บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 691 จดหมายจากเจ้าของร้านจำนำ
ตอนที่ 691: จดหมายจากเจ้าของร้านจำนำ
“ผู้อาวุโส นี่… คือชะตาที่ท่านมอบให้ข้าหรือ?”
ตงกัวเฟิงถาม
เถ้าแก่เฒ่าสูดหายใจลึก ฝืนระงับความไม่เต็มใจและโทสะในใจ พลางกล่าวว่า “แน่นอน ผู้มาเยือนเอ๋ย ท่านนำสิ่งนี้ไปได้เลย ข้าผู้น้อยจะไปปิดประตูแล้ว”
ตงกัวเฟิงมองปราดเดียวก็รู้ว่าชายชราร่างเล็กผู้นี้ยิ้มอย่างไม่เต็มใจและแข็งทื่อยิ่งนัก เขาดูอบอุ่นและใจดีน้อยลงกว่าก่อนหน้านี้ไกลโข
“เกิดอันใดขึ้น? เหตุใดท่าทีของเถ้าแก่เฒ่าจึงเปลี่ยนไปกะทันหันเช่นนั้น?”
ตงกัวเฟิงงุนงง
ทว่าสุดท้าย เขาก็ไม่ได้ถาม ด้วยกังวลว่าจะเกิดเหตุพลิกผัน ขึ้นอีก
“ไร้ผลงานย่อมไร้ค่าตอบแทน ข้ารับสมบัตินี้ไม่ได้ ผู้อาวุโส ขอตัวแล้ว”
ตงกัวเฟิงหันหลังจากไป
เถ้าแก่เฒ่าดูกระวนกระวาย เขาตะโกน “ผู้มาเยือนเอ๋ย ท่านต้องรับสมบัตินี้ไว้นะ! หาไม่ ข้าผู้น้อยนี่จะแย่ยิ่งกว่านี้!”
เขาหยิบกล่องสำริดและโยนไปทางตงกัวเฟิง
จากนั้น เถ้าแก่เฒ่าก็สะบัดแขนเสื้อ
แววตาของตงกัวเฟิงวูบไหว ทว่าก่อนทันได้ไหวตัว เขาก็ถูกพลังบางอย่างที่มองไม่เห็นห่อหุ้มตัว กวาดออกไปนอกร้านจำนำ และหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“การแลกเปลี่ยนครานี้… ข้าขาดทุนไปมากนัก!!”
ยามนี้ เถ้าแก่เฒ่าดูจะสติแตก แล้วก็อดฟาดมือใส่ตาชั่งไม่ได้ เขาโกรธเสียจนอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
ตาชั่งสั่นไหวโยกคลอน ดูรวดร้าวยิ่งนัก
“เจ้าเฒ่าค้ากำไร เสนอหน้าให้ผู้ใดเห็นอีกหรือ?”
เสียงเฉยเมยเสียงหนึ่งดังขึ้น
ภายใต้แสงสลัวสีส้มจากชายคาร้านจำนำ ร่างสูงร่างหนึ่งเดินใช้มือไพล่หลังเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ
เถ้าแก่เฒ่าตะลึงอึ้ง พลันใช้สองมือถูใบหน้า รอยยิ้มยินดีและอบอุ่นปรากฏขึ้น พลางกล่าวว่า “ใต้เท้าซู ไม่ได้พบเสียนานเลยขอรับ!”
ใบหน้าของเขาประจบประแจง
คนผู้นี้ก็คือซูอี้
ก่อนหน้านี้ เสียงระฆังของร้านจำนำและการสั่นไหวของตาชั่งเกิดขึ้นเพราะพวกมันสัมผัสกลิ่นอายของซูอี้ได้ มันอยู่ในระยะใกล้เสียจนพวกมันต่างตกตะลึง!
