเสียจนไม่ใส่ใจการขัดขวางของตงกัวเฟิงแม้แต่น้อย
ทว่ายามนี้ เมื่อซูอี้สังหารมหาปราชญ์สวรรรค์ในขอบเขตสยายวิญญาณไปถึงหกคนในคราเดียว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปรโดยสมบูรณ์ ดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าเปี่ยมความตื่นตกใจ
“ผู้อาวุโสใหญ่ หากท่านฟังคำแนะนำของข้าก่อนหน้านี้ ไฉนเลยเรื่องเยี่ยงนี้จะเกิดขึ้น? ท่านคือผู้สังหารผู้อาวุโสทั้งหก!”
ตงกัวเฟิงถอนใจ สีหน้าซับซ้อน เจือด้วยความชิงชังราง ๆ
“เฟิงเอ๋อร์ เจ้าบ้าไปแล้วหรือไร?!”
สีหน้าของตงกัวไห่ซีดขาว ก่อนกล่าวเสียงแข็ง “ทุกคนที่นี่ต่างเห็นว่าซูอี้คือผู้ฆ่าคนจากตระกูลเรา เหตุใดจึงเป็นข้าที่ฆ่าพวกเขาไปได้?”
เขาโกรธเคืองอย่างเห็นได้ชัด และยิ่งโมโหกับท่าทีของตงกัวเฟิง!
ตงกัวเฟิงเงียบไป
ทุกคนตายไปแล้ว!
การมาเถียงกันยามนี้มีประโยชน์อันใด?
“ชิงหยา เจ้าควรมองโลกในแง่ดีนะ”
เสียงไร้อารมณ์ของซูอี้ดังขึ้น
ชิงหยาอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่าง และตอบกลับเสียงใส “ใช่!”
ฉับ!
แล้วทุกคนก็เห็นซูอี้ทะยานสู่อากาศ พุ่งสังหารตงกัวไห่ราวเส้นแสง
“วอนตายเสียแล้ว!”
ตงกัวไห่เดือดดาลอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นเช่นนี้ เขาก็โกรธเสียจนเอื้อมมือคว้าสู่อากาศ
ตู้ม!
หอกศึกสำริดซึ่งปกคลุมด้วยอสนีบาตตกสู่มือของตงกัวไห่
อำนาจของเขาระเบิดออกมาอย่างสมบูรณ์
สถานการณ์พลิกผัน อสนีบาตแล่นพล่าน
เดิมที ตงกัวไห่คือบุคคลที่ห่างไกลจากขอบเขตวงล้อวิญญาณเพียงคืบ ยามนี้เขาโกรธจัดจึงไม่สงวนพลัง อำนาจเช่นนั้นจึงมากพอเคลื่อนบรรพตสั่นลำธาร
“ฆ่า!”
เขาแผดเสียงลั่นสะท้านเมฆาสะเทือนพิภพ หอกศึกในมือทะลวงแหวกอากาศราวการโจมตีของเทพเซียนป่าเถื่อนแต่กาลก่อน
ดุร้ายอหังการ ไร้ขอบเขต
จิตสังหารน่าหวาดหวั่นอันปรากฏจากการโจมตีขยี้เวหา สายฟ้าแล่นแปลบสาดแสงเจิดจ้า ทำให้ทุกสายตาที่เฝ้ามอง รวมถึงหนังศีรษะของพวกเขาต่างชายิบ
อำนาจที่ตงกัวไห่แสดงออกมาในยามนี้ ห่างไกลเกินกว่าจะเทียบกับหกผู้อยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณเมื่อครู่นี้นัก!
ซูอี้วาดดาบ ฟันออกไปอย่างแรง
เคร้ง!!!
เสียงการกระแทกดังสนั่นเสียดแก้วหู
สงครามอุบัติ
ปราณดาบวูบไหวเป็นครั้งคราว ในขณะที่เงาหอกหนาหนักฉวัดเฉวียน จิตสังหารพลิกผันไหววูบ บรรยากาศการทำลายล้างดุเดือดแผ่กระจายเยี่ยงพายุโหม
ราวการประชันระหว่างสองเทพเซียน
หนึ่งดาบแหวกนภากาศ สำแดงอำนาจเหลือล้นสะท้านเวหา ยิ่งใหญ่ไร้จำกัด วิชาดาบทะลวงผ่านเก้าชั้นฟ้าไปไกลแสนไกล
หนึ่งหอกศึกควงพลิ้ววูบไหวเยี่ยงเทพสงคราม ดุดันป่าเถื่อน อำนาจสนั่นนภาสะเทือนแดนดิน
แต่สิ่งที่น่าตกใจก็คือ…
แม้จะอยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งเช่นตงกัวไห่ ทว่าซูอี้ก็ยังไม่ได้ตกเป็นรอง ยังคงสุขุมไร้จำกัดเช่นเก่าก่อน
ยิ่งกว่านั้น เมื่อศึกดำเนินไป บรรยากาศรอบกายซูอี้ก็ยิ่งดุร้ายขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับกำลังข่มทับใส่ตงกัวไห่!
ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ร่องรอยดาบบาดอาบเลือดก็ปรากฏขึ้นบนร่างของตงกัวไห่
“แข็งแกร่งเกินไปแล้ว…”
“โลกนี้จะมีผู้ใดในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณที่สามารถปราบผู้อยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบได้บ้าง?”
รอบข้างส่งเสียงฮือฮา
ไม่รู้ว่ามีคนมากเพียงไรที่ตื่นตะลึงกับภาพนี้
และยามนี้เอง ตงกัวเฟิงก็ตระหนักถึงหนึ่งสิ่งอย่างลึกล้ำ…
วิชาดาบของซูอี้เลอเลิศกว่าเขามากนัก และแม้แต่ด้านพื้นฐานพลังมหาวิถีก็ยังเหนือกว่าเขายิ่งกว่า!
หาไม่ คงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสังหารผู้อยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณหกคนได้ง่ายราวเปิดกระเป๋า
เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่จะถือไพ่เหนือกว่ายามประมือเดี่ยวกับบุคคลในขอบเขตสยายวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบเยี่ยงตงกัวไห่!
“คนผู้นี้มาจากที่ใดกัน?”
ตงกัวเฟิงงุนงงเล็กน้อยเป็นครั้งแรก
ในหมู่สิบสุดยอดฝีมือจากทำเนียบดาราซึ่งจัดเรียงโดยหอเมฆาเขียว แปดคนเป็นผู้แข็งแกร่งจากยุคโบราณผู้มีที่มาจากขุมอำนาจโบราณ
อีกสองคนที่เหลือมาจากขุมอำนาจสูงสุดจากต่างโลกสองแห่ง
ไม่มีผู้ใดเลยในสิบอันดับแรกเหล่านั้นที่มาจากหมู่คนรุ่นเยาว์แห่งมหาทวีปคังชิง
เรื่องนี้เป็นที่ทราบทั่วกันอย่างยาวนาน
ทว่ายามนี้ ตงกัวเฟิงแน่ใจว่าด้วยความแข็งแกร่งของซูอี้ อีกฝ่ายสามารถเข้าชิงตำแหน่งสามอันดับแรกในทำเนียบดาราได้แน่นอน!
เพราะเท่าที่ตงกัวเฟิงรู้ สามคนในสามอันดับแรกต่างกล้าหาญชาญชัยเยี่ยงเทพเซียนทั้งสิ้น
สัญญาณที่ควรค่าแก่การจดจำที่สุดนั้นคือ พวกเขาทั้งสามล้วนเคยสังหารสุดยอดฝีมือในขอบเขตสยายวิญญาณนับแต่พวกเขาอยู่ในขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณมาแล้วทั้งสิ้น ต่างคนต่างร้ายกาจยิ่งกว่ากัน
และซูอี้ในยามนี้ก็มีพลังต่อสู้อยู่ในระดับเดียวกัน!
“บัดซบ!”
ตงกัวไห่ซึ่งอยู่ในศึกทั้งแตกตื่นและโกรธเกรี้ยว สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนตลอดเวลา
เทียบกับโทสะเมื่อกาลก่อน ยามนี้สีหน้าของเขามีความจริงจังและตื่นตกใจเพิ่มขึ้นมา!
แม้ว่าศึกนี้จะเพิ่งเกิดได้ไม่นาน ทว่าร่างของเขากลับเต็มไปด้วยรอยดาบบาดเลือดอาบมากกว่าสิบ แต่ละบาดแผลล้วนเฉือนหนัง ทิ้งบาดแผลที่ไม่อาจรักษาได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ไว้บนร่างกายของเขาทั่วไปหมด
สิ่งที่ทำให้ตงกัวไห่หนาวเยือกหนักกว่าเก่านั่นก็คือ แผลแต่ละแผลของเขาปกคลุมด้วยปราณดาบอันเข้มข้นยิ่งนัก
ด้วยระดับฝึกฝนในขั้นสมบูรณ์แบบของขอบเขตสยายวิญญาณ เขาใช้มันไล่ปราณดาบตกค้างเหล่านี้ไม่ได้!
