บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 694 ยามเมื่อตำนานหวนคืน
ตอนที่ 694: ยามเมื่อตำนานหวนคืน
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยส่ายหน้ากล่าว “ไม่ใช่จะไล่ แต่ขอให้เจ้าออกจากที่นี่ หากไร้ที่พำนัก ข้าจะจัดเตรียมที่อื่นให้เจ้าได้นะ”
ผูซู่หรงจ้องจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวว่า “ว่าแล้วเชียว เจ้าเกลียดข้ามาตลอดที่จากไปโดยไม่ลา”
นางกล่าวพลางลุกขึ้น ใบหน้างดงามสุขุมนิ่ง “เจ้ามีเหตุผลให้เกลียดข้า ข้าไม่โทษเจ้าหรอก ข้าโทษเพียงการพบกันระหว่างเราสองเป็นความสัมพันธ์อันแย่ยิ่งมาตั้งแต่ต้น”
นางกล่าวอย่างเฉยเมย น้ำเสียงเจือความห่างเหิน “ให้กล่าวตรง ๆ หากไม่ใช่ว่าครั้งนี้เป็นการทำเพื่อลูกสาวข้า ข้าคงไม่มาให้เจ้าเห็นอีกชั่วชีวิต”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยเงียบอยู่นาน จึงกล่าวว่า “เรื่องผ่านไปแสนนาน ทว่าข้ากลับไม่อาจลืมเจ้าได้แม้เพียงครู่ ใจข้ายังคงรอการกลับมาของเจ้า แต่ช่างแปลกเมื่อเจ้ากลับมาครั้งนี้ และบอกว่าจะมาพาชิงหยวนไป จู่ ๆ ข้าก็โล่งใจและปล่อยวางจากเจ้าได้เสียที”
ครู่ถัดมา สีหน้าของเขาเยือกเย็นขึ้นทุกขณะ กล่าวออกมาว่า “แม้ข้าจะยังรู้สึกเศร้าใจด้วยเรื่องนี้ แต่ข้าก็เชื่อว่าภายหน้า หัวใจข้าจะสามารถลืมเจ้าได้มากกว่านี้อีกหน่อย”
“อย่างนั้นหรือ?”
ผูซู่หรงยิ้มอย่างไม่ยี่หระ “เช่นนั้นข้าก็ควรกล่าวตรง ๆ ครั้งนี้ข้าจะไปกับลูกสาวข้าแน่”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยขมวดคิ้ว
แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยวาจาใด ผูซู่หรงก็พูดกับตนเอง “อีกประการ ข้อเสนอของข้ายังคงอยู่ ข้าสังหรณ์ว่าหากเจ้าและราชวงศ์เบื้องหลังรับมือมันไม่ได้ เจ้าจะมาขอร้องข้าเป็นแน่”
เมื่อกล่าวถึงตรงนั้น นางก็มองขึ้นชายคาที่อยู่ไม่ไกลนัก จากนั้นก็กล่าวขึ้น “อาเหลิ่ง เราควรไปได้แล้ว”
ร่างผอมร่างหนึ่งเอนกายเอกเขนกอย่างเกียจคร้านอยู่บนชายคา หัวของเขาซบกับแขน กัดใบหญ้าใบหนึ่งในปาก ปรือตาอาบแสงแดดอยู่
เมื่อได้ยินดังนั้น บุคคลร่างผอมก็อ้าปากพ่นใบหญ้าและค่อย ๆ ลุกขึ้นถอนหายใจเบา ๆ
“ไปเสียตอนนี้ ช่างน่าเสียดายแสงดี ๆ นี่จริง ๆ”
เสียงของเขายังไม่ทันแผ่ว ร่างของเขาก็ปรากฏข้างกายผูซู่หรงราวกับมาจากอากาศธาตุแล้ว
อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มรูปหล่อผู้ดูวางมาด ดวงตากระจ่างใสหรี่เล็ก และมีรอยยิ้มเยาะอยู่ที่มุมปาก