และนี่ยังเป็นเหตุผลที่ทำให้เถ้าแก่เฒ่าเปลี่ยนท่าทีไปด้วย
ซูอี้ก้าวมาที่โต๊ะ จากนั้นยกมือขึ้นดีดลูกคิด
ไม่ทราบว่าเพราะความกลัวหรือไม่ แต่ลูกปัดบนลูกคิดสั่นระรัวเหมือนเช่นการสั่นของมนุษย์
ซูอี้ไม่ใส่ใจมันเลย เขากล่าวอย่างเฉยเมย “หากเจ้าไม่เต็มใจ เช่นนั้นก็ใช้ลูกคิดนี่คิดบัญชีก็ได้ เจ้าว่าเช่นไร?”
เถ้าแก่เฒ่าตะลึง พลางยิ้มขมขื่น “ใต้เท้าซู โปรดอย่ารังแกข้าผู้น้อยเลย สมบัติที่ข้าให้ท่านก่อนหน้านี้ ข้าผู้น้อยนั้น เต็ม! ใจ! ยิ่ง! นัก!… อย่างแน่นอน”
เสียงของเขาหนักแน่นทรงพลัง
ซูอี้แค่นยิ้ม ก่อนกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าผู้อื่นรู้หรือไม่ แต่หัวใจนักค้ากำไรเช่นเจ้าคงกำลังหลั่งเลือดเป็นแน่”
พูดจบ เขาก็ยกนิ้วเคาะตาชั่ง “เจ้าหนู เอาสุรามา ข้าไม่สนใจของที่คนผู้อื่นนำมาจำนำ ดังนั้นอะไรก็ได้”
ตาชั่งขยับไหวไปมาอย่างเชื่อฟังราวพยักหน้า
จากนั้น ไหสุรา จอกสุรา กับแกล้มหนึ่งจานและชาร้อนหนึ่งถ้วยก็ปรากฏขึ้นจากลำแสงที่หมุนวนอยู่ตรงหน้าซูอี้
สิ่งที่น่าตะลึงยิ่งกว่านั้นก็คือ มีเก้าอี้ซึ่งปกคลุมด้วยขนสัตว์นุ่ม ๆ ปรากฏขึ้นเบื้องหลังซูอี้ด้วย
ซูอี้นั่งลงบนเก้าอี้อย่างเป็นธรรมชาติ หยิบไหสุรารินลงจอก และดื่มเอื๊อกเดียวหมด
เขาดื่มด่ำไปกับรสชาตินุ่มนวลกลมกล่อมของสุราและอดทอดถอนใจไม่ได้ “เจ้าหนูนี่สายตาดียิ่งกว่าเจ้าอีก”
เถ้าแก่เฒ่าถูมือเข้าหากัน ไหวไหล่และกล่าวด้วยรอยยิ้มขออภัย “ใต้เท้าซู เป็นเพราะข้าไม่ได้พบท่านเสียนาน ข้าจึงอดไม่ได้ที่จะหลุดการควบคุมอารมณ์ไปบ้างขอรับ”
ซูอี้แค่นเสียง พลางเล่นกับจอกสุราในมือและมองไปยังชั้นวางของที่เต็มไปด้วยวัตถุต่าง ๆ ก่อนจะกล่าวอย่างสบาย ๆ
“อย่ากังวลเลย ข้าจะไม่แตะต้องสิ่งใดที่นี่ในยามนี้ สิ่งของที่แสดงที่นี่ต่างถูกนายเจ้าใช้พลังผนึกไว้ ข้าไม่ต้องการถูกผลกรรมของนางทำให้ตนเองแปดเปื้อนหรอก”
เถ้าแก่เฒ่าถอนหายใจโล่งอก ทั่วร่างดูจะผ่อนคลาย แย้มยิ้มสรรเสริญ “ใต้เท้าซูยังคงสว่างไสวสง่างามเยี่ยงกาลก่อน!”
“จะว่าไป เหตุใดท่านจึงมาปรากฏที่นี่เล่า หรือว่า… ท่านเวียนวัฏสงสารสำเร็จแล้วหรือ?”
