บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 690 ลูกคิด เสียงระฆัง และตาชั่ง
ตอนที่ 690: ลูกคิด เสียงระฆัง และตาชั่ง
เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง
ตงกัวเฟิงยับยั้งความใคร่รู้ของตนไว้ ก่อนจะหันหลังจากไป
เขาบาดเจ็บสาหัส และหากเกิดอุบัติเหตุใด ๆ ขึ้น มันก็แสนง่ายหากเขาจะเพลี่ยงพล้ำ
ทว่า เมื่อก้าวขาออกไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เสียงระฆังประหลาดนั้นก็ดังอีกครา
ตงกัวเฟิงหยุดชะงัก และหันกลับไปมองเสียงดังขวับ
เสียงระฆังนั้นมาจากร้านจำนำลึกลับนี่เอง!
ยามนี้ ประตูบ้านไม้ไผ่ที่ปิดอยู่ถูกเปิดออกจากภายใน เผยให้เห็นร่างหนึ่งบุคคล
เขาเป็นชายชราร่างเล็กผู้แต่งกายเยี่ยงพ่อค้า ไว้หนวดและสวมหมวกกลมสีดำใบเล็ก มือทั้งสองซุกอยู่ภายในแขนเสื้อ
ภายใต้เงาแสงสีส้มจากชายคา เห็นได้ชัดเจนว่าชายชราร่างเล็กกำลังยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ผู้มาเยือนเอ๋ย ร้านจำนำของข้าผู้น้อยนี้ปิดทำการมานานแล้ว ช่างหายากที่จะได้พานพบนักดาบเช่นท่านมาเยือนในคืนนี้ โปรดเข้ามาเสวนากันหน่อยเถิด”
เขาประคองกำปั้นน้อย ๆ และผายมือเชิญ
ตงกัวเฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “ขอบังอาจถามว่าเสียงระฆังนั่น มาจากฝีมือผู้อาวุโสหรือไม่?”
ก่อนหน้านี้ เป็นเพราะเสียงระฆังประหลาดที่ทำให้เขารู้สึกราวถูกทุบศีรษะจนฟื้นจากสภาวะสับสน
กล่าวได้ว่านี่อาจเป็นการรักษาหัวใจแห่งดาบของเขา!
ชายชราร่างเล็กยิ้มอย่างจริงใจ พลางกล่าวว่า “ข้าน้อยมิกล้ารับเป็นผู้อาวุโส ผู้มาเยือนสามารถเรียกข้าผู้น้อยนี้ว่า ‘เถ้าแก่เฒ่า’ ได้”
เถ้าแก่ก็นับเป็นหนึ่งในวิธีเรียกเจ้าของร้านจำนำ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายชราร่างเล็กผู้นี้คือเจ้าของร้านจำนำลึกลับนี่ “ส่วนระฆังนี้ ข้าผู้น้อยไม่ได้ควบคุมมัน ยามใดก็ตามที่มันสัมผัสถึงลูกค้าที่มีคุณสมบัติพอจะเข้ามาในร้านจำนำนี้ มันจะส่งเสียงเชิญแขกผู้นั้นมาเอง”
ชายชราร่างเล็กผู้เรียกตนเองว่า ‘เถ้าแก่เฒ่า’ กล่าวต่อด้วยประกายตาล้ำลึก “กระทั่งข้าผู้น้อยยังไม่เคยคิดเลยว่าผ่านไปหลายปี จะได้พบว่าผู้มีคุณสมบัติในการเข้ามาในร้านจำนำ… จะเป็นนักดาบ”
คำว่า ‘นักดาบ’ ที่ออกมาจากปากเขาให้ความรู้สึกพิกล
ตงกัวเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย “ผู้อาวุโสหมายความว่า ผู้ที่ถูกคัดเลือกโดยระฆังจะมีโอกาสได้เข้ามาในร้านจำนำนี้หรือ?”
