บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 69 โอสถแลกโอสถ ห้าขอบเขตหลอมกำเนิด
ตอนที่ 69 โอสถแลกโอสถ ห้าขอบเขตหลอมกำเนิด
ยิ่งยามราตรีดำเนินไป บรรยากาศภายนอกยิ่งมืดครึ้ม
ภายนอกวัดร้างขณะนี้มืดมิดราวถูกแต่งแต้มด้วยน้ำหมึกอันหนาเตอะ เสียงสัตว์ป่าร้องดังประปราย บางครั้งยังมีเสียงร้องโหยหวนปะปน คล้ายคลึงกับเสียงกระซิบอันชั่วร้ายจากภูตผี
กองไฟในโถงสว่างเจิดจ้า ส่งเสียงคุเป็นครั้งคราว
หลังได้ทราบคำตอบอันเกินคาดจากซูอี้ หยวนลั่วซีเกิดนึกถึงครั้งเซียวเทียนเชวี่ยมาเยือนเป็นแขกที่บ้าน และพูดคุยกับหยวนอู่ทงผู้เป็นบิดานาง
“ยอดฝีมือผู้นั้นยังหนุ่ม ทั้งยังฉลาดมากไหวพริบประหนึ่งเทพเซียนในตำนาน ขนาดอายุเช่นข้ายังคาดเดาไม่ออก!”
ครั้งนั้น หลังจากได้ยินประโยคนี้จากปากของเซียวเทียนเชวี่ย หยวนอู่ทงผู้เป็นบิดาของนางกล่าวถามกลับด้วยความสงสัยถึงตัวตนยอดฝีมือดังกล่าว
แต่น่าเสียดายที่เซียวเทียนเชวี่ยเก็บงำเอาไว้ เพียงส่ายศีรษะและยิ้มตอบ ไม่พูดกล่าวมากไปกว่านั้น
หยวนลั่วซีซึ่งรับฟังโดยตลอดเกิดประทับใจ ‘ยอดฝีมือ’ ผู้สามารถช่วยชีวิตเซียวเทียนเชวี่ยอย่างอัศจรรย์
ครั้งมาถึงเมืองกว่างหลิง นางตั้งใจทดสอบดวงโดยคาดหวังว่าจะได้พบเจอ ‘ยอดฝีมือ’ ที่เซียวเทียนเชวี่ยนับถือและกล่าวถึง
ผู้ใดกันคาดคิด นางได้พบแล้ว แต่กระนั้นกลับเข้าใจตัวเขาผิดตั้งแต่แรกพบ
ครู่หนึ่ง หยวนลั่วซีบังเกิดความขมขื่นอีกประการขึ้นในใจ
ขณะนี้ตัวนางได้ตระหนักถึงความจริงประการหนึ่ง ยอดฝีมือแท้จริงหาได้ชอบแสดงออกเหมือนผู้คนทั่วไปไม่
นางลุกขึ้น ก่อนจะโค้งกายก้มศีรษะลงประสานมือคารวะ ถ้อยคำกล่าวออกชัดถ้อย “ท่านเซียน ตัวข้า… ข้านั้นมองท่านผิดไป ข้า…ข้าต้องการขออภัยจากใจ ไม่ว่าต้องชดใช้ด้วยสิ่งใดข้ายินดีน้อมรับ โปรด…โปรดท่านให้อภัยต่อการล่วงเกินก่อนหน้านี้ที่ข้ากระทำ”
น้ำเสียงนี้จริงใจ แสดงถึงเจตนาการปรับความเข้าใจ
เฉิงอู้หย่งและผู้อื่นต่างประหลาดใจ
นี่นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นคุณหนูของตนกล่าวขออภัยต่อผู้อื่นจากใจ ราวกับเป็นคนละคนกับตัวนางในอดีตอย่างสิ้นเชิง!
พบเห็นอาการตกใจของเฉิงอู้หย่งและผู้อื่น หยวนลั่วซีเกิดไม่สบายใจ ละอายใจ และอับอาย นี่ตัวนางก่อนหน้านี้ ไร้เหตุผลและไม่รู้ความขนาดนั้นเลยหรือ?