แววตาของเขาวูบไหวราวจับสังเกตบางสิ่งได้
ซูอี้เลี่ยงคำถาม จากนั้นจึงกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่?”
เถ้าแก่เฒ่ากล่าวอย่างลังเล “ใต้เท้าซู ท่านก็รู้ว่าร้านจำนำนี้ถูกนายข้าผู้ท่องเที่ยวทั่วชั้นฟ้าและโลกาตลอดทั้งปีทิ้งไว้ เพื่อหาบุคคลผู้มีวาสนาในหมู่สรรพชีวิตและมอบโอกาสให้จำนำสิ่งใดที่พวกตนมีได้”
เถ้าแก่เฒ่าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “และครานี้ ร้านจำนำก็ปรากฏขึ้นในมหาทวีปคังชิงนี่ ก็เป็นเพียงการผ่านทางมาเช่นกาลก่อน กระทั่งข้าผู้น้อยยังไม่เคยคาดคิดว่าใต้เท้าซูจะอยู่ในโลกนี้เช่นกัน…”
สุดท้าย เขาก็หดคออย่างหวาดกลัว
“แค่ผ่านทางมา?”
ซูอี้เหลือบมองเถ้าแก่เฒ่า “เช่นนั้น เจ้ากล้าให้ ‘ระฆังสยบใจ’ ทดสอบจริงเท็จของสิ่งที่พูดหรือไม่?”
เจ้าของร้านจำนำทิ้งสมบัติไว้สามอย่าง
หนึ่งคือระฆังสยบใจ ซึ่งผู้ใช้จะสัมผัสการเปลี่ยนแปลงในใจของสรรพชีวิตได้
สองเรียกว่าตาชั่งดุลยพินิจ ซึ่งชี้วัดมูลค่าสิ่งต่าง ๆ บนโลกได้
สามมีนามลูกคิดเคลื่อนดารา มันสามารถช่วยร้านจำนำให้มอบสัญญารางวัลและการลงทัณฑ์ได้
สมบัติทุกชิ้นต่างก็มีวิญญาณ น่าอัศจรรย์ยิ่ง
ในหมู่พวกมัน กล่าวได้ว่าระฆังสยบใจคือสมบัติประจำร้านจำนำแห่งนี้ และเรียกได้ว่าเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์อันสุดยอด
ด้วยสมบัติชิ้นนี้ ร้านจำนำจึงสามารถทำการแลกเปลี่ยนอันเหลือเชื่อครั้งแล้วครั้งเล่าให้แก่หมู่สรรพชีวิต
เหตุผลนั้นก็เพราะสมบัติชิ้นนี้ระบุและสัมผัสจิตใจของสรรพชีวิตได้!
เถ้าแก่เฒ่าชะงัก ก่อนจะรีบกล่าวว่า “ใต้เท้าซู ต่อหน้าท่าน ข้าผู้น้อยไม่กล้าโป้ปดหรอก ต่อให้การปรากฏของร้านจำนำในมหาทวีปคังชิงจะมีความลับอื่นแอบแฝง แต่ท่านก็รู้ว่าข้าผู้น้อยนี้เป็นเพียงตัวแทนซึ่งกระทำการแทนนาย ข้าเป็นเพียงพนักงานต้อยต่ำ จะทราบความลับเบื้องหลังมันได้เช่นไรหรือ?”
“จริงสินะ”
ซูอี้รินสุราให้ตนเองอีกจอก พลางกล่าวว่า “ได้เวลาเคาะระฆังสยบใจแล้ว ออกมาคุยกันหน่อยสิ”
ทันทีที่เขากล่าวจบ เสียงระฆังก็ดังสั่น ๆ ออกมา
ในมุมมืดไม่ไกลออกไปนัก ระฆังสำริดขนาดฝ่ามือก็ลอยออกมา มันสั่นระริกและดูประหวั่นพรั่นพรึง
ซูอี้อดถูจมูกตนไม่ได้ “นี่ข้าน่ากลัวเพียงนั้นเลยหรือ?”
