บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 693 ผู้คนอยู่ไม่สุข
ตอนที่ 693: ผู้คนอยู่ไม่สุข
ยามเมื่อเห็นเนื้อหาในกล่องหยกถนัดตา มุมปากของซูอี้ก็กระตุกอย่างแทบมองไม่เห็น
กระเรียนกระดาษอีกตัวแล้ว!
เหตุใดหญิงบ้าผู้นี้จึงชอบพับกระเรียนกระดาษนักหนอ?
ซูอี้ไร้วาจา
แต่ทันใดนั้น เขาก็อึ้งไปเมื่อสังเกตเห็นว่ากระเรียนกระดาษตัวนี้ต่างจากตัวอื่น
ตัวของมันเป็นสีเงินซีด ดวงตาเพชรสีแดงแก่ก่ำกระจ่างใส หัวก้มลง จะงอยปากกำลังไซ้ขนปีก ดูมีชีวิตชีวานัก
บนหลังกระเรียนกระดาษมีกล่องสำริดขนาดเพียงเมล็ดข้าวอยู่ใบหนึ่ง
สิ่งที่ยิ่งน่าเหลือเชื่อคือ กล่องสำริดนี้ก็เล็กพอแล้ว ทว่าก็ยังมีข้อความผนึกอยู่บนกล่องด้วย
คำจารึกนั้นเล็กเสียจนเขาจะอ่านได้ก็ต่อเมื่อใช้จิตสัมผัสเท่านั้น
‘โจรเฒ่าซู เก็บกล่องนี่ไว้ให้ข้าที’
‘หากวันใดที่เจ้าประสบอันตรายถึงชีวิต เปิดกล่องนี้เสีย’
‘ข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่ฟังคำเกลี้ยกล่อมใด ๆ และอยากรู้นักว่าสิ่งใดอยู่ในกล่องนี้ ทว่าครั้งนี้เห็นแก่หน้าข้าเถิด อย่าทำเช่นนั้นได้หรือไม่?’
หลังอ่านข้อความบนนั้นเสร็จ ซูอี้ก็อดถูจมูกตนไม่ได้
หญิงบ้าคาดเดาถูกต้อง หากไม่ใช่เพราะข้อความสุดท้าย เขาคงได้เปิดกล่องน้อยเท่าเมล็ดข้าวนี่แล้ว
“กระทั่งใช้ ‘ไหมจิตดารา’ และ ‘ผลึกโลหิตอสูรลี้ลับ’ มาพับเป็นกระเรียนกระดาษเยี่ยงนี้… ช่างสิ้นเปลืองยิ่งนัก”
ซูอี้แค่นเสียงหึ แล้วปิดกล่องหยกลงอีกครั้ง
ในอดีตชาติของเขา ในฐานะปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินซึ่งเป็นที่เคารพเพียงผู้เดียวในเก้ามหาแดนดิน ครานั้นเขาได้สะสมสมบัติหายากไว้นับไม่ถ้วน
ทว่า เมื่อเทียบกับเจ้าของร้านจำนำแล้ว เขาก็ยังด้อยกว่าอยู่นิดหน่อย
สตรีโฉมงามล้ำเลิศผู้มีอุปนิสัยเกรี้ยวกราดรุนแรงผู้นี้มีสมบัติลี้ลับไร้ประมาณอยู่ในมือมากมาย
นางเป็นเช่นสมบัติลับซึ่งสามารถหยิบสมบัติพิลึกพิสดารออกมาได้ทุกเมื่อ
ทั้ง ‘ระฆังสยบใจ’ ‘ลูกคิดเคลื่อนดารา’ และ ‘ตาชั่งดุลยพินิจ’ ในร้านจำนำต่างเรียกว่าเป็นสมบัติหายากในโลกหล้าได้ทั้งสิ้น
และนี่ยังเป็นเพียงหนึ่งหยดน้ำในถังท่ามกลางสมบัติที่หญิงบ้าผู้นี้สะสมไว้
ซูอี้เก็บกล่องหยก แหงนหน้ามองฟ้าและเดินลับไปไกล
นี่คือยามเที่ยงคืน
แสงดาวริบหรี่ ฟ้าดินเย็นเฉียบนิ่งงัน
บนยอดเขาแห่งหนึ่ง
ตงกัวเฟิงนั่งบนพื้น พลางมองกล่องสำริดในมือ สีหน้าของเขาปรากฏความลังเล
เช่นที่กล่าวในร้านจำนำ เขาไม่มีความต้องการใด และไม่ได้วางแผนแลกเปลี่ยนสิ่งใดกับเถ้าแก่เฒ่า
ทว่าสุดท้าย เถ้าแก่เฒ่าก็ยัดเยียดกล่องสำริดนี้ให้เขา
นี่ทำให้ตงกัวเฟิงจับต้นชนปลายไม่ถูก
“หรือลูกคิดจะคิดไว้แล้วว่าเราเป็นผู้มีโชครุ่งเรืองจริงแท้ ไม่เพียงเว้นโทษให้เรา ซ้ำยังมอบโอกาสให้เราด้วย?”