เถ้าแก่เฒ่าพยักหน้าพลางยิ้ม เขาไม่ได้เอ่ยแก้คำเรียกของตงกัวเฟิงต่อตน แต่กล่าวว่า “ผู้มาเยือน เชิญ”
ตงกัวเฟิงสูดหายใจลึก ๆ และเดินเข้าไป
ชั้นแรกในบ้านไม้ไผ่นี้กว้างขวางยิ่งนัก มีโต๊ะหนึ่งตัว ลูกคิดหนึ่งอัน ตะเกียงสำริดหนึ่งดวง และตาชั่งสีเงินหนึ่งอัน
เบื้องหลังโต๊ะมีชั้นวางของซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งของหนึ่งชั้น
เปลวเทียนจากตะเกียงสำริดดูเหมือนเมล็ดถั่ว สร้างเพียงแสงและเงาสลัว ๆ ทำให้ร้านจำนำส่วนที่เหลือดูมืดมิดนักราวถูกหมอกปกคลุม
เถ้าแก่เฒ่ายืนหลังโต๊ะ และแสงสลัวก็ทาทับบนใบหน้าอบอุ่นใจดีของเขา เพิ่มความรู้สึกลึกลับเล็กน้อย
ทันทีที่ตงกัวเฟิงเข้ามา สายตาของเขาก็ถูกดาบเล่มหนึ่งดึงดูดไปทันที
ดาบเล่มนี้แขวนอยู่ที่มุมบนสุดของชั้นวางของ บางเยี่ยงปีกจักจั่น กระจ่างใสเยี่ยงวารียามสารท สองอักขระตัวจ้อย ‘ลวงฤทัย’ ถูกสลักไว้ที่ด้ามจับ
ทว่า ไม่ว่าตงกัวเฟิงจะพยายามเพียงไร เขาก็ไม่อาจสัมผัสปราณใด ๆ จากดาบเล่มนี้ได้เลย
“ดาบเล่มนี้ถูกจักรพรรดิดาบในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำนำมาจำนำเมื่อหมื่นกว่าปีมาแล้ว จากข้อตกลง หากเขาไม่อาจกลับมารับมันคืนได้ในหนึ่งหมื่นปี ดาบเล่มนี้จะตกเป็นของร้านจำนำ และผู้มาเยือนคนอื่นจะสามารถแลกมันไปได้”
เถ้าแก่เฒ่ากล่าวเบา ๆ “ทว่าดาบเล่มนี้ดุร้ายนัก มันไม่เหมาะสมสำหรับแขกผู้ใด”
ตงกัวเฟิงตะลึง ดาบที่จักรพรรดิดาบในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำทิ้งไว้!?
จักรพรรดิดาบผู้ใดบ้างที่จะเต็มใจจำนำดาบตัวเอง?
ตงกัวเฟิงสงบจิต เบือนสายตาไปมองสารพัดสมบัติบนชั้นวาง เช่นตราประทับวิถี ขวดสมบัติ ดาบหยกปลายมน เตาหลอมและอื่น ๆ
นอกจากนั้นยังมีสิ่งของประหลาดอีก เช่นปิ่นปักผม เส้นผม หนัง กระดูกสัตว์ และอื่น ๆ
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของชิ้นใด พวกมันต่างถูกปกคลุมด้วยพลังบางอย่างที่ทำได้เพียงมองเห็น แต่ไม่อาจสัมผัสปราณใด ๆ จากสิ่งของเหล่านี้ได้
และเมื่อเขาเห็นว่ามีมือซึ่งขาดจากร่างถูกแสดงอยู่บนชั้นวาง ตงกัวเฟิงก็อดตะลึงไม่ได้
มือขาดข้างนี้เพรียวบางกระจ่างใส นิ้วทั้งห้าขาวและเรียวเล็ก
แค่มองก็ให้ความรู้สึกเหลือเชื่อ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นมือของสตรี
“ผู้อาวุโส มือนี้…”
ตงกัวเฟิงอดถามไม่ได้
เถ้าแก่เฒ่ากล่าวลอยชาย “นี่คือมือซ้ายซึ่งจักรพรรดินีผู้หนึ่งตัดมาจำนำ เพื่อแลกกับโอสถวิเศษให้ชายผู้เป็นที่รักของนาง”
“จักรพรรดินีผู้หนึ่ง…”
ตงกัวเฟิงหัวใจสั่น ถามอย่างไม่รู้ตน “ผู้อาวุโส สิ่งของทุกชิ้นบนชั้นนี้ ถูกทิ้งไว้โดยจักรพรรดิหรือ?”