ยามนี้ ทั้งระฆังสำริด ลูกคิดและตาชั่งต่างสั่นไหว ราวกับส่ายหน้าปฏิเสธ
แต่ดูอย่างไรก็กำลังกลัวชัด ๆ
ซูอี้ตะลึง ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ดี
ไม่ต้องสงสัยเลย ยามที่เขามายังร้านจำนำคราก่อน เขาเกือบเผาที่นี่เป็นจุณ เจ้าพวกนี้ดูจะมีแผลใจใหญ่หลวงนับแต่กาลนั้น…
“บอกข้ามา การปรากฏตัวที่นี่ เจ้าของร้านจำนำมีจุดประสงค์ใด?”
ซูอี้ถาม
ระฆังสยบใจส่ายไปมา พลางส่งเสียงกระมิดกระเมี้ยนออกมาอย่างหวาด ๆ “ซู… ใต้เท้าซู ยายหนูผู้นี้ก็… ไม่กระจ่างชัดเช่นกัน… ทว่านายข้าทิ้งจดหมายไว้ฉบับหนึ่ง…”
มันพูดติดขัด เห็นได้ชัดว่ากำลังตื่นกลัว
ซูอี้ถามทันที “จดหมายนั่นอยู่ที่ใด?”
ตาชั่งตอบรับทันควัน “ใต้เท้าซู โปรดอ่าน”
เกิดแสงสว่างวาบ แล้วกระเรียนกระดาษสีดำที่ดูมีชีวิตก็ปรากฏขึ้นบนตาชั่ง
“กระเรียนกระดาษแบบนี้อีกแล้ว ใครเล่าจะคิดว่าแม้นิสัยนายเจ้าในรายงานจะช่างไร้ปรานี ทว่ากลับชอบพับกระเรียนกระดาษเยี่ยงการละเล่นของเหล่าเด็กสาว?”
ซูอี้อดทอดถอนใจไม่ได้
ร้านจำนำเงียบกริบ ทั้งเถ้าแก่เฒ่า ลูกคิด ระฆังสำริดและตาชั่งต่างตัวลีบโดยพร้อมเพรียง
ซูอี้กล้าล้อเลียนนายของพวกเขาอย่างไร้กังวล
แต่พวกเขาไม่กล้า!
ตีให้ตายก็ไม่กล้า…
ซูอี้ไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ เขารับกระเรียนกระดาษสีดำมาคลี่ออก เปลี่ยนเป็นจดหมายฉบับหนึ่ง
มีข้อความซึ่งเขียนด้วยเลือดอยู่บนนั้น
‘ฮ่า ๆๆๆ เจ้าโจรเฒ่าซู เจ้าลาเฒ่าหัวล้านหลวงจีนเยี่ยนซินบอกยายเฒ่าผู้นี้แล้วว่าเจ้าคงยังมีชีวิตอยู่!’
เมื่อเห็นประโยคแรกปรากฏ มุมปากของซูอี้ก็กระตุก
ว่าแล้วเชียว หลังจากผ่านไปนานแสนนาน อุปนิสัยของหญิงบ้าผู้พร้อมชำระแค้นไม่ว่าเล็กจ้อยเพียงไรก็ยังไม่เปลี่ยน…
จากนั้นเขาก็อ่านต่อ
‘เมื่อใดก็ตามที่จดหมายนี้ถูกเปิด ข้าจะรู้ว่าเจ้าโจรเฒ่ากลับมาปรากฏกายอีกครา!’
‘น่าเสียดายจริงแท้ ยายเฒ่าผู้นี้กำลังจะไปทำธุรกิจใหญ่หลวงซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในจักรวาลพร่างดาว ไม่รู้ว่าจะกลับมายามใด หาไม่ ต่อให้ตายข้าก็จะขยี้หัวเจ้าซะ!’
