บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 692 หินลับดาบและเลือดขั้วหัวใจ
ตอนที่ 692: หินลับดาบและเลือดขั้วหัวใจ
พัศดี!
ซูอี้เคยได้ยินตำแหน่งนี้มามากกว่าหนึ่งครั้ง
ท่านเทพแห่งความกรุณาเคยถูกพวกที่เรียกตนว่าเป็นพัศดีเหล่านี้จับกุมในเวิ้งหกดารา ถูกขังไว้ในสถานที่ที่เรียกว่าถ้ำโลหิตหมิงหลิง ต้องทนทุกข์จากการถูกกัดกร่อนพลังชีวิตและการฝึกฝนทุกวันคืน
เย่ซุ่นก็เคยได้พบชายผู้อ้างตนว่าเป็นพัศดีในเมืองผีหลิงหลงเช่นกัน แม้ว่าสุดท้ายเขาจะรอดชีวิต แต่ก็เหลือเพียงเศษเสี้ยววิญญาณ
ยามนี้ ซูอี้เคลือบแคลงยิ่งนักว่าพัศดีที่เย่ซุ่นพบคงจะไม่แคล้วเป็นสิ่งน่าหวาดหวั่นซึ่งถูกกักขังอยู่ลึก ๆ ในถ้ำอุกกาบาต
ทว่ายามนี้ เมื่อได้รับข่าวคราวเกี่ยวกับพัศดีอีกหน มันก็มาจากเจ้าของร้านจำนำ!
“ใต้เท้าซู”
จู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังมาจากลูกคิด “ใต้เท้า… ท่านเป็นห่วงความปลอดภัยนายหญิงของข้าหรือ?”
ซูอี้สะดุ้ง
ก่อนจะทันได้กล่าววาจาใด กระเรียนกระดาษสีดำอีกตัวหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนจานถ่วงของตาชั่ง
คันชั่งโบกไหว เสียงหนึ่งดังขึ้น “ใต้เท้าซู นายข้าบอกว่าหากเราสัมผัสได้ว่าท่านเป็นห่วงนาง ให้เรามอบจดหมายนี้ให้ท่าน”
ซูอี้ “…”
ข้าจะเป็นห่วงอันใดก่อน? หญิงบ้าผู้นั้นน่ะรึ?
ไม่ต้องกล่าวถึงว่ามหาวิถีของนางแข็งแกร่งเพียงไร กระทั่งสมบัติไร้ประมาณในมือนางก็เพียงพอให้นางเชิดหน้าทำในสิ่งที่ตนต้องการได้แล้ว
สิ่งที่ควรกังวลจริง ๆ คือความปลอดภัยของเจ้าพัศดีนั่นต่างหาก!
จากความเข้าใจของซูอี้ที่มีต่อพวกพัศดีที่รวมกันเป็น ‘สำนักมรรคาสวรรค์’ เหล่านี้ พวกเขามีลักษณะหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือสามารถควบคุมอำนาจของการจองจำแห่งยุคมืดได้
ทว่า ด้วยความที่ซูอี้เคยต่อกรกับการจองจำแห่งยุคมืดมาก่อน เขารู้ดีกว่าใครว่าหญิงบ้าผู้นี้ไม่ใส่ใจภัยคุกคามจากการจองจำแห่งยุคมืดเป็นแน่แท้!
ซูอี้หยิบกระเรียนกระดาษสีดำออกมาคลี่อ่าน
‘โจรเฒ่าซู ไม่คิดเลยว่าจะยังพอมีสติหลงเหลือบ้าง! ยายเฒ่าผู้นี้ก็แค่เข้าไปยังส่วนลึกในจักรวาลพร่างดาว หากเจ้าพบวิถีดาบซึ่งอยู่เหนือกว่าที่ต้องการ ก็ไปคว้ามันด้วยมือตนเองเสีย’
‘หากเจ้าอยากรู้ว่าข้าพบอันใด ก็พับนกกระเรียนมาคืนให้ข้าหมื่นตัวสิ!’