เถ้าแก่เฒ่าส่ายหน้ากล่าว “เปล่า นับแต่อดีตกาล ผู้มาเยือนซึ่งถูกเรียกมาโดยระฆังมีทั้งจักรพรรดิและสามัญชนผู้ซึ่งเพิ่งได้เริ่มฝึกตน ไม่ว่าพวกเขาจะมีภูมิหลังอันใด มาจากชนกลุ่มใด เป็นคนหรือผี ปีศาจหรือมาร ขอเพียงถูกระฆังเชื้อเชิญ พวกเขาทั้งหมดต่างมีคุณสมบัติในการเข้าประตูร้านจำนำนี้ทั้งสิ้น”
“เช่นนี้เอง…”
ตงกัวเฟิงกล่าวกับตนเอง ทว่าหัวใจของเขาไม่อาจสงบได้อยู่แสนนาน
ร้านจำนำใดหรือที่สุดอัศจรรย์ได้เพียงนี้?
ยามนี้ ตงกัวเฟิงรู้สึกราวกับว่านี่เป็นความฝัน
“ผู้มาเยือนเอ๋ย ด้วยกฎของร้านจำนำนี้ ผู้มาเยือนสามารถเข้ามาและเอ่ยขอความต้องการใด ๆ ก็ได้ ขอเพียงร้านจำนำของเราสามารถสนองตอบ เราจะทำให้ท่านสมหวัง”
เถ้าแก่เฒ่ากดนิ้วลงบนลูกคิดที่โต๊ะ พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน ขอบเขตของมันอยู่ที่ผู้มาเยือนจะต้องจ่ายค่าตอบแทนซึ่งเท่าเทียมกันด้วย ซึ่งนี่แหละคือความหมายของร้านจำนำที่ว่า”
ตงกัวเฟิงอดตะลึงไม่ได้ ครุ่นคิดสักพักก่อนจะกล่าวว่า “หากข้าต้องการเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิ ร้านจำนำของท่านช่วยข้าบรรลุมันได้หรือไม่?”
เถ้าแก่เฒ่ากล่าวตอบพร้อมกับแย้มยิ้ม “ได้สิ”
เขาชี้ไปที่ตาชั่งที่โต๊ะ พลางกล่าวขึ้น “ขอเพียงผู้มาเยือนวางมือของเขาลงบนตาชั่งนี้และได้รับการยอมรับจากมัน ผู้มาเยือนจะสามารถหยิบสิ่งที่เขาเห็นเพื่อจำนำได้ และข้าผู้น้อยจะส่งมอบกฎเกณฑ์แห่งการเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิให้แก่ผู้มาเยือน”
ตงกัวเฟิงอดแปลกใจไม่ได้
แต่เดิม เขาก็แค่เอ่ยขอเรื่องไร้สาระเพื่อลองเชิง ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายดูจะสามารถทำได้จริง ๆ!
“งั้น… หากข้าต้องการดาบเล่มนั้นเล่า?”
ตงกัวเฟิงมองดาบลวงฤทัยซึ่งแขวนอยู่บนชั้นวาง
เถ้าแก่เฒ่ากล่าว “ยังคงเป็นวิธีการเดิม ขอเพียงท่านได้รับความยินยอมจากตาชั่งนี้และใช้สิ่งเหล่านั้นมาจำนำ ท่านก็จะได้มันไป”
ในที่สุดตงกัวเฟิงก็รู้ครรลอง “หรือก็คือ หากตาชั่งนี้ไม่ยอมรับ ต่อให้ข้าอยากได้ ข้าก็จะไม่ได้มันสินะ”
เถ้าแก่เฒ่ากล่าวอย่างแฝงนัย “ผู้มาเยือนเอ๋ย บางคราเมื่อท่านมีตัวเลือกมากเกินไป ท่านจะไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ตนต้องการจริง ๆ คือสิ่งใด และตาชั่งนี้สามารถช่วยให้ท่านรู้ได้”
ตงกัวเฟิงกล่าวอย่างประหลาดใจ “จริงหรือ?”