เขาช้อนตาขึ้นมองจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยพลางกล่าวยิ้ม ๆ “คำพูดพี่สาวข้า เจ้าควรตรึกตรองให้ถี่ถ้วน บางทีในต้าเซี่ย เจ้าอาจจะเป็นจักรพรรดิผู้สูงส่งทรงพลังที่ ดื่มด่ำอำนาจปกครองโลกา ทว่าในสายตาข้า เจ้าก็แค่บุคคลหนึ่งในขอบเขตสยายวิญญาณ หากสุดท้ายต้องรบกัน ข้ารับประกันได้ว่าผู้แพ้ต้องเป็นเจ้าแน่นอน”
วาจานั้นเนิบช้า เผยคำขู่อย่างไม่ปิดบัง
คิ้วของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยขมวดมากขึ้นเรื่อย ๆ สีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย
“ไปกันเถิด”
ผูซู่หรงหันหลังจากไป
ชายหนุ่มรูปหล่อนามอาเหลิ่งก็รีบตามไปด้วยรอยยิ้ม
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยมองพวกเขาจากไปเงียบ ๆ อยู่นาน และพลันผ่อนลมหายใจยาวเหยียด
เขาคาดไว้นานแล้วว่าผูซู่หรงมีที่มาที่ไปลึกลับ และไม่น่าจะมาจากมหาทวีปคังชิงนี้
ทว่า จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยไม่เคยคาดฝันว่า หลังจากหายตัวไปหลายปี เมื่อสตรีที่เขาเคยรักผู้นี้กลับมาปรากฏ นางจะถือเขาเป็นคนแปลกหน้า
กระทั่งจะมาพรากลูกสาวไปจากเขา!
“ผูซู่หรง เจ้าอาจมีประสบการณ์ชีวิตเหนือธรรมดา และอาจมีวิธีการอันแข็งแกร่งทะลวงสวรรค์ ทว่าครานี้ ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็จะไม่ให้ลูกสาวของข้าไปกับเจ้า!”
“เว้นเพียงแค่…”
“เว้นเพียงหากลูกสาวข้าเต็มใจจาก!”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยสาวเท้ายาว ๆ จากไป
เมื่อเขากลับมาถึงภูเขาเทียนหมาง เวิงจิ่วก็มาหาเขาและพูดอย่างตื่นเต้น “ฝ่าบาท ข้าเพิ่งได้รับข่าวดีมา!”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยตกใจ “บอกข้าสิ”
เวิงจิ่วสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “เมื่อวานนี้ หน้าวังเทพสวรรค์เมฆา สหายเต๋าซูเอาชนะตงกัวเฟิง ผู้นำรุ่นเยาว์แห่งตระกูลตงกัว และสังหารหกมหาปราชญ์สวรรค์ที่นำโดยตงกัวไห่ลงได้พ่ะย่ะค่ะ!”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยหัวใจสั่นอย่างประหลาดใจ “จริงหรือ?”
เวิงจิ่วกล่าว “จริงแท้แน่นอน!”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยปรบมือชื่นชม “นี่เป็นข่าวดีอย่างแน่แท้! ผู้ใดเล่าจะคาดว่าหลังเก็บตัวเงียบอยู่สองสามเดือน สหายเต๋าซูจะมีอำนาจมากพอเข่นฆ่าผู้อยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณได้ง่าย ๆ แล้ว?”
เขากล่าวอย่างเปี่ยมอารมณ์ ความหดหู่บางอย่างที่สะสมในใจมานานถูกกวาดทิ้งไป
“ฝ่าบาท นี่ดีแล้วล่ะ ยิ่งสหายเต๋าซูแสดงความแข็งแกร่งมากเพียงไหน พวกมหาอำนาจโบราณก็ย่อมไม่กล้าทำตัวกร่างยิ่งขึ้นเท่านั้น!”