ตงกัวเฟิงครุ่นคิด
สิ่งที่เขาเห็นในร้านจำนำคืนนี้ช่างเป็นการเปิดหูเปิดตา น่าตะลึงยิ่งนัก
เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะจินตนาการได้ว่าโลกนี้จะมีร้านจำนำอันเหลือเชื่ออยู่ด้วย
ซ้ำยังมีจักรพรรดิมากมายมาแลกเปลี่ยนสิ่งของจากยุคต่าง ๆ!
เหมือนเช่นดาบลวงฤทัยซึ่งจักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำมาทิ้งไว้ มือซ้ายของจักรพรรดินีผู้หนึ่ง และอื่น ๆ
เรื่องทั้งหมดนี้อยู่เหนือความรู้ความเข้าใจของตงกัวเฟิงโดยสิ้นเชิง จวบยามนี้ยังให้ความรู้สึกเกินจริง
สามลมราตรีพัดโชย และจู่ ๆ เสียงเฉยชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ยามเมื่อเจ้าได้โอกาสเช่นนี้ เจ้ายังสงบจิตได้อีกหรือ?”
ตงกัวเฟิงตกใจ และยามเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นร่างอันคุ้นตารางหนึ่งเดินอยู่ไกล ๆ
เขาคือซูอี้!
“สหายเต๋าได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้หรือ?”
ตงกัวเฟิงลุกขึ้น
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ที่มาของร้านจำนำนั้นลึกลับมาก กล่าวได้ว่าเป็นร้านจำนำจากสวรรค์ มันเดินทางข้ามผ่านโลกต่าง ๆ นับแต่โบราณกาล และผู้ใดที่มีคุณสมบัติพอจะทำธุรกิจกับร้านจำนำนี้ย่อมโชคดีโดยไม่ต้องสงสัย”
เขากล่าวพลางชี้กล่องสำริด “ของที่อยู่ในกล่องนี้ถูกทิ้งไว้โดยจักรพรรดิดาบผู้หนึ่งในวิถีปีศาจ ซึ่งจะให้ผลประโยชน์มหาศาลกับการฝึกดาบของเจ้า และเพียงพอให้เจ้าสามารถพิสูจน์เต๋า เข้าสู่วิถีจักรพรรดิอย่างมั่นใจขึ้นมากได้ในภายหน้า”
“ทว่าเมื่อเจ้าได้รับผลประโยชน์จากมัน เจ้าก็จะถูกผลกรรมของสิ่งนี้ผูกมัดด้วยเช่นกัน ไตร่ตรองให้ดีว่าจะตัดสินใจเปิดมันหรือไม่”
จากนั้นซูอี้ก็หันหลังจากไป
เขามาอย่างเงียบงัน กล่าวสองสามคำ ก่อนจะละลิ่วล่องจากไป
สิ่งนี้ทำให้ตงกัวเฟิงตะลึงค้าง
จนเมื่อร่างของซูอี้หายลับรัตติกาลไป เขาจึงมองลงมายังกล่องสำริด ระลึกถึงสิ่งที่ตนเองประสบในร้านจำนำลึกลับขึ้นมา และก็อดอึ้งในใจนิด ๆ ไม่ได้
ซูอี้ผู้นี้เป็นใครกัน?