เถ้าแก่เฒ่ากล่าวพร้อมยิ้มเช่นเดิม “ข้าผู้น้อยไม่ลวงหลอกผู้ใด ผู้มาเยือนจะทราบเองยามได้ลอง”
ตงกัวเฟิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังส่ายหน้ากล่าว “ลืมไปเถิด ข้าไม่มีความต้องการใดที่นี่ ไม่จำเป็นต้องลอง”
ดวงตาของเถ้าแก่เฒ่าลึกซึ้ง รอยยิ้มของเขาดูจริงใจมากกว่าเก่าขณะกล่าว “เป็นเรื่องสมเหตุสมผลหากผู้มาเยือนจะระแวดระวัง ทว่าตามกฎเกณฑ์ หากท่านเข้ามายังร้านจำนำนี้โดยไม่แลกเปลี่ยนสิ่งใด ท่านจะถูกลงทัณฑ์นะ”
ม่านตาของตงกัวเฟิงหดตัวในพริบตา ก่อนกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ท่านวางแผนบังคับให้ข้าทำการซื้อขายหรือไร?” โนเวล-พีดีเอฟ
เถ้าแก่เฒ่าส่ายหน้าพูด “อย่าได้ตระหนก กฎแห่งร้านจำนำนี้ การลงทัณฑ์ที่ว่าเป็นเพียงการตักเตือนเล็กน้อยเท่านั้น มันจะไม่มีวันสังหารผู้มาเยือน”
ตงกัวเฟิงขมวดคิ้ว พลางกล่าวว่า “เช่นนั้น ข้าจะถูกตักเตือนอย่างไร?”
เถ้าแก่เฒ่ายกลูกคิดที่โต๊ะขึ้น “ย่อมขึ้นกับมันคำนวณ”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็หันไปยิ้มอย่างเมตตาให้ตงกัวเฟิง “ผู้มาเยือนเอ๋ย ท่านมีระดับฝึกฝนที่ต่ำ และไม่รู้จักร้านจำนำนี้ ดังนั้นท่านคงไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่เผชิญอยู่คือวาสนา”
“แสนนานจวบปัจจุบัน มีจักรพรรดิผู้ครอบครองวิชาอันแข็งแกร่งมากมายซึ่งได้แลกเปลี่ยนสมบัติโปรดของตนที่นี่ และยังมีนักรบสามัญผู้ได้รับมรดกแห่งสวรรค์ แปรเปลี่ยนชีพฝ่ากฎสวรรค์อีกมากมาย”
“การจ่ายค่าตอบแทนบางอย่างนั้นคือสิ่งที่ยุติธรรมที่สุดในตัวมันเอง”
หลังชะงักไปครู่หนึ่ง เถ้าแก่เฒ่าก็กล่าวต่อ “แน่นอน หากผู้มาเยือนปฏิเสธ ข้าผู้น้อยจะไม่บังคับใด ๆ ที่พูดมากมายเพียงนี้ก็เพียงเพราะไม่ต้องการให้ผู้มาเยือนพลาดวาสนานี้ไป”
“เพราะถึงอย่างไร เนิ่นนานตราบยามนี้ ผู้ซึ่งถูกเสียงระฆังเรียกมามีเพียงหยิบมือเท่านั้น”
ตงกัวเฟิงเงียบไปนาน และสุดท้ายก็ส่ายหน้า “สิ่งที่ข้าปรารถนา ข้าจะบากบั่นเพื่อให้ได้มาด้วยตนเอง ไม่ใช่แลกเปลี่ยนมา”
แววตาของเถ้าแก่เฒ่าฉายความสงสารเล็กน้อย เขาพยักหน้า “เช่นนั้น เราก็ทำได้เพียงใช้ลูกคิดนี้เพื่อดูว่าจะลงโทษผู้มาเยือนเช่นไร”
ตงกัวเฟิงรู้สึกกระวนกระวาย เขาตื่นตัวเต็มที่
แต๊ก!