เวิงจิ่วกล่าวยิ้ม ๆ “ข้าคิดออกเลยว่าเมื่อพวกขุมอำนาจเหล่านั้นได้ข่าว คงตกใจกันไม่น้อย อาจกระทั่งโมโหได้เลย!”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยอดหัวเราะไม่ได้
วันนี้ เขาเพิ่งได้รับจดหมายจากหวนเทียนตู้แห่งตระกูลหวนเผ่ามาร ข่มขู่ว่าหากราชวงศ์ต้าเซี่ยยังกล้าปกป้องซูอี้เช่นกาลก่อน พวกเขาจะเป็นศัตรูกับพวกขุมอำนาจโบราณอย่างสมบูรณ์
ทว่ายามนี้ จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยอยากรู้นักว่าพวกคนใหญ่คนโตจากขุมอำนาจโบราณอย่างหวนเทียนตู้จะทำหน้าเช่นไร หลังได้รับรู้ถึงวีรกรรมทั้งหมดของซูอี้ในศึกหน้าวังเทพสวรรค์เมฆา?
หลังสงบใจลงได้เล็กน้อย จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยก็กล่าวว่า “ทว่าเราต้องไม่ประมาทขุมอำนาจโบราณเหล่านั้น”
เจ็ดมหาอำนาจโบราณมีภูมิหลังอันน่าหวาดหวั่น และพลังมหาศาล
บางที ตัวตนในขอบเขตสยายวิญญาณเหล่านั้นอาจไม่ใช่ภัยคุกคามสำหรับซูอี้อีกต่อไป ทว่าจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยรู้ดีว่าในหมู่เจ็ดมหาอำนาจโบราณ มีตัวตนระดับขอบเขตวงล้อวิญญาณอยู่!
เวิงจิ่วกล่าว “อย่าห่วงเลยฝ่าบาท แม้ว่าสถานการณ์ทางฝั่งเราจะไม่สู้ดี แต่จะไม่มีใครกล้าก่อเรื่องในนครหลวงจิ๋วติ่งนี้เป็นแน่”
จักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยพยักหน้า พลางกล่าวว่า “ยามนี้ เราจะรอให้สหายเต๋าซูมายังนครหลวงจิ๋วติ่ง… ”
…
เมื่อเวลาผ่านไป
ข่าวการต่อสู้ของซูอี้ที่วังเทพสวรรค์เมฆาได้แพร่ไปทั่วแผ่นดินต้าเซี่ย ครึกโครมไปทั่วโลกา
“ในช่วงสองสามเดือนมานี้ ผู้ใดหนอที่สร้างข่าวลือว่าท่านเทพเซียนซูกลัวถูกเอาเรื่องและหนีจากต้าเซี่ย? ผู้ใดหนอที่กล่าวว่าท่านเทพเซียนซูไม่คู่ควรจะอยู่ในทำเนียบดารา?”
“เหลวไหลทั้งเพ!”
บางคนตื่นเต้นนัก และออกมาบ่นผู้ที่สร้างข่าวลือให้ซูอี้แปดเปื้อนในกาลก่อน
“เริ่มมา ใต้เท้าซูก็สังหารฉู่อวิ๋นเคอ ผู้อยู่ในลำดับที่เจ็ดสิบเก้าบนทำเนียบดาราที่เมืองผีหลิงหลงก่อน และสองวันถัดมา เขาก็เอาชนะตงกัวเฟิง ลำดับที่เจ็ดบนทำเนียบที่หน้าวังเทพสวรรค์เมฆา! ช่างทรงพลังและเท่ยิ่งนัก! จะมีผู้เทียบได้บนโลกนี้สักกี่คนเชียว?”
บางคนอึ้งทึ่งในพลังต่อสู้ของซูอี้
“ตำนานนั่น… กลับมาแล้ว!”
คนบางผู้โหยหา เต็มไปด้วยความลุ้น
ในช่วงสองสามเดือนมานี้ จากการเปลี่ยนแปลงแห่งโลกหล้า ผู้ฝึกตนในต้าเซี่ยจึงเกือบลืมชื่อซูอี้ไปเสียแล้ว
ทว่ายามนี้ ด้วยการกลับมาอย่างแข็งแกร่งของซูอี้ ผู้คนจึงค้นพบว่าชายหนุ่มในตำนานผู้เคยโด่งดังในต้าเซี่ยดูหล่อเหลาขึ้นกว่าแต่ก่อน!