เหตุใดเขาจึงรู้ที่มาที่ไปของร้านจำนำลึกลับนั่น?
…
ในวิหารเต๋าซึ่งถูกทิ้งร้างกลางป่าเขา
เมื่อซูอี้กลับมา ท้องนภาก็ใกล้รุ่งสาง
เมื่อเห็นซูอี้ปลอดภัยดี พวกเหวินซินจ้าวต่างลอบโล่งใจ
“ศิษย์พี่ซู เสียงระฆังก่อนหน้านี้มีอันใดผิดปกติหรือไม่?”
เหวินซินจ้าวอดถามไม่ได้
“แค่เรื่องเล็กน้อยน่ะ เอาล่ะ ไปนครหลวงจิ๋วติ่งกันเถิด”
ซูอี้กล่าว
…
วันที่สิบแปด เดือนสอง
นครหลวงจิ๋วติ่ง บนภูเขาเทียนหมาง
มีศาลาแห่งหนึ่งตั้งอยู่ข้างทะเลเมฆาบนผา
“ฝ่าบาท นับแต่วันที่สิบห้าเดือนสอง หลังจากซูอี้สังหารพวกฉู่อวิ๋นเคอจากคีรีดาบเมฆาเร้นในเมืองผีหลิงหลง เจ็ดมหาอำนาจโบราณก็ติดต่อกัน คาดว่าคงวางแผนจัดการกับซูอี้เป็นแน่”
เวิงจิ่วรายงาน
“เป็นธรรมดา พวกเขาถือซูอี้เป็นเป้าหมายที่ต้องฆ่าแน่แท้ หลังจากเรียนรู้การปรากฏตัวของซูอี้ พวกเขาย่อมนิ่งเฉยไม่ได้”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยในชุดคลุมผ้ากระซิบตอบ
เขาถือป้ายสื่อสารทรงจันทร์แรมไว้ในมือ แววตาซับซ้อนเล็กน้อย
เวิงจิ่วกล่าวต่อโดยไม่ทันสังเกต “ฝ่าบาท คราก่อนเจ็ดมหาอำนาจออกมาหารือกัน และส่งประกาศิตต่อเราให้ตัดสินใจภายในแรกเริ่มเดือนสี่ เราเหลือเวลาเพียงเดือนเดียวเองนะพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยขมวดคิ้ว โนเวล-พีดีเอฟ
เจ็ดมหาอำนาจโบราณได้ออกคำสั่งให้ราชวงศ์เซี่ยยอมยกนครหลวงจิ๋วติ่งและภูเขาเทียนหมางให้พวกเขาก่อนวันที่หนึ่งเดือนสี่
หาไม่ กองทัพจะถูกส่งมารวมพลโจมตี!
เหตุการณ์นี้แพร่กระจายไปทั่วต้าเซี่ย ผู้คนอยู่ไม่สุขในนครหลวงจิ๋วติ่ง
มันยังทำให้สถานการณ์ของราชวงศ์เซี่ยไม่สู้ดีนักด้วย
“อย่าห่วงไป ยังมีเวลาเหลือก่อนถึงแรกเริ่มเดือนสี่ อย่าลนลาน”
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็สูดหายใจลึก กล่าวว่า “ขอเพียงมีสหายเต๋าซูอยู่ เขาจะช่วยเราซ่อมแซมค่ายกลจิ๋วติ่งพิทักษ์แดนได้ ต่อให้พวกเขาผนึกกำลังกันโจมตี เราก็กั้นพวกเขาไว้นอกนครหลวงจิ๋วติ่งได้!”