ซูอี้มองยังหยวนลั่วซีพลางกล่าว “เจ้าเคยกล่าวว่าต้องการกำจัดคนพรรคมารหยินที่นี่ ขจัดความชั่วร้ายในโลก ความคิดเช่นนี้ของเจ้าบ่งบอกว่าเจ้ามิได้เป็นคนชั่วช้า เพียงแต่ที่ผ่านมาถูกเลี้ยงดูเอาใจมากจนเกินไป เอาเถอะ ข้าไม่สนใจเรื่องราวที่ผ่านพ้น นั่งลงเสีย ไม่ต้องมากมารยาทไป”
“ขอบคุณท่านเซียน…”
หยวนลั่วซีตื่นตะลึง โดยไม่คาดคิด เพียงเพราะสิ่งที่นางกล่าวออกไปมันกลับทำให้ซูอี้ไม่ติดใจเอาความใดต่อนาง
ยามเมื่อนางครุ่นคิดทบทวน ในใจยิ่งบังเกิดเป็นความนับถือ
หรือนี่คือความคิดที่ยอดฝีมือพึงมี?
“คุณหนู หากบิดาท่านทราบความเปลี่ยนแปลงในวันนี้ นายท่านคงวางใจได้อีกไม่น้อย” เฉิงอู้หย่งผ่อนลมหายใจคราหนึ่ง
สัจธรรมแห่งโลก ไม่จำเป็นต้องกล่าวซ้ำ
มนุษย์ คือตัวตนที่ต้องผ่านความยากแค้น จึงจะเกิดความแปรเปลี่ยนที่แท้จริง
ผู้คุ้มกันคนอื่นต่างร่วมพยักหน้า
หยวนลั่วซีเผยสีหน้ายิ้มแย้มออกมา ความทุกข์ใจของนางเลือนหาย ถ้อยคำกล่าวออก “อาหย่ง เมื่อใดพวกเราพบเจอหญ้าหกหยิน เมื่อนั้นพวกเราจะเดินทางกลับ”
ซูอี้เอ่ยคำขึ้น “หญ้าหกหยินนั้นอยู่กับข้า”
หยวนลั่วซีนิ่งไปครู่หนึ่ง ถ้อยคำถามออกอย่างระมัดระวัง “ท่านเซียน… คือ… ข้ามีความจำเป็นยิ่งยวดโปรดท่านช่วยตัดใจจากมันและขายหญ้าหกหยินให้ข้าได้หรือไม่?”
เฉิงอู้หย่งและกลุ่มคนเกิดกระวนกระวายทันที เพราะเกรงว่าคำพูดที่คุณหนูพวกตนเอ่ยนี้อาจทำซูอี้เข้าใจผิด
กระนั้นพวกเขากลับต้องประหลาดใจ ยามได้ยินซูอี้กล่าวคำเรียบเฉย “ตอนนี้ข้ายังไม่จำเป็นต้องใช้หญ้าหกหยิน หากว่าเจ้ายินดีนำสมุนไพรวิญญาณระดับหนึ่งมาสักสามสิบต้น หญ้าหกหยินนี้จะเป็นของเจ้า”
หยวนลั่วซีพลันประหลาดใจ ถ้อยคำกล่าวตอบโดยไม่คิด “ข้ายินดีมอบสมุนไพรวิญญาณระดับหนึ่งแก่ท่านห้าสิบต้น!”
เฉิงอู้หย่งและคณะหลั่งเหงื่อกาฬเย็นเยียบ “คุณหนู ท่านเสียมารยาทแล้ว ท่านเซียนเป็นถึงยอดฝีมือ มีหรือจะใส่ใจเรื่องปริมาณสมุนไพรวิญญาณ?”
หยวนลั่วซีเกิดนึกขึ้นได้ ถ้อยคำกล่าวอย่างเขินอาย “ท่านเซียน เมื่อครู่นี้ข้ายินดีจนเกินไป เพราะเหตุนั้น…”
ซูอี้โบกมือตอบ “ข้าเข้าใจ”
เขาลอบถอนใจ เฉิงอู้หย่งผู้นี้คล้ายคิดจนเกินไป ทราบได้อย่างไรว่าตัวเขาไม่สนเรื่องจำนวนสมุนไพรวิญญาณ?