เมื่ออ่านถึงจุดนี้ ซูอี้ก็อดหัวเราะไม่ได้
ในอดีตชาติ เขาเคยจุดไฟเผาร้านจำนำแห่งนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ทำลายมันลง แต่เขาก็เผาสิ่งของที่กล่าวได้ว่าเป็นสมบัติหนึ่งเดียวในโลกหล้าไปไม่น้อย รวมถึงโถใส่กระเรียนกระดาษที่สตรีผู้นี้พับไว้หลายพันตัวด้วย
ทว่าหญิงบ้าผู้นั้นไม่ได้ใส่ใจสมบัติหนึ่งเดียวในโลกหล้าเหล่านั้นแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน นางใส่ใจกระเรียนกระดาษที่ถูกเผาเหล่านั้นมากนัก ถึงกับต่อสู้อย่างหนักหน่วงเพื่อมันหลายครั้งหลายหน…
เมื่อได้มาเห็นข้อความนี้ในจดหมาย ซูอี้ก็อดทอดถอนใจไม่ได้
กาลก่อน หากเขารู้ว่ากระเรียนกระดาษเหล่านี้เป็นของรักของหวงของหญิงบ้าผู้นี้ เขาคงไม่จุดไฟเผามันแน่แท้…
ฉัวะ!
ซูอี้ขยับปลายนิ้ว และจดหมายฉบับนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่านแหลกสลายไปเช่นกัน
“ก่อนหน้านี้ เหตุใดเจ้าจึงชอบใจนักดาบผู้นั้นเล่า?”
เขาหันไปถามระฆังสยบใจ
“เรียนใต้เท้าซู ยายหนูผู้นี้สัมผัสได้ว่าหัวใจแห่งดาบของนักดาบผู้นั้นหาได้ยากยิ่ง แม้จะอยู่ในเก้ามหาแดนดิน เขาก็ยังนับได้ว่ามีหัวใจแห่งดาบชั้นหนึ่งเจ้าค่ะ”
ระฆังสยบใจกล่าวอย่างติดขัด “ยายหนูผู้นี้ไม่อาจทนเห็นหัวใจแห่งดาบของเขาถูกทำลาย จึงใช้กำลังตนเพื่อช่วยให้เขาหลุดจากภาวะใจสลายได้เจ้าค่ะ”
ซูอี้พยักหน้า แล้วหันมากล่าวกับเถ้าแก่เฒ่า “ของที่อยู่ในกล่องสำริดก่อนหน้านี้คือสมบัติใดหรือ?”
เถ้าแก่เฒ่ารีบร้อนตอบ “เรียนใต้เท้าซู ย้อนกลับไปเมื่อกาลก่อน ยามที่จักรพรรดิดาบสลายโลหิตเพิ่งก้าวสู่ขอบเขตจักรพรรดิได้ไม่นาน เขาได้รับหินลับดาบมาก้อนหนึ่ง หินก้อนนี้ติดตัวจักรพรรดิดาบสลายโลหิตมาแสนนาน ลับคมให้ดาบและปรับแต่งปราณดาบให้เขา สำหรับนักดาบ นี่คือสมบัติอันหาได้ยากยิ่ง มีเพียงหนึ่งในโลกหล้าซึ่งสามารถทำให้พวกเขาเข้าใจถึงประสบการณ์และร่องรอยวิถีดาบของจักรพรรดิดาบสลายโลหิตได้ขอรับ”
ซูอี้อดประหลาดใจไม่ได้
จักรพรรดิดาบสลายโลหิตเป็นหนึ่งในสามผู้ฝึกตนปีศาจซึ่งกลายเป็นจักรพรรดิดาบแห่งเก้ามหาแดนดิน
หินลับดาบที่เขาทิ้งไว้ย่อมห่างไกลเกินจะเทียบกับสมบัติใด ๆ ในมุมมองภาพรวม
“ไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าจะใจกว้างเช่นนี้”
ซูอี้เหลือบมองตาชั่ง
สมบัติที่มีการแลกเปลี่ยนกันในร้านจำนำล้วนถูกตัดสินและตวงวัดโดยตาชั่งนี้
เสียงอันนอบน้อมดังออกมาจากตาชั่ง “ในเมื่อผู้มาเยือนผู้นั้นคือสหายของใต้เท้าซู ตาชั่งน้อยนี้ย่อมไม่ปฏิบัติต่อเขาแย่ ๆ หรอกขอรับ”
“เขาไม่ใช่สหายของข้า”
ซูอี้ส่ายหน้า และกล่าวโดยไม่อธิบายสิ่งใด “การที่เจ้าให้หินลับดาบของจักรพรรดิดาบสลายโลหิตดูจะเป็นการขาดทุนใหญ่หลวง แต่ก็ยังทำให้เขาปนเปื้อนผลกรรมของจักรพรรดิดาบสลายโลหิตอีกด้วย ภายหน้า เขาจะได้รับทั้งผลประโยชน์และทุกข์ทนจากมัน อย่าลืมเสียเล่าว่าจักรพรรดิดาบสลายโลหิตไม่ได้มีศัตรูเพียงหนึ่งหรือสอง”
ยามนี้ เถ้าแก่เฒ่ากล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “ใต้เท้าซู จักรพรรดิดาบสลายโลหิต… ตายไปแล้วขอรับ”
ดวงตาของซูอี้หรี่ลงเล็กน้อย กล่าวอย่างประหลาดใจ “ผู้ใดฆ่าเขา?”