เวิงจิ่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกระซิบว่า “ฝ่าบาท หากสหายเต๋าซูซึ่งถูกถือเป็นเสี้ยนหนามในสายตาเจ็ดมหาอำนาจมายังนครหลวงจิ๋วติ่ง ข้าเกรงว่าพวกเขาจะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างมาสร้างความปั่นป่วนที่นี่ได้นะขอรับ! หากเป็นเช่นนี้มันจะเกิดเป็นเรื่องใหญ่ได้…”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยหรี่ตาลง
ยามนี้เอง ข้ารับใช้ผู้หนึ่งรีบร้อนเข้ามาส่งจดหมายลับ ก่อนกล่าวว่า “ฝ่าบาท ตระกูลหวนเผ่ามารมีจดหมายมาขอรับ”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยรับจดหมายลับมาเปิดอ่าน และพบเพียงข้อความสั้น ๆ
‘หากครานี้ราชวงศ์เซี่ยออกมาปกป้องซูอี้อีก ตระกูลหวนเผ่ามารจะร่วมมือกับสำนักวิถีสุญญะ สำนักผลาญตะวัน สำนักฌานกระจ่างจิต คีรีดาบเมฆาเร้น และตระกูลตงกัว และถือว่าราชวงศ์เซี่ยเป็นศัตรู!’
ลงนามหวนเทียนตู้
สีหน้าของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยไม่สู้ดี
พอคิดกังวล สิ่งที่กังวลก็ก่อเกิด!
“เหตุใดจึงไม่มีชื่อโถงวิญญาณหยินทมิฬ?”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยพลันประจักษ์ว่าบางสิ่งผิดแผก
ข้ารับใช้ส่ายหน้า แสดงว่าเขาเองก็ไม่ทราบ
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยมองจดหมายในมือพลางครุ่นคิด “ดูเหมือนว่าจะมีเพียงหกมหาอำนาจโบราณซึ่งมั่นคงในเรื่องนี้”
หวนเทียนตู้ มหาปราชญ์สวรรค์ในขอบเขตวงล้อวิญญาณแห่งตระกูลหวนเผ่ามาร!
ไม่มีผู้ใดกล้าปลอมจดหมายเป็นเขาแน่
“ฝ่าบาท สถานการณ์แย่ลงทุกทีแล้วนะขอรับ”
เวิงจิ่วเป็นกังวล
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยพับจดหมายและกล่าวอย่างเยือกเย็น “เจ้าคิดว่าหากไม่อ้างนามสหายเต๋าซูเป็นเหตุผล มหาอำนาจโบราณเหล่านั้นจะไม่ใช่ศัตรูของเราหรือไร?”
เวิงจิ่วกล่าวโดยไร้ลังเล “ไม่”
“ถูกต้อง”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยกล่าว “แม้สถานการณ์จะร้ายแรง แต่เราไม่มีทางยอมทิ้งสหายเต๋าซูแน่นอน!”
เขาดูหมายมั่น และกล่าวว่า “แน่นอนว่าเราย่อมต้องเตรียมการในส่วนที่ควรเตรียม”
จากนั้นเขาก็ก้าวจากไป
เวิงจิ่วดูจะคาดเดาบางอย่างออก สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยน
เขาถอนหายใจและเงียบอยู่เนิ่นนาน
สวนน้อยนภาเมฆ
เมื่อยามที่ซูอี้อยู่ในนครหลวงจิ๋วติ่ง เขาเคยใช้ชีวิตที่นี่อยู่ครู่หนึ่ง
เขาไม่รู้เลยว่าสวนน้อยซึ่งมีบรรยากาศเงียบสงบสง่างามนี้ แต่เดิมมีนายอีกคนหนึ่ง
นี่คือยามเที่ยงวัน นภาสว่างแจ่มใส
ต้นวสันต์ สวนน้อยนภาเมฆเต็มไปด้วยพืชพรรณเขียวขจีและลำธารทอประกาย สร้างสรรค์เป็นทิวทัศน์วสันตฤดูอันสดใส
ในสวน
สตรีผู้รูปร่างสะโอดสะองงดงามทอดร่างอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่ข้างพุ่มดอกไม้ ภาพลักษณ์ดูโดดเด่นเป็นสง่าไม่น้อย
นางมีเส้นผมสีดำ ดูอายุยี่สิบเศษ ใบหน้าของนางแปรเปลี่ยนสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งเพิ่มเสน่ห์งดงามให้แก่นาง
