บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 689 ร้านจำนำ
ตอนที่ 689: ร้านจำนำ
ยันต์เพลิงเทวะลอยมาอยู่ตรงหน้าเขา
ทว่าตงกัวเฟิงดูจะไม่ได้เห็นมันในสายตา และได้แต่นิ่งเงียบอยู่เช่นนั้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผู้นำแห่งชนรุ่นเยาว์จากตระกูลตงกัวผู้นี้สะเทือนใจอย่างหนัก
แม้จะมีหัวใจแห่งดาบอันแข็งแกร่งแน่นหนา เขาในยามนี้ก็ยังไม่อาจฟื้นสติได้
เมื่อเห็นเช่นนี้ ทุกคนก็ทอดถอนใจ
ศึกนี้ ตระกูลตงกัวสูญเสียมากเกินไป!
เริ่มที่ตงกัวเฟิง อันดับเจ็ดในทำเนียบดาราผู้ถูกซูอี้ปราบลงอย่างสมบูรณ์ในการประมือเดี่ยว
ทันใดจากนั้น คนใหญ่คนโตเจ็ดคนจากตระกูลตงกัว ซึ่งนำโดยตงกัวไห่ก็ถูกซูอี้ใช้หนึ่งดาบกวาดล้างสิ้น!
ทุกคนรู้ดีว่าศึกนี้คือการโจมตีอย่างหนักหนาต่อตระกูลตงกัว หนึ่งในเจ็ดมหาอำนาจ!
“แม่นางซินจ้าว ไปกันเถิด”
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบงันหดหู่ ซูอี้ดูจะไม่เป็นไร เขายิ้มและโบกมือให้พวกเหวินซินจ้าว
“ตกลง!”
เหวินซินจ้าวตอบรับ
นางและเซียนหานเยียนกับชิงหยาจากไปพร้อมซูอี้ทันที
นับแต่ต้นจนจบ ไม่มีผู้ใดเลยที่กล้าหยุดเขา ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสำนักวังเทพสวรรค์เมฆาอวี้จิ่วเจินและคณะ หรือยอดฝีมือคนอื่น ๆ จากตระกูลตงกัวซึ่งนำโดยตงกัวเฟิง!
“เทพเซียนอยู่ตรงหน้า ทว่าข้ากลับไม่สำเหนียก…”
ชายวัยกลางคนซึ่งเดินทางกับซูอี้จนถึงวังเทพสวรรค์เมฆาด้วยกันอดพึมพำไม่ได้
หนุ่มสาวรอบกายเขาต่างล้วนตะลึงงัน
พวกเขาเคยเต็มไปด้วยความคะนึงหา คิดว่าขอเพียงได้เข้ามาฝึกตนที่วังเทพสวรรค์เมฆา พวกเขาจะสามารถทะยานสู่ประตูมังกร เปลี่ยนชีวิตเข้าสู่วิถีแห่งผู้ฝึกตนได้
ทว่าพวกเขาก็ได้ประสบภาพเมื่อครู่นี้
ยามนั้นเอง พวกเขาจึงตระหนักความจริงอันโหดร้ายว่าแม้วังเทพสวรรค์เมฆาจะแข็งแกร่ง ทว่าต่อหน้าตระกูลตงกัว พวกเขาก็เป็นเพียงข้ารับใช้ซึ่งเต้นอยู่บนกำมือของอีกฝ่าย
และตระกูลตงกัว ในฐานะหนึ่งในเจ็ดมหาอำนาจในทุกวันนี้ก็ไม่อาจปิดฟ้าด้วยมือเดียว… ไม่อาจไร้ผู้ใดกล้าต่อกรอย่างแท้จริงแต่อย่างใด!
เพราะวันนี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่งได้ปรากฏเยี่ยงเทพเซียนจากนภา สังหารยอดฝีมือของตระกูลตงกัว หลั่งโลหิตเยี่ยงลำธาร!
“อนิจจา!”
อวี้จิ่วเจินถอนหายใจ
เหล่าคนใหญ่คนโตจากวังเทพสวรรค์เมฆาต่างมีสีหน้าซับซ้อน
สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ควรจบลงด้วยการพ่ายแพ้ของตงกัวเฟิง และความแค้นระหว่างซูอี้และตระกูลตงกัวก็ควรเกิดขึ้นเพียงระหว่างตงกัวเฟิงและซูอี้
ทว่าการปรากฏตัวของพวกตงกัวไห่ทำให้ทุกสิ่งพังทลาย!
สุดท้าย พวกตงกัวไห่ก็ต้องจ่ายด้วยชีวิต จะไม่ให้กล่าวอนิจจาได้เช่นไร?
ยามนี้ ตงกัวเฟิงดูจะฟื้นสติคืนได้แล้ว เขาไม่แม้กระทั่งจะยอมรับยันต์เพลิงเทวะกลับ แต่เดินจากไปไกลอย่างโดดเดี่ยว
“นายน้อย! ท่านจะไปที่ใดกัน?”
ยอดฝีมือคนหนึ่งจากตระกูลตงกัวอดถามไม่ได้
ตงกัวเฟิงไม่ได้ตอบ
เส้นผมของเขากระเซอะกระเซิง ชุดเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นนองเลือดชุ่มไปหมด และบาดแผลบนร่างผอมบางของเขาก็ยังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างเต็มที่
ในการประมือครั้งก่อน เขาบาดเจ็บสาหัส
ทว่าครานี้ เขาดูจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องทั้งหมดนี้เลย ทำเพียงเดินอย่างโดดเดี่ยวในปฐพี
ร่างอันเดียวดายเพิ่มความรู้สึกอ้างว้างห่างไกลให้กับดวงตะวันอัสดง
ร่างของตงกัวเฟิงค่อย ๆ หายลับไปในโลกกว้าง
เมื่อเห็นเช่นนี้ คนทุกผู้ก็รู้สึกเศร้าใจ
วันที่สิบเจ็ดเดือนสอง
หน้าวังเทพสวรรค์เมฆา ซูอี้ได้เอาชนะตงกัวเฟิง ผู้นำบุคคลรุ่นเยาว์แห่งตระกูลตงกัว บั่นหัวตงกัวไห่และมหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตสยายวิญญาณทั้งเจ็ด ก่อนเดินจากไปพร้อมกับเหวินซินจ้าว
ทำนายได้เลยว่าหากข่าวนี้แพร่งพราย โลกาจะสั่นสะเทือน ต้าเซี่ยจะปั่นป่วนเซ็งแซ่เป็นแน่แท้!
…
ซูอี้ไม่ได้สนใจว่าศึกนี้จะสร้างอิทธิพลและการรบกวนกระแสอื่น ๆ เพียงไร
เขามาที่วังเทพสวรรค์เมฆาเพื่อรับเหวินซินจ้าว
ทว่าเขาก็นับถือตงกัวเฟิงอยู่ไม่น้อย
แม้ทั้งสองจะอยู่ในฝ่ายตรงข้ามกัน ทว่ามันก็ไม่อาจหยุดไม่ให้ซูอี้ยอมรับในวิชาดาบของตงกัวเฟิงได้
“เพลงดาบ ภาวะดาบ และการฝึกฝน เทียบไม่ได้กับจิตดาบอันแข็งแกร่งดุจเหล็ก กระทั่งความสามารถของคนจะทึ่มทื่อที่สุด ขอเพียงมีหัวใจแห่งดาบ เขาจะสามารถก้าวหน้าต่อในวิถีแห่งดาบไม่หยุดยั้ง นี่แหละความสำเร็จระยะยาว ฝนทั่งให้เป็นเข็มดั่งที่ว่า”
“แน่นอน ไม่ว่าจะมีระดับความสามารถ ศักยภาพ ความแข็งแกร่งเพียงไร แต่การที่สามารถขวนขวายอย่างหนักบนเส้นทางฝึกฝนโดยไม่ถอดใจนั่นล่ะคือลักษณะนิสัยอันยากที่คนทั่วไปจะมีได้”
ในวิหารเต๋าซอมซ่อกลางป่า ซูอี้เอนร่างบนเก้าอี้หวายอย่างเกียจคร้าน ศีรษะซบอยู่บนแขน ร่างนอนผ่อนคลาย
เหวินซินจ้าว ชิงหยา และหานเยียนนั่งอยู่ด้านข้าง พวกเขาต่างงดงามแจ่มใส ใสซื่อบริสุทธิ์ และเงียบงันสง่างาม
“ตงกัวเฟิงในครานี้ได้รับแรงกระทบทางจิตใจมหาศาล รวมถึงอารมณ์ของเขาก็เช่นกัน หากหลุดพ้นจากมันได้ สภาพอารมณ์ของเขาจะดีขึ้นเป็นแน่แท้” ซูอี้กล่าวพลางหยิบน้ำเต้าออกมาจิบสุรา
ชิงหยาถามอย่างฉงน “ชิงหยา พี่ว่าบนวิถีการฝึกตน การกรำงานหนักสำคัญกว่า หรือศักยภาพสำคัญกว่า?”
ซูอี้ตอบยิ้ม ๆ ว่า “สำหรับผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ การประชันส่วนมากจะไม่ใช่ศักยภาพ เพราะเมื่อยามที่ต้องวัดด้วยศักยภาพจริง ๆ นั่นหมายความว่าการฝึกฝนของพวกเขามาถึงทางตันเสียแล้ว”
“ยิ่งกว่านั้น เส้นทางแห่งการฝึกตนเต็มไปด้วยความเป็นไปได้เหลือคณานับ ไม่ว่าผู้ฝึกตนจะโง่งมเพียงไร ยามเมื่อเขาทะลวงคอขวดเลื่อนขอบเขตการฝึกฝน ทั้งความสามารถและคุณสมบัติของเขาก็จะพัฒนาไปตามครรลองด้วย”
“ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าโชคชะตาไม่ได้ขาดแคลน ทั้งโอกาสสัมพันธ์ พรหมลิขิต โอสถวิญญาณ และพลังต่าง ๆ ที่สามารถเปลี่ยนศักยภาพของผู้ฝึกตนมีอยู่มากมาย ทุกสิ่งเหล่านี้แยกไม่ได้กับมานะคน”
ทั้งเหวินซินจ้าวและหานเยียนต่างซาบซึ้งใจ
ชิงหยากล่าวเสียงใส “เข้าใจแล้ว บนเส้นทางการฝึกตน ขอเพียงมานะพยายาม เราก็จะได้รับโอกาสในการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ส่วนเรื่องศักยภาพ ต่อให้ดีเลิศเพียงไรก็ไร้ค่าหากไร้ความพยายาม”
ซูอี้พยักหน้า พลางกล่าวว่า “ถูกต้อง”
“ดูสิ เห็นได้เลยว่าต่อให้เป็นศัตรูกัน แต่ศิษย์พี่ซูก็ชื่นชมตงกัวเฟิงยิ่งนัก”
เหวินซินจ้าวเม้มปากแล้วยิ้ม
ซูอี้กล่าวลอยชาย “เทียบกับเขา ข้าชื่นชมวิชาดาบของเจ้ามากกว่านะ จะว่าไป นี่เตือนข้าได้เรื่องหนึ่ง”
“ในอดีต มีผู้ฝึกตนเฒ่าสองคนโต้วาที”
“หนึ่งกล่าวว่าร่างกายคือต้นโพธิ์ใหญ่ จิตใจคือภาพสะท้อนในกระจก เปลี่ยนผันไม่แน่นอน และควรปรับเปลี่ยนให้สงบนิ่งไร้ธุลีมัวหมอง”
“อีกหนึ่งกล่าวว่าโพธิ์ไม่ใช่ต้นไม้ กระจกก็ไม่ใช่เวทีแสดง หากไร้รูปไร้ลักษณ์ ธุลีจะมีหรือ?”
“เจ้าคิดว่าผู้ใดแข็งแกร่งกว่ากัน?”
กล่าวถึงยามนี้ ซูอี้ก็มองเหวินซินจ้าว
ชิงหยากล่าวแทรก “ต้องเป็นคนที่สองแน่ ๆ”
เซียนหานเยียนเองก็พยักหน้า
เหวินซินจ้าวลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “หากคิดเกี่ยวกับการทำความเข้าใจ คนที่สองย่อมสูงส่งที่สุด ทว่าหากคิดในแง่การฝึกฝน เช่นนั้นคนที่หนึ่งล้ำเลิศที่สุด”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ความเข้าใจของเจ้าไม่ได้ผิด สองประโยคนี้อาจจะมีมุมมองทางวิถีพุทธที่แตกต่างด้วย แต่ในสายตานักดาบเช่นข้า สองประโยคนี้สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นการหนุนส่งซึ่งกันและกันด้วย”
“หนุนส่งซึ่งกันและกัน?”
เหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ ต่างงุนงง
ซูอี้กล่าวว่า “ประโยคแรกเน้นที่การฝึกฝนและลับคมมหาวิถี ส่วนประโยคที่สองเน้นการรู้แจ้ง มีเพียงการขัดเกลาตนเองเป็นประจำเท่านั้น ผู้คนจึงประจักษ์แจ้งและเลื่อนขอบเขตได้”
เหวินซินจ้าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกตนวิถีพุทธ แต่ข้ารู้สึกว่าความรู้ความเข้าใจของศิษย์พี่ซูตรงกับของข้ามากที่สุด”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ความเข้าใจในวิถีดาบของเจ้าเหนือล้ำกว่าตงกัวเฟิงมากนัก แต่จงจำไว้ว่าต้องฝึกฝนให้ดีในภายหน้า หมั่นขัดเกลาและลับคมตนเองเสมอ”
เหวินซินจ้าวตะลึง นางเพิ่งตระหนักว่าซูอี้กำลังถือโอกาสให้กำลังใจนาง!
แววตาของหญิงสาวหนักแน่นขึ้น จากนั้นนางจึงกล่าวเบา ๆ “ศิษย์พี่ซูวางใจเถิด ข้าจะจดจำคำนี้ไว้ในใจ”
กองเพลิงคุโชน
กาลเวลาขยับเปลี่ยน
ซูอี้บอกเหวินซินจ้าวว่าพวกเขาจะไปยังนครหลวงจิ๋วติ่งก่อนแล้ว
เหวินซินจ้าวและคนอื่น ๆ ย่อมไร้ข้อกังขา
ทว่าเหวินซินจ้าวยังกังวลเล็กน้อยว่าจะหาที่พักให้เซียนหานเยียนกับชิงหยาอย่างไร
เพราะถึงอย่างไร พวกนางทั้งสามก็ออกจากวังเทพสวรรค์เมฆานับแต่นี้ กลายเป็นผู้ฝึกตนพเนจรไปแล้ว
เหวินซินจ้าวเล่าความกังวลนี้ให้ซูอี้ฟัง
ซูอี้กล่าวพร้อมกับยิ้ม “อย่าห่วงเลย ยามเมื่อแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาเยือนจริง ๆ ขุมอำนาจต่าง ๆ ในโลกหล้าย่อมเปลี่ยนผันอีกครั้ง สุดท้ายแล้วผู้ใดจะได้ยิ้มออก ไม่มีผู้ใดล่วงรู้”
เหวินซินจ้าวพยักหน้า
กาลเวลาล่วงเลยไปกลางดึก ป่าเขาเงียบสงัด นาน ๆ ครั้งจึงปรากฏเสียงคำรามของสัตว์ป่า
ทันใดนั้น…
ซูอี้เลิกคิ้ว ก่อนจะมองออกไปนอกวิหารเต๋า
ขณะเดียวกัน ปรากฏเสียงระฆังดังแว่วมาจากรัตติกาลมืดมิด ไพเราะกังวาน เผยบรรยากาศพิศวงลึกลับ
เหตุใดจึงมีระฆัง… โผล่มาในที่เช่นนี้?
ซูอี้ตะลึงงัน ดวงตาเปี่ยมความแปลกใจราวไม่อยากเชื่อ
ครู่ถัดมา เขาก็ลุกขึ้นเงียบ ๆ “ซินจ้าว พวกเจ้าจงรออยู่ที่นี่ ข้าจะออกไปเดินเล่นหน่อย”
กล่าวจบ เขาก็ก้าวออกจากวิหารเต๋าซอมซ่อนี้
รัตติกาลมืดมิดดั่งย้อมด้วยหมึก ไร้จันทราและดวงดาว
ท่ามกลางป่าเขา
ร่างหนึ่งเดินเดียวดาย ไร้จุดหมาย
เส้นผมของเขายุ่งเหยิง ร่างโชกเลือด ใบหน้าซีดเซียวไร้อารมณ์ ดวงตาไร้วิญญาณราวเป็นเพียงศพเดินได้
เขาคือตงกัวเฟิง!
จู่ ๆ เสียงระฆังแว่วหวานก็ดังขึ้นท่ามกลางรัตติกาล
ร่างของตงกัวเฟิงชะงักค้าง จิตใจที่เดิมว้าวุ่นพลันคืนสติ
เขามองไปรอบ ๆ และพบว่าตนเองอยู่ในป่าเขาที่ไม่คุ้นเคย
“ข้าเคยคิดว่าหัวใจแห่งดาบของข้าแข็งกล้าดั่งเหล็ก แม้ฟ้าพลิกกลับก็ไม่อาจสั่นคลอน ไม่คาดเลยว่าวันนี้จะถูกกระทบเสียจนจิตใจฟุ้งซ่านวิญญาณไร้ปัญญา…”
ตงกัวเฟิงลอบทอดถอนใจ
เขาตระหนักแล้วว่าสภาพจิตใจของตนก่อนหน้านี้อันตรายเพียงไร หากไม่ใช่เพราะระฆังเสียงใสนี้ เขาคงอยู่ในสภาพจิตใจเหม่อลอยฟุ้งซ่านราวศพเดินได้ต่อไป!
ระฆัง?
ช้าก่อน เหตุใดจึงมีเสียงระฆังออกมาจากในป่าเขาเช่นนี้?
ตงกัวเฟิงงุนงง เขามองไปรอบ ๆ และพลันพบว่ามีดวงแสงเล็ก ๆ จุดขึ้นตั้งแต่ยามใดไม่รู้ภายใต้ความมืดมิด
ไม่ใช่ว่านั่นคือวิหารหรือ?
ตงกัวเฟิงเดินไปตามแสง
ยามเมื่อมาถึง เขาก็พบอาคารไม้ไผ่ตั้งอยู่ตรงหน้าภูเขาท่ามกลางความมืดมิด
บ้านไม้ไผ่นี้มีเพียงสองชั้น มีเพียงโคมไฟดวงเดียวที่แขวนอยู่หน้าชายคาประตู แสงเรืองเป็นสีส้ม ฉาบแสงเงาโปรยปรายอย่างอบอุ่น
โลกหล้าดำมืด ทว่าแสงนี้ส่องสว่างอยู่เสมอ
แสงสว่างจากโคมไฟให้บรรยากาศอบอุ่นอันไม่อาจบรรยายแก่ผู้มองมันภายใต้รัตติกาลอันมืดสนิทนี้
ตงกัวเฟิงมองขึ้นไป
เขาเห็นป้ายที่แขวนอยู่บนประตูบ้านไม้ไผ่
มันมีอักษรตัวใหญ่สองคำเขียนไว้ ‘ร้านจำนำ’!
ภายใต้แสงของโคมไฟสีส้ม อักษรทั้งสองปรากฏวูบไหวไปมา ดูลึกลับ
“ร้านจำนำจะมาโผล่เดี่ยว ๆ ในป่าเขาเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?”
ตงกัวเฟิงตระหนักถึงความผิดปกติแล้ว ทว่าก็ยังอดรู้สึกสงสัยใคร่รู้ในใจไม่ได้
เขาอยากเข้าไปสำรวจ!