เถ้าแก่เฒ่าไม่กล้าสบตากับซูอี้ ก้มหน้ากล่าวว่า “ศิษย์ลำดับสามของท่าน ใต้เท้าฮัวเหยาขอรับ”
ซูอี้ขมวดคิ้ว “ที่แท้ก็คนทรยศนี่เอง”
เขาไม่มีทางลืม ก่อนเวียนวัฏสงสาร ชิงถังเคยกล่าวว่าฮัวเหยาขโมย ‘พลังตรวจจับเทวาเสวียนชู’ สมบัติที่ปกปักษ์ประตูหุบเขาอยู่ไป!
เพราะสมบัติชิ้นนี้ขาดหายไป พลังปกป้องประตูหุบเขาซึ่งจัดเตรียมไว้ก่อนเวียนวัฏสงสารจึงเสื่อมสลาย ทำให้ศัตรูภายนอกแทรกซึมเข้ามาได้…
“ฮัวเหยากลายเป็นจักรพรรดิแต่ยามใดกัน?”
ซูอี้ถาม
ในหมู่ศิษย์ทั้งเก้าของเขา ศิษย์สามฮัวเหยาก่อเกิดจากครรภ์มาร แม้ว่าความสามารถของเขาจะท้าทายกฎสวรรค์ไร้เทียมทาน ทว่าเขาก็พบกับคอขวดมโหฬารยามอยู่บนเส้นทางการพิสูจน์เต๋าและก้าวสู่วิถีจักรพรรดิ
ก่อนการเวียนวัฏสงสารของซูอี้ คอขวดนี้ยังไม่พังทลาย
ไม่คาดว่าฮัวเหยาจะสามารถสังหารผู้ฝึกตนปีศาจระดับสูงสุดเยี่ยงจักรพรรดิดาบสลายโลหิตได้!
สิ่งนี้อยู่เหนือความคาดหวังของซูอี้
“ใต้เท้าซู ใต้เท้าฮัวเหยากลายเป็นจักรพรรดิแต่ยามใด ข้าผู้น้อยไม่แน่ชัด ทว่าเมื่อราว ๆ สามร้อยปีก่อน ใต้เท้าฮัวเหยาและคนจากพันธมิตรเสวียนจวินในขอบเขตจักรพรรดิอีกสองคนร่วมมือกันสังหารจักรพรรดิดาบสลายโลหิตลงขอรับ”
เถ้าแก่เฒ่ากระซิบ
พันธมิตรเสวียนจวิน กองกำลังซึ่งก่อตั้งโดยศิษย์เอกของเขาได้รวมผู้ฝึกตนชั้นยอดไว้มากมายภายใต้นามซูเสวียนจวินของเขา สยบใต้หล้าในเก้ามหาแดนดิน
ข่าวนี้ ซูอี้ทราบจากปากศิษย์ลำดับเจ็ดเสวียนหนิง
ซูอี้ถามอีกครั้ง “เหตุใดฮัวเหยาจึงต้องฆ่าจักรพรรดิดาบสลายโลหิต?”