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็อดนวดหว่างคิ้วไม่ได้
ในใจเขาเหมือนจะเห็นร่างของหญิงบ้าซึ่งดูงดงามแน่แท้ แต่อุปนิสัยกลับดุร้ายอารมณ์เสีย
ซูอี้ส่ายหน้า ทิ้งทุกความคิดที่ชวนไขว้เขว
‘แน่นอน หากเจ้าเปลี่ยนใจ ก้มหัวสำนึกผิดเสียครานี้ ยามเมื่อยายเฒ่าผู้นี้กลับมา ข้าก็จะให้โอกาสเปลี่ยนใจให้เจ้าได้นะ…’
คำบ่นพล่ามเหล่านี้แทบจะกินพื้นที่แทบทั้งหมดของจดหมายไป
ทว่าซูอี้เมินมันอย่างสิ้นเชิง และอ่านต่อไปเรื่อย ๆ
‘ไม่ว่าการเวียนวัฏสงสารของเจ้าจะสำเร็จหรือไม่ และไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด เจ้าต้องระวังศิษย์น้อยใหญ่ของตนให้จงหนัก!’
‘พวกเขาดูจะตระหนักแล้วว่าเจ้าไม่ได้ตายไปจริง ๆ และสืบหาเบาะแสของเจ้าอย่างลับ ๆ ตลอดช่วงหลายปีมานี้’
‘อย่าเสแสร้งคิดว่าข้าห่วงใยเจ้าเชียว! ยายเฒ่าผู้นี้ก็แค่ไม่อยากให้เจ้าถูกผู้อื่นสังหาร ต่อให้เจ้าอยากตาย ก็ตายได้เพียงด้วยน้ำมือยายเฒ่าผู้นี้เท่านั้น!’
‘ท้ายที่สุดนี้ ข้าเตือนเจ้าไว้ เฉกเช่นกาลก่อน หากเจ้ากล้าเผาร้านจำนำข้า ข้าจะไปไล่จับทุกสตรีที่มีสัมพันธ์กับเจ้า!’
ถึงจุดนี้ ซูอี้ก็อ่านจดหมายจบแล้ว
ฉัวะ!
เขากระดิกนิ้ว และจดหมายสีดำก็พลันเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่าน
ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ และกล่าวว่า “ข้าเคลือบแคลงมาแสนนานในใจ ไม่รู้ว่าจะมีบุรุษใดบ้างในโลกที่ทนนิสัยนายเจ้าได้”
เงียบกริบ ไม่มีผู้ใดกล้าเอื้อนเอ่ย
มีเพียงแสงตะเกียงซึ่งดูเหมือนเมล็ดถั่ว มอบแสงเงาสลัว ๆ ในอาณาเขตเท่านั้น
ซูอี้ดื่มสุราอีกจอก ถามขึ้นว่า “นายเจ้าเข้าไปในห้วงจักรวาลพร่างดาวนับแต่ยามใด?”
เถ้าแก่เฒ่าตอบอย่างนอบน้อม “คาจะเป็นราว ๆ สี่ร้อยกว่าปีก่อน หลังจากนายหญิงไปยังบูรพาน้อยเพื่อพบหลวงจีนเยี่ยนซิน นางก็ออกจากมหาทวีปคังชิงเข้าไปลึกในจักรวาลพร่างดาว”
ซูอี้ถาม “ใครหรือที่นางจะทำธุรกิจด้วย?”
เถ้าแก่เฒ่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจึงตอบว่า “ข้าไม่ทราบมากนัก เพียงเคยได้ยินนายหญิงกล่าวออกมาก่อนจากว่าธุรกรรมนี้เกี่ยวข้องกับคนผู้หนึ่งซึ่งเรียกตนเองว่าพัศดี และนางต้องไปด้วยตนเอง”
พัศดี!!
ม่านตาของซูอี้หดตัวกะทันหัน
แสงสลัวจากตะเกียงสำริดบนโต๊ะสะท้อนบนใบหน้าของเขา