ฉัวะ!
จู่ ๆ แขนซ้ายของตงกัวไห่ก็เจ็บแปลบ มันปลิวกระเด็นไปกับปราณดาบสายหนึ่งซึ่งสะบั้นสร้างแผลเลือดสาด ผิวเนื้อของเขาฉีกเป็นเสี่ยง โลหิตทะลักไหล
“เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว!”
แววตาของตงกัวไห่เจือความบ้าคลั่ง
เขารู้ว่ายิ่งยื้อ สถานการณ์ยิ่งไม่อำนวยต่อตนเอง และสุดท้ายจะมีโอกาสตายสูงนัก!
“จงตื่น!”
ตงกัวไห่แผดเสียง
ยันต์ที่ควบแน่นขึ้นจากแสงเงาสีดำราวรัตติกาลพุ่งออกมาจากแท่นจิตวิญญาณเหนือศีรษะของเขา
ยันต์นั้นมีขนาดเพียงฝ่ามือ ลวดลายพิสดารอันชวนใจสั่นถูกจารึกไว้บนนั้น…
ท่ามกลางขุมนรกมืดมนอนธการ ดวงตาเย้ายวนคู่หนึ่งกำลังจับจ้อง แผดเผาด้วยเพลิงทิพย์ทมิฬ!
ตู้ม!
ทันทีที่ยันต์นี้ปรากฏ เพียงบรรยากาศที่แผ่จากมันก็ทำให้โลกาถูกปกคลุมด้วยความรู้สึกหดหู่และชวนขนลุกแล้ว
ทุกสิ่งสั่นสะเทือน บรรพตเฉาธารเอื่อยโศก
นี่มันสมบัติแบบใดกัน?
ผู้ฝึกตนทุกคนในบริเวณตื่นกลัว
“ยันต์เพลิงเทวะ!”
ม่านตาของตงกัวเฟิงพลันหดตัว เขารู้ว่ายันต์นี้เป็นสมบัติลับระดับจักรพรรดิซึ่งตกทอดมาจากเหล่าบรรพชนของตระกูลตงกัว
ลือกันว่ายันต์นี้ถูกสร้างขึ้นจากแก่นโลหิตของอิงเจาซึ่งอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ และลวดลายบนยันต์ที่วาดอยู่ก็คือมาตุภูมิของเทพมารอิงเจา…
หุบเขากาฬราตรี!
วิธีใช้ยันต์นี้ง่ายยิ่งนัก ขอเพียงคนจากตระกูลตงกัวใช้พลังแห่งเลือดนำทาง พวกเขาก็จะสามารถใช้มรดกลับชิ้นนี้ได้
ทันใดนั้น หัวใจของตงกัวเฟิงก็สั่นไหว สีหน้าเปลี่ยนเป็นซับซ้อน
เขาอยากสังหารซูอี้กับมือเสียมากกว่ามองบุคคลซึ่งเรียกได้ว่าเป็นตำนานแห่งวิถีดาบตายด้วยยันต์เช่นนี้
ทว่าเขาในฐานะคนตระกูลตงกัวรู้ดี… ว่าไม่อาจเมตตาได้!
“ซูอี้ ดูเหมือนการที่เจ้าต้องตายด้วยยันต์ของตระกูลข้าจะเพียงพอให้เจ้าตายตาหลับแล้วล่ะ!”
ตงกัวไห่มีสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์
“ก็แค่ยันต์แผ่นเดียว ไม่พอให้คนใกล้ตายเช่นเจ้าทำได้ตามอำเภอใจหรอก”
ทว่ายามนี้ ซูอี้กลับยิ้ม
ซูอี้เก็บดาบนิลกาฬกลืนฟ้าท่ามกลางหมู่สายตาตะลึงงัน จากนั้น ริมฝีปากก็เอ่ยหนึ่งคำออกมาเบา ๆ
“ระเบิด!”
ทันใดนั้น ร่องรอยดาบบาดทั่วร่างตงกัวไห่ก็เปล่งแสงเจิดจ้า ลำแสงดาบตวัดฉวัดเฉวียนละลานตา
ตงกัวไห่หน้าซีดอย่างตกใจ ยามนี้เขาอยากใช้ยันต์เพลิงเทวะ ทว่าก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าปราณดาบในบาดแผลของเขาสั่นพ้องต่อกัน สร้างเป็นค่ายกลพิสดารในร่างของเขา!
เพราะเหตุนี้ การฝึกฝนของเขาจึงถูกผนึกในพริบตา ไม่อาจขยับได้แม้เพียงนิด
จากนั้น…
ค่ายกลซึ่งเกิดจากปราณดาบตกค้างเหล่านี้ก็ปะทุขึ้นในร่างของเขาราวภูเขาไฟที่สงบเงียบอยู่นาน
“อย่านะ–!”