เมื่อเดินเข้ามาในสวนน้อยและพบสตรีผู้นี้ สีหน้าของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยพลันซับซ้อน
นามของสตรีผู้นี้คือผูซู่หรง มารดาของลูกสาวของเขาเซี่ยชิงหยวน และก็คือภรรยาของเขาเอง
และนางก็ยังเป็นสตรีผู้มีที่มาลึกลับเช่นกัน
หลังเซี่ยชิงหยวนถือกำเนิดได้ไม่นาน ผูซู่หรงก็ทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งและหายจากไปเงียบ ๆ
ตลอดมานี้ เมื่อใดก็ตามที่คิดถึงนาง จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยมักจะรู้สึกจนใจ โกรธเคือง ไร้หนทาง ขมขื่น… ทุกอย่างปนเปอยู่ในใจ
และยามนี้ นางกลับมาแล้ว
ทว่านางไม่ได้กลับมาเพื่ออยู่กับเขา แต่เพื่อมาพาบุตรสาวของเขาเซี่ยชิงหยวนออกจากมหาทวีปคังชิง!
“เจ้าตัดสินใจได้แล้วหรือไม่?”
เมื่อเห็นจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ย ผูซู่หรงซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ก็กล่าวคำออกพร้อมกับแย้มยิ้มน้อย ๆ
ทว่า แม้นางจะดูเหมือนยิ้ม แต่สีหน้าของนางสุขุม แววตาเหินห่างเยี่ยงพูดคุยกับคนแปลกหน้า
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยสงบใจ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น และกล่าวว่า “เจ้าขอมากเกินไป เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะตกลง”
ผูซู่หรงขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อาจแยกจากบุตรสาวเจ้าได้ แต่ลืมไปเสีย ราชวงศ์เซี่ยเบื้องหลังเจ้าในยามนี้กำลังอยู่ในอันตราย และอาจถูกทำลายได้ทุกเมื่อนะ”
กล่าวถึงเรื่องนี้ นางก็พูดอย่างจริงจัง “ทว่า ขอเพียงเจ้ารับปากปล่อยข้าและลูกสาวของเจ้าไป เพื่อตอบแทน ข้าช่วยเจ้าและผู้คนจากราชวงศ์เซี่ยเบื้องหลังเจ้าให้คลายวิกฤติได้!”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยกล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “ข้าบอกแล้วว่าเรื่องนี้ไร้ความเป็นไปได้ที่จะต่อรอง”
ผูซู่หรงดูไม่พอใจเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด นางกล่าวว่า “งั้นเจ้ามาทำอันใดที่นี่เล่า มาย้อนรำลึกความหลัง พยายามรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างเราในกาลก่อนหรือ? ข้าไม่มีเวลามานั่งเล่นหรอกนะ ขอแนะนำให้เจ้าตัดใจเถอะ”
วาจาเหล่านี้กระทบโสตจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยดั่งมีดดาบที่เชือดเฉือนหัวใจของเขา อกแทบระเบิดสิ้น
ครู่ถัดมา เขาก็สูดหายใจลึก ๆ และตอบอย่างไร้อารมณ์ว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าแค่มาที่นี่เพื่อบอกเจ้าว่าข้ากำลังจะมีแขกผู้มีเกียรติมาในเร็ววัน เขาเป็นผู้รักษาสายใยเก่าและจะมาอยู่ในสวนน้อยนภาเมฆนี้”
เขาเงยหน้าขึ้นมองผูซู่หรง “ดังนั้น โปรดย้ายที่พำนักด้วย”
“เจ้า… นี่เจ้ากำลังไล่ข้าอยู่หรือ?”
ผูซู่หรงนั่งตัวตรงราวไม่อยากเชื่อ