ตระกูลหวนเผ่ามาร
“เจ้าซูอี้นี่อีกแล้ว!”
หวนเทียนตู้ที่อยู่ในชุดผ้ากระสอบเปลือยเท้า ขว้างจดหมายลับในมือของเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาเย็นชาน่ากลัว
“ตงกัวไห่ก็เป็นเจ้าเฒ่าซึ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณ ซึ่งห่างไกลจากบุคคลทั่วไปในโลกหล้า แต่เขาก็ยังไม่อาจต่อกรกับเจ้าเด็กนี่ได้”
หวนเทียนตู้กล่าว ขณะเดียวกันบรรยากาศรอบกายพลันเปลี่ยนเป็นน่ากลัวสุดขั้ว แล้วเขาจึงเอ่ยขึ้นอีกในครู่ถัดมา “หากข้าไม่กำจัดเจ้าเด็กนี่เสีย ข้าคงไม่อาจกินอิ่มนอนหลับได้แน่!”
“ส่งคนไปติดต่อขุมอำนาจโบราณอื่น ๆ บอกพวกเขาว่าต้องลงมือโดยเร็วที่สุด อย่ามอบโอกาสมีชีวิตให้ซูอี้!”
“ขอรับ!”
…
วันนี้ มหาอำนาจโบราณเช่นสำนักวิถีสุญญะ สำนักผลาญตะวัน สำนักฌานกระจ่างจิต และคีรีดาบเมฆาเร้นเองก็สะท้านสะเทือน
“จิงอวิ๋น เด็กนี่ไม่สมควรตายเยี่ยงนี้ เราขุมอำนาจโบราณควรก้าวหน้าและถอยหลังร่วมกัน”
สำนักวิถีสุญญะ
หลังได้รับข่าว เหวิ่นฉางเสวี่ย เจ้าสำนักคนปัจจุบันก็กล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น
ทัศนคติของเขาไม่อาจมองผิดไปได้!
…
“ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน เขากลับเติบโตจนแข็งแกร่งเช่นนี้ …หากแสงสว่างแห่งโลกกว้างมาถึง เด็กนี่จะพัฒนาได้ถึงเพียงไหนหนอ?”
“ถึงยามนั้น ข้าไม่สยบแทบเท้าเขาแล้วหรือ?”
ซืออวิ๋นจี ผู้นำสำนักผลาญตะวันคนปัจจุบันกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ข้าไม่ต้องการให้โลกนี้ถูกศัตรูปกครองในภายหน้า!”
…
“เราไร้ความแค้นใด ๆ กับซูอี้ ดังนั้นปัญหาจึงไม่ควรเกี่ยวพันถึงเรา ทว่าหากซูอี้เกี่ยวพันกับราชวงศ์แห่งต้าเซี่ย เราก็ไม่อาจอยู่เฉยได้!”
เจ้าสำนักฌานกระจ่างจิตเฉิงหลินประกบมือเข้าหากันด้วยท่าทีที่ดูเหมือนสงสาร “โลกนี้วุ่นวายพอแล้ว มีเพียงขุมอำนาจโบราณเช่นเราที่สามารถยืนหยัดต้านกระแสคลื่นโหมพัด ฟื้นฟูความเป็นระเบียบ และคืนสันติสู่โลกหล้าได้”
…
คีรีดาบเมฆาเร้น
ชายร่างผอมบางในอาภรณ์กรุยกรายยืนอยู่บนยอดเขา
“การเสียหน้าไม่เป็นไรเลย ก็แค่หาโอกาสหยิบหน้าที่เสียไปขึ้นมาใหม่ก็จบเรื่อง!”