เถ้าแก่เฒ่ากระซิบตอบ “จากคำร่ำลือ ครั้งหนึ่งจักรพรรดิดาบสลายโลหิตเคยกล่าวเยาะเย้ยใต้เท้าฮัวเหยา บอกว่าคนในพันธมิตรเสวียนจวินล้วนเป็นคนทรยศ วางแผนครองเก้ามหาดินแดนโดยอ้างนามใต้เท้าซู การกระทำสกปรกน่ารังเกียจ คำพูดของเขาทำให้ใต้เท้าฮัวเหยามีโทสะ จึงฆ่าเขาเสีย”
ซูอี้ได้ยินดังนั้นก็อดแค่นยิ้มเย็นชาไม่ได้ “ศิษย์ชั่วฮัวเหยากำเริบเสิบสานนัก เพียงวาจาไม่เข้าหูก็กล้าสังหารจักรพรรดิเสียแล้ว!”
กล่าวถึงยามนี้ เขาก็หมดความสนใจไปเสียดื้อ ๆ และกล่าวว่า “ช่างมันเถิด นั่นมันเรื่องของเก้ามหาแดนดิน ข้ากลับไปที่นั่นแล้วค่อยว่ากันทีหลัง”
ว่าไป มันก็ดูจะเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้อย่างลับ ๆ อยู่ก่อนแล้ว
ศิษย์คนที่สามในอดีตชาติของเขาฮัวเหยาสังหารจักรพรรดิดาบสลายโลหิต และหินลับดาบของจักรพรรดิดาบสลายโลหิตก็ถูกตงกัวเฟิงได้ไป
นี่ยังหมายความเช่นกันว่า หากตงกัวเฟิงและจักรพรรดิดาบสลายโลหิตมีวาสนาต่อกัน และรู้ถึงสาเหตุการตายของจักรพรรดิดาบสลายโลหิต เขาจะต้องล้างแค้นแทนกันอย่างแน่นอน!
“นักดาบที่มองว่าข้าเป็นศัตรู ในภายหลังอาจจัดการกับศิษย์สามผู้ทรยศให้ข้า… โอ มันช่างน่าสนใจ”
ซูอี้ตระหนักรู้ชัดว่าด้วยนิสัยของตงกัวเฟิง เขาจะซาบซึ้งในความเมตตาของจักรพรรดิดาบสลายโลหิตและตอบแทนบุญคุณเป็นแน่!
บางที ตงกัวเฟิงในยามนี้อาจไม่ใช่คู่ต่อกรที่คู่ควรกับฮัวเหยา ทว่า… อนาคตเล่า?
ผู้ใดเล่าจะบอกได้
ซูอี้ดื่มสุราหมดไห ลุกขึ้นกล่าวว่า “ไปล่ะ”
กล่าวจบ เขาก็ไพล่มือไว้เบื้องหลัง และหันตัวกลับจากไป
“ใต้เท้าซู ช้าก่อน!”
จู่ ๆ เถ้าแก่เฒ่าก็ร้องเรียก
ยามเมื่อพูด เขาก็ถือกล่องหยกใบหนึ่งด้วยสองมือพลางกระวีกระวาดเข้ามายื่นมันให้ซูอี้อย่างนอบน้อม
“ใต้เท้าซู นายหญิงกล่าวไว้ว่าหากข้าพบท่าน ให้มอบสิ่งนี้ให้ท่านยามจากไป”
ซูอี้ตกใจ “สิ่งใดอยู่ในกล่องนี้?”
เถ้าแก่เฒ่าส่ายหน้ากล่าวว่า “นายหญิงทิ้งสมบัติไว้ ข้าผู้น้อยไม่กล้าแอบหยั่ง”
ซูอี้แค่นเสียง เขารับกล่องหยกไว้และเดินจากไป
“ใต้เท้าซู รักษาตัวด้วย!”
เถ้าแก่เฒ่าและสามสมบัติกล่าวเป็นเสียงเดียว
เสียงของซูอี้แว่วมาไกล ๆ
“เรื่องที่ข้าปรากฏตัวในมหาทวีปคังชิง อย่าได้แพร่งพรายออกไปล่ะ”
“ขอรับ!”