ลูกคิดซึ่งเปล่งแสงสลัวพลันเริ่มส่งเสียง ลูกปัดลูกแล้วลูกเล่าขยับรวดเร็ว ส่งเสียงกังวานถี่รัว
ทว่า ยามนี้เอง…
เหง่ง! หง่าง!
เสียงระฆังดังถี่ ทำให้ร่างเล็กของเถ้าแก่เฒ่าสั่นไหว ลูกคิดบนโต๊ะสั่นระริกรุนแรงก่อนที่เขาจะทันรู้สึกตัว
กระทั่งตาชั่งยังสั่นคลอนไปมาอย่างรุนแรง
เถ้าแก่เฒ่าเปลี่ยนสีหน้าอย่างสมบูรณ์ สีหน้าจริงใจเมตตาของเขาเปลี่ยนเป็นโทสะ มือสั่นระริก
ตงกัวเฟิงอดประหลาดใจไม่ได้ เกิดอันใดขึ้น?
กาลเวลาเคลื่อนคล้อย
เถ้าแก่เฒ่าดูหม่นหมองและไม่แน่ใจ เนิ่นนานจากนั้น เขาก็พยักหน้าอย่างซึมกะทือ
จากนั้น เสียงระฆังรัวเร็วก็หายไป ลูกคิดและตาชั่งหยุดสั่น กลับสู่ความสงบเงียบ
ยามนี้ จู่ ๆ เถ้าแก่เฒ่าก็สูดลมหายใจลึก ยื่นมือขึ้นชี้ลูกคิดบนโต๊ะและแสดงความยินดีกับตงกัวเฟิงด้วยรอยยิ้ม
“ยินดีด้วยผู้มาเยือน ผลของลูกคิดครานี้ ไม่เพียงแค่งดเว้นโทษสำหรับผู้มาเยือน ทั้งยังมอบของขวัญแก่ท่านด้วย!”
“มอบของขวัญให้ข้า?”
ตงกัวเฟิงงุนงงเล็กน้อย
ทว่า เขาตระหนักดีแก่ใจว่าหลังจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ท่าทีของเถ้าแก่เฒ่าลึกลับผู้นี้ต่อเขาแปรเปลี่ยนไปอย่างน่าสะพรึง!
“ถูกต้อง ต้องกล่าวว่าผู้มาเยือนมีวาสนาล้ำเลิศแน่แท้ ซ้ำยังมีโชครุ่งเรือง…”
แววตาของเถ้าแก่เฒ่าดูซับซ้อน เสียงอ่อนเสียงหวาน ดูประจบประแจงยิ่งนัก
กล่าวจบ เขาก็เอื้อมมือไปแตะจานถ่วงน้ำหนักบนตาชั่ง
เคร้ง!
ตาชั่งสั่นน้อย ๆ และพลันบังเกิดลำแสงพุ่งออกมาบนตุ้มถ่วงน้ำหนัก ปรากฏกล่องสำริดใบหนึ่งขึ้นจากอากาศธาตุบนโต๊ะตรงหน้าเขา
กล่องสำริดนี้ยาวสองจั้ง พื้นผิวเต็มไปด้วยลวดลายวิถีซึ่งทั้งอัดแน่นและแปลกประหลาด แผ่บรรยากาศหนักอึ้งแห่งการผันผ่านของกาลเวลา
เมื่อเขาได้เห็นมัน มุมปากของเถ้าแก่เฒ่าก็กระตุกอย่างแรง หัวใจหลั่งโลหิต
ยามนี้เขารู้สึกอยากฟาดเจ้าตาชั่งนี้สักป้าบนัก!
เจ้าสิ่งสมควรตายนี่ ต่อให้เจ้าจะกลัวคนแซ่ซูนั่นเพียงไหน เจ้าก็ไม่ควรนำสมบัตินี้ออกมา!