วาจาที่ดังราวเสียงครวญดาบดังออกมาจากปากของเขา สะท้านสะเทือนไปทั่วทะเลเมฆรอบข้างจนแตกสลาย
นามของเขาคือเหลียงเจี้ยนถิง
เจ้าสำนักแห่งคีรีดาบเมฆาเร้น
…
ตระกูลตงกัว
“เฟิงเอ๋อร์ยังไม่กลับมาอีกหรือ?”
“รายงานท่านผู้นำตระกูล นายน้อยยังไม่กลับมาขอรับ”
ในโถงแห่งหนึ่ง ผู้นำตระกูลตงกัวป๋อฝูขมวดคิ้วด้วยสีหน้ามืดหม่น
“หาต่อไป เฟิงเอ๋อร์จะเป็นเสาหลักแห่งตระกูลเราในภายหน้า ต้องไม่มีความผิดพลาดใด ๆ เกิดขึ้น!”
“ขอรับ!”
ข้ารับใช้เฒ่ารับคำสั่ง
โถงแห่งนั้นเต็มไปด้วยคนใหญ่คนโตในตระกูลตงกัว และหนึ่งในนั้นอดถามไม่ได้ว่า “ท่านผู้นำตระกูล เราควรทำเช่นไรกับเจ้าหนูซูอี้นี่ดี?”
ตงกัวป๋อฝูเงียบไป
เนิ่นนานจากนั้น เขาก็ถอนหายใจ ตอบว่า “หาเฟิงเอ๋อร์ให้เจอก่อน”
ทุกคน ณ ที่นั้นเงียบสนิท บรรยากาศหดหู่ก่อตัวขึ้น
ผู้ใดเล่าจะบอกไม่ได้ อย่างน้อยก็ยามนี้ ผู้นำตระกูลยังไม่ได้คิดล้างแค้นซูอี้ทันที?
ใครสักคนถามอีกครั้ง “ท่านผู้นำตระกูล เราควรร่วมมือกับขุมอำนาจโบราณอื่น ๆ เพื่อจัดการกับราชวงศ์เซี่ยอยู่อีกหรือไม่?”
ตงกัวป๋อฝูผุดลุกขึ้น ดวงตาของเขากวาดมองคนทุกผู้อย่างดุเดือดราวกระแสไฟฟ้า กล่าวคำต่อคำชัดถ้อย “ก่อนจะหาเฟิงเอ๋อร์พบ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น!”
จากนั้นเขาก็เดินจากไป
ผู้คนในโถงมองหน้ากันไปมาอย่างเลิ่กลั่ก
…
วันที่ยี่สิบสองเดือนสอง
สี่วันนับจากซูอี้ออกจากวังเทพสวรรค์เมฆา
เช้าตรู่
นครหลวงจิ๋วติ่งยังคงเปี่ยมชีวิตชีวาและรุ่งเรืองเช่นเคย ดูเหมือนไม่ว่าโลกนี้จะปั่นป่วนเพียงไร มันก็ไม่อาจส่งผลต่อนครหลวงโบราณนี้ได้แม้แต่น้อย
ถนนยังคงคลาคล่ำด้วยผู้คนและพาหนะ
“โลกนี้ยุ่งเหยิงขึ้นทุกขณะ ทว่านครหลวงจิ๋วติ่งนี้กลับไร้การเปลี่ยนแปลง”
ไม่นานหลังเข้าสู่นคร เหวินซินจ้าวก็ทอดถอนใจ
ข้างกายนาง ซูอี้ผู้เดินลอยชายตอบกลับยิ้ม ๆ ว่า “หากต้าเซี่ยแห่งนี้ปั่นป่วน เรื่องราวก็จะยิ่งรุนแรงน่ะสิ”
ขณะที่พูดกับตนเองอยู่นั้น รถศึกสำริดคันหนึ่งก็พลันหยุดลงข้างกายซูอี้
ร่างหนึ่งกระโดดลงมาจากรถศึก รีบร้อนก้าวออกมาทักทายเขาด้วยใบหน้าแสนปรีดา “สหายเต๋าซู ตาเฒ่าผู้น้อยนี้รอท่านอยู่นานแล้ว!”