ตงกัวไห่กรีดร้องอย่างสยดสยอง
ร่างดายของเขาระเบิดตูม เปลี่ยนเป็นฝอยโลหิตเล็กจ้อยโปรยกระจายสู่เวหา
มันระเบิดบนนภาเยี่ยงดอกไม้ไฟสีเลือด ร้อนแรงสดสวยและเจ็บปวด
ทั่วอาณาบริเวณเงียบสงัด
ทุกคนตะลึงเบิกตากว้าง นิ่งค้างกับที่
ผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลตงกัว ตัวตนซึ่งใกล้ย่างเหยียบสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณทุกขณะ… ระเบิดตายไปเพียงเยี่ยงนั้น?
สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ พวกเขาไม่แม้กระทั่งจะรู้ว่าตงกัวไห่ตายเยี่ยงไร!
มีเพียงบุคคลระดับสูงสุดที่มองอยู่เท่านั้นที่จะเห็นได้ว่าการตายของตงกัวไห่มาจากอันตรายแฝงซึ่งถูกฝังไว้นับแต่แรกเริ่มยามที่เขาบาดเจ็บระหว่างศึกแล้ว
เมื่อถึงยามนี้ พลังที่สั่งสมในปราณดาบบนร่างของเขาก็พรากชีวิตของเจ้าตัวไปในพริบตา!
เมื่อตระหนักเรื่องนี้ได้ พวกอวี้จิ่วเจินล้วนตื่นกลัว
พวกเขาพลันจำบางสิ่งได้
ก่อนเริ่มศึกนี้ ชิงหยาเคยกล่าวไว้ว่า ขอให้ตงกัวไห่ระเบิดตาย หายไปจากสายตา
ซูอี้ตอบรับคำขอนั่น!
และยามนี้ ตงกัวไห่ก็… ระเบิดตายจริง ๆ
เรื่องทั้งหมดนี้ช่างน่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย มันพิสูจน์ว่าซูอี้ตัดสินใจแล้วนับแต่แรกเริ่ม ว่าต้องการสังหารตงกัวไห่เฉกเช่นนี้!
“ดูสวยหรือไม่?”
ซูอี้ผู้อยู่บนอากาศมองชิงหยาและถามออกมายิ้ม ๆ
ชิงหยารีบส่ายหน้า ก่อนกล่าวว่า “แม้ข้าจะปรีดานัก แต่เขาไม่ได้ตายอย่างงดงาม กลับน่าขยะแขยงเสียแทน”
ซูอี้หัวเราะอย่างทึ่มทื่อ
เมื่อทุกคนเห็นเช่นนี้ หัวใจของพวกเขาก็สั่นไหวอีกครา
“ผู้อาวุโสใหญ่—”
ยอดฝีมือจากตระกูลตงกัวแต่ละคนต่างแสดงสีหน้าเศร้าหมอง อับจนปัญญา
ในหมู่พวกเขา สีหน้าของตงกัวเฟิงซับซ้อนที่สุด
เขายืนเหม่อลอยด้วยใบหน้าซีดขาวว่างเปล่า แววตาไร้ความคิดใด ๆ
ไม่ว่าอย่างไร พวกตงกัวไห่ก็เป็นผู้อาวุโสในตระกูล และญาติของเขาอยู่ดี
ยามนี้ เมื่อเห็นชีวิตของพวกเขาปลิดปลิว ตงกัวเฟิงจะไม่เศร้าโศกได้เช่นไร?
“หากเจ้าต้องการล้างแค้นพวกเขาในภายหน้า ข้าจะรอต้อนรับเจ้าทุกเมื่อ”
ยามนี้ ซูอี้มองมาทางเขา “แน่นอน หากตระกูลตงกัวของเจ้าต้องการแก้แค้น พวกเจ้าก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจจ่ายผลลัพธ์ด้วยเช่นกัน”
“จริงสิ สมบัติชิ้นนี้ไร้ค่าสำหรับข้า และไร้ทางประยุกต์ใช้อื่น ๆ ดังนั้นเจ้าควรเก็บมันไปนะ”
ขณะเอ่ยวาจา แขนเสื้อของเขาก็พลิกพลิ้ว
ฟิ้ว!
ยันต์เพลิงเทวะซึ่งลอยบนอากาศเปลี่ยนเป็นลำแสงสีดำ ก่อนจะพุ่งเข้าหาตงกัวเฟิง