เถ้าแก่เฒ่าตอบรับด้วยคำมั่นจริงจัง
จนเมื่อร่างของซูอี้หายลับไปแล้ว เถ้าแก่เฒ่าจึงผ่อนลมหายใจยาวราวโล่งอก
เขาเหลือบมองระฆังสยบวิญญาณและแค่นเสียงเย็นชา “เจ้านี่ช่างไร้ปรานีนัก ยามนี้ใต้เท้าซูไปแล้ว บอกข้าสิว่าเหตุใดร้านจำนำของเราจึงมาโผล่ในมหาทวีปคังชิงนี่?”
เถ้าแก่เฒ่าคิดว่าตนถูกหลอก!
“นายหญิงกล่าวไว้ว่าเมื่อศิษย์ลำดับเจ็ดของใต้เท้าซู เสวียนหนิงออกจากบูรพาน้อย หลวงจีนเยี่ยนซินเคยขอเลือดขั้วหัวใจจากเสวียนหนิงไว้หยดหนึ่ง”
ระฆังสะท้าน ก่อนส่งเสียงออกมา “และนายหญิงก็ไปพบกับหลวงจีนเยี่ยนซินที่บูรพาน้อย นางก็ได้รับเลือดขั้วหัวใจหยดนี้มามอบให้ข้า”
“ในกาลก่อน เราและร้านจำนำเดินทางด้วยกันไปยังโลกต่าง ๆ และข้าก็สัมผัสกลิ่นอายของเลือดขั้วหัวใจนี้ตลอด จนกระทั่งเมื่อเข้ามายังมหาทวีปคังชิง ในที่สุดข้าก็กล้าแน่ใจว่าเสวียนหนิงอยู่ในโลกนี้ และเรียกหาเขา”
“ส่วนนักดาบเมื่อครู่นี้”
หลังได้ยินเช่นนี้ เถ้าแก่เฒ่าพลันตระหนัก และกล่าวด้วยแววตาพิศวง “เหตุใดก่อนหน้านี้เจ้าจึงไม่บอกใต้เท้าซูเรื่องนี้เล่า?”
ระฆังสยบใจกล่าวติดขัด “ยามนั้นข้ากลัวแทบตาย จนกระทั่ง… ไร้เวลามาพูดเรื่องนี้”
เถ้าแก่เฒ่า “…”
เมื่อคิดว่ากาลก่อน ซูอี้แทบจะเผาร้านจำนำทิ้ง เถ้าแก่เฒ่าก็โล่งใจทันที
เขาถามอีกครั้ง “แล้วเหตุใดเจ้าจึงเลือกนักดาบคนนั้นเล่า?”
“สภาพจิตใจของนักดาบผู้นั้นสอดคล้องอย่างยิ่งกับหินลับดาบที่จักรพรรดิดาบสลายโลหิตทิ้งไว้ ข้าคิดว่าเราสามารถทำการแลกเปลี่ยนกับเขาได้ จึงเรียกตัวเชิญเขามา”
ระฆังสยบใจกล่าว “ทว่าข้าไม่คาดเลยว่าเสียงเรียกจะไปพาใต้เท้าซูมาด้วย…”
“อย่างนี้นี่เอง”
เถ้าแก่เฒ่าพยักหน้าและกล่าวอย่างสงสาร “น่าเสียดายจริง ให้นักดาบผู้นั้นได้ของดีราคาถูกไปเสียเปล่าเสียแล้ว” พูดจบ เขาก็โบกมือกล่าวว่า “ไปกันเถิด รีบออกจากโลกนี้กัน ข้าไม่อยากให้คนแซ่ซูผู้นั้นมาหาข้าอีกแล้ว!”
และร้านจำนำก็หายวับไปในอากาศธาตุอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางค่ำคืนไกลออกไป เมื่อเห็นร้านจำนำหายไปลับตา ซูอี้ก็เบือนสายตากลับมามองกล่องหยกในมือ
หญิงบ้าผู้นั้นคิดมอบสิ่งใดให้เขาด้วยหรือ?
สิ่งใดกันที่อยู่ในกล่องหยกนี้?
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง ซูอี้ก็ยกมือขึ้นเปิดกล่องหยก