หลังส่ายศีรษะ ซูอี้ก็นำหญ้าหกหยินออกมาจากจี้หยก และส่งมอบมันออกไป “เจ้าจงเตือนปรมาจารย์ขอบเขตหลอมกำเนิดผู้ที่จะใช้สมุนไพรวิญญาณนี้ด้วยว่า ในระหว่างที่ใช้มันขัดเกลาตำแหน่งไต จดจำเอาไว้ว่าต้องทยอยดึงฤทธิ์ของมันมาใช้งาน หรือจะให้ดีที่สุดจงใช้มันพร้อมกับสิ่งที่เต็มไปด้วยพลังหยาง หากไม่แล้วฤทธิ์ของสมุนไพรอาจกลายเป็นพิษ ทำร้ายถึงรากฐานการบ่มเพาะของผู้ใช้”
การบ่มเพาะขอบเขตหลอมกำเนิดคือการขัดเกลาอวัยวะภายในทั้งห้า ได้แก่ หัวใจ ตับ ม้าม ปอด และไต ซึ่งทั้งหมดสอดคล้องกับธาตุทั้งห้า คือ ไฟ ทอง ดิน น้ำ และไม้
การขัดเกลาอวัยวะดังกล่าวสอดคล้องให้ขอบเขตหลอมกำเนิดแบ่งออกเป็นห้าขั้นย่อย ยามที่หนึ่งตำแหน่งอวัยวะภายในถูกขัดเกลาหมดจด จะถูกนับเป็นขอบเขตหลอมกำเนิดที่หนึ่ง
ในโลกปุถุชนเรียกขานตัวตนเช่นนี้เป็น ‘ปรมาจารย์เขตแดนหนึ่ง’
และสิ่งควรรู้อีกอย่างคือการขัดเกลาอวัยวะภายในทั้งห้า ไม่มีลำดับตายตัว ผู้บ่มเพาะสามารถเลือกได้ตามแต่ชอบว่าจะขัดเกลาอวัยวะไหนก่อนก็ได้
ส่วนหญ้าหกหยินที่เป็นสมุนไพรวิญญาณระดับสาม มันสามารถใช้ได้เพียงขัดเกลา ‘ตำแหน่งไต’ อย่างเดียวเท่านั้น
หยวนลั่วซีรับไว้ด้วยสองมือ ถ้อยคำกล่าวออก “ขอบคุณท่านเซียน!”
เฉิงอู้หย่งและคณะผู้คุ้มกันเกิดประหลาดใจ
ไม่เพียงซูอี้จะยอมมอบสมุนไพรให้ แต่อีกฝ่ายยังกล่าวแนะนำถึงวิธีการใช้งานเพื่อขัดเกลาตำแหน่งไต นี่มันเทียบเท่าชี้แนะปรมาจารย์ให้ฝึกฝน!
ความหมายของเรื่องราวนี้ เพียงแค่คิดยังต้องเกิดนึกทึ่ง
ทั้งนี้เฉิงอู้หย่งยังได้ตระหนักสังเกต พบว่าซูอี้นำหญ้าหกหยินออกมาจากจี้หยกสีดำประหนึ่งน้ำหมึกข้างเอว ดวงตาเขาถึงกับเบิกกว้าง
สมบัติคลังมิติ!
มันคือสมบัติอันหาได้ยากยิ่ง ที่แม้ผู้บ่มเพาะปรมาจารย์หลายคนยังไม่อาจครอบครอง!
‘ซูอี้ผู้นี้มาอยู่เป็นบุตรเขยผู้หนึ่งของตระกูลเหวินได้เช่นไร? ที่มาที่ไปของเขาต้องไม่ใช่ธรรมดาแน่แล้ว!’
เฉิงอู้หย่งครุ่นคิดในใจ ยิ่งได้ตระหนักทราบเรื่องของซูอี้ มันยิ่งทำเขายำเกรงมากขึ้น
“อาหย่ง ท่านนำสมบัติติดตัวมาด้วยเพียงใด?”
คำเรียกของหยวนลั่วซี ทำเฉิงอู้หย่งได้สติจากห้วงความคิด
เขานำถุงสะพายออกมาเปิดออก หลังตรวจสอบโดยคร่าว ถ้อยคำกล่าวออกอย่างลังเล “ข้านำสมุนไพรวิญญาณระดับหนึ่งมาด้วยเพียงสิบสองต้น สมุนไพรวิญญาณระดับสองอีกห้าต้น นอกจากนี้แล้วยังมีศิลาวิญญาณขั้นที่หนึ่งจำนวนเจ็ดสิบแปดก้อน ศิลาวิญญาณขั้นที่สองอีกสามก้อน”
ซูอี้รับฟัง ในใจเกิดได้ตระหนัก
ตระกูลใหญ่เช่นตระกูลหยวน ช่างห่างชั้นหากเทียบเปรียบกับตระกูลในเมืองกว่างหลิง
แค่ทรัพย์สินที่คณะผู้คุ้มกันพกติดตัวมา มันเทียบเท่ากับสมบัติที่ตระกูลเหวินสะสมรวบรวมในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านพ้น!
หยวนลั่วซีกล่าวคำเสียงอ่อนนุ่ม “ท่านเซียน พวกเราขอเปลี่ยนแปลงจากสมุนไพรวิญญาณระดับที่หนึ่งจำนวนสามสิบต้นที่ท่านต้องการ เป็นสมุนไพรวิญญาณระดับที่สองห้าต้น และระดับหนึ่งอีกสิบสองต้นได้หรือไม่?”
ซูอี้พยักหน้าตอบรับ
โดยเชิงมูลค่า สมุนไพรวิญญาณระดับที่สองมีมูลค่าต่างชั้นกับสมุนไพรวิญญาณระดับที่หนึ่งมหาศาล
หยวนลั่วซีผ่อนลมหายใจโล่งอก คิ้วเลิกขึ้นยินดี เห็นได้ชัดว่าสุขใจที่ได้รับหญ้าหกหยิน
เฉิงอู้หย่งนำส่งสมุนไพรวิญญาณมอบให้ ก่อนซูอี้จะเก็บเข้าไว้ด้านในจี้หยกดำ
พบเห็นเรื่องราว หยวนลั่วซีและผู้คุ้มกันคนอื่นต่างตระหนก
พวกเขาค่อยรู้ตัวก็ตอนนี้ ว่าสิ่งที่ได้เห็นอยู่กับตัวซูอี้ คือสมบัติคลังมิติ!
ทางด้านซูอี้นึกพอใจไม่ใช่น้อย
ระดับบ่มเพาะของตัวเขาขณะนี้ยังไกลห่างจากปรมาจารย์ และยังไม่ใช่อยู่ในจุดที่จำเป็นต้องใช้สมุนไพรวิญญาณเช่นหญ้าหกหยิน ดังนั้นจึงเผยเจตนาแลกเปลี่ยนมันเป็นสมุนไพรวิญญาณระดับที่หนึ่งและระดับที่สอง
“ด้วยสมุนไพรวิญญาณที่ได้รับเพิ่มขึ้นนี้ มันน่าจะเพียงพอให้ใช้ขัดเกลากระดูกถึงขั้นสมบูรณ์ได้”
ซูอี้พูดกล่าวกับตนเอง
“ท่านเซียน ข้าตั้งใจไปจากที่นี่ในวันรุ่งขึ้นตอนฟ้าสาง สอบถามได้หรือไม่ว่าท่านคิดกลับยามใด?”
เฉิงอู้หย่งกล่าวถาม
“ข้ายังมีสถานที่อื่นในภูเขามารดาภูตผีต้องไปเยือนอีก”
สิ้นคำซูอี้ เขาพลันลุกขึ้นยืน
“ท่านเขย คิดไปตอนนี้เลยหรือ?”
กัวปิ่งเกิดประหลาดใจ
“ไม่ผิด ในช่วงเวลาค่ำคืน อาจได้พบเห็นสิ่งที่ไม่อาจพบเห็นในยามฟ้าสาง”
ซูอี้พยักหน้ากล่าวตอบรับ
“แต่ภูเขามารดาภูตผียามค่ำคืนนั้นอันตรายสุดหยั่ง ท่าน…”
ยังไม่ทันสิ้นคำของกัวปิ่ง ซูอี้ยิ้มตอบรับ “ภูตผีต่างหากต้องกลัวข้า ตาเฒ่ากัว เจ้าอยู่กับพวกเขาไปก่อน หากข้ากลับมาก่อนรุ่งสาง ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยกลับเมืองพร้อมกัน”
“แต่ถ้าหากรุ่งสางแล้วข้ายังไม่มา เจ้าเดินทางกลับไปก่อนได้เลย”
สิ้นคำ ซูอี้ก้าวเดินออกจากโถงพร้อมซีกไม้ไผ่ในมือ ร่างสูงเดินลิ่วเฉยชาเลือนหายวับไปกับความมืด
หยวนลั่วซีและเฉิงอู้หย่งมองหน้ากันเอง กระนั้นใจไม่นึกห่วงความปลอดภัยของซูอี้
แม้แต่ซากศพหยินหกสมบูรณ์ยังถูกท่านเซียนสังหารในหนึ่งดาบ เช่นนั้นภูตผีตนใดบนภูเขามารดาภูตผีแห่งนี้จะสามารถต่อกรท่านเซียนได้?
…
ราตรีมืดมิด ขุนเขาปรากฏหมอกหนาทึบ
ซูอี้เดินพ้นจากวัดร้าง พร้อมตบน้ำเต้าปลุกวิญญาณข้างเอวเบามือ “ชิงหว่าน”
วิ้ว~
น้ำเต้าปลุกวิญญาณเผยหมอกสีขาวออก ก่อนที่หญิงสาวใบหน้างดงามในชุดสีเลือดจะลอยออกมา
นับตั้งแต่ฝึก ‘เคล็ดวิชามหาวิญญาณทศทิศ’ จนถึงเวลานี้ ชิงหว่านจึงมีความเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด
ประการแรกคือกายวิญญาณของนางชัดเจนมั่นคงขึ้น ไร้สีที่ซีดและโปร่งใส ทั้งยังเงางามประหนึ่งหยกอันกระจ่าง
ดวงตางดงามทอเสน่ห์ของนางเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าที่เคยจากพลังที่เพิ่มพูน ยิ่งพินิจมองเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกเหมือนติดบ่วงเสน่ห์อันยากถอดแก้โดยไม่รู้ตัว
ซูอี้ลอบพยักหน้าเงียบงัน ค่อนข้างพึงพอใจไม่น้อย
พรสวรรค์ของชิงหว่านช่างโดดเด่น พบเห็นความเปลี่ยนแปลงของนางขณะนี้ กลายเป็นคาดหวังว่าภายหน้านางจะยิ่งแปรเปลี่ยนไปเพียงใด
แน่นอนว่าสำหรับซูเสวียนจวินผู้เคยชินกับความงามไร้ใดเทียบเปรียบในชาติก่อน ชิงหว่านผู้นี้ยังมีเสน่ห์ดึงดูดเพียงเล็กน้อย ห่างไกลเกินกว่าจะกระตุ้นความสนใจของตัวเขาได้
ยามที่ชิงหว่านปรากฏตัว ดวงตากลมโตของนางก็สำรวจมองรอบ ถ้อยคำกล่าวออกอย่างเขินอาย “นายท่าน ที่นี่ภูเขามารดาภูตผีงั้นหรือ? น่ากลัวนัก…”
น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานเอ่ยคำ
“เจ้าคือภูตผี ไม่ใช่คนเป็น”
ซูอี้แก้ไขความเข้าใจผิดให้นาง พร้อมกล่าวคำบอก “ใช้พลังญาณรับรู้ของเจ้า ตรวจสอบว่าที่ใดมีปราณหยินรุนแรงที่สุด”
เนื่องจากซากศพหยินหกสมบูรณ์ไร้ซึ่ง ‘ชีพจรวิญญาณหยิน’ ซูอี้จึงต้องออกมาค้นหาด้วยตนเอง
ชิงหว่านรับฟัง ดวงตาหลับลง พร้อมเรียกญาณรับรู้
ฟู่ว~
ชุดสีเลือดของนางพลิ้วไหวราวอัคคีในยามค่ำคืน เผยให้เห็นขาเรียวงามประหนึ่งหยกที่อ่อนนุ่ม พร้อมพลังวิญญาณเจือจางปรากฏจากร่าง
นับเป็นภูตผีที่ชวนตะลึง เพราะความงามและเสน่ห์
ในไม่ช้า ชิงหว่านลืมตาขึ้น ก่อนจะหันมองไปยังห้วงความมืดไกลห่าง
“รับรู้ถึงสิ่งใดได้บ้าง?” ซูอี้เอ่ยถาม
ชิงหว่านกล่าวคำติดขัด “นายท่าน ด้วยพลังข้าในตอนนี้ ข้าทราบแค่เพียงโดยคร่าวว่าทางตะวันตกเฉียงเหนือไกลห่าง มันมีพลังหยินอันรุนแรงยิ่งกว่าสถานที่อื่นใด เพียงแต่ไม่ทราบว่าใช่สถานที่ซึ่งท่านตามหาหรือไม่”
“ตะวันตกเฉียงเหนือน่าจะเป็นทิศทางที่มี ‘ป่าท้อ’ ดังที่กัวปิ่งกล่าวบอกไว้”
ซูอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะออกคำสั่ง “เจ้